Apocalypse Meltdown โลกาวินาศล่มสลาย – ตอนที่ 491

และในขณะเดียวกัน บนถนนที่อัดแน่นไปด้วยซอมบี้ สมาชิกที่เหลือเก้าคนของกลุ่มที่สี่ก็เริ่มถอนหายใจทีละคน พวกเขานั่งลงกับพื้นอย่างหมดแรง

 

“ทำไมอยู่ดีๆถึงมีกลุ่มซอมบี้โผล่มากระทันหัน?”

 

“ฉันก็ไม่รู้แต่โชคดีที่มันไม่ได้มากันมากแล้วก็ไม่มีซอมบี้ระดับสูงด้วย แถมยังมีซอมบี้ระยะ 2 แค่สามตัว”

 

“ก็ใช่ ไม่อย่างนั้นเราคงไม่รอด แถมกัปตันกูเหลียงเฉินก็ยังแขนเจ็บ”

 

หลังจากพูดจบ เหล่าสมาชิกในกลุ่มต่างหันมามองที่กูเหลียงเฉินที่มีท่าทางข่มใจเพราะตัวเองไม่สามารถช่วยเหลืออะไรกลุ่มได้ “พี่กู เป็นยังไงบ้าง?”

 

“ไม่มีปัญหา” กูเหลียงเฉินค่อยๆแกว่งแขนที่เกือบจะหักเพราะอู๋หยูเฉียงเบาๆ น้ำเสียงของเขายังคงเรียบนิ่งและเย็นชาเหมือนเคย “ฉันเป็นวิวัฒนาการระยะ 3 ร่างกายมียืดความหยุ่นสูงแต่คิดว่าวันนี้ฉันคงช่วยอะไรไม่ได้มาก”

 

“ไม่เป็นอะไรแน่นะ?” หลี่ชวนตอบ

 

คนอื่นๆเองก็อดไม่ได้ที่จะถาม “กัปตัน เราต้องหาทางรักษาแขนของกัปตันให้ดีขึ้นก่อนวันนี้และก็หวังว่ามันจะค่อยดีขึ้นเรื่อยๆ”

 

“เอาล่ะ งั้นเราก็ออกเดินทางกัน หาที่พักผ่อนสำหรับคืนนี้ก่อน” กูเหลียงเฉินไม่ได้ฝืนมากเกินไป เพราะถึงอย่างไรแล้วเขาก็เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มและถ้าไม่ใช่เพราะเขาประสบอุบัติเหตุละก็ป่านนี้กลุ่มของเขาก็คงถึงจุดนัดพบไปแล้ว

 

ทุกคนออกเดินทางทันที แต่เพียงแค่เดินมาพ้นมุมมา พวกเขาก็ต้องหยุดอย่างกระทันหัน

 

มีร่างของคนสองคนยืนอยู่ตรงหน้ากลุ่มพวกเขา คนหนึ่งมีร่างใหญ่และอีกคนมีร่างเล็ก คนร่างใหญ่เป็นผู้ชายในวัยสามสิบ มีรูปร่างผอมบาง

 

ส่วนคนตัวเล็กดูเหมือนกับเด็กอายุสิบสามปี เด็กคนนี้สวมฮู้ดอยู่จึงทำให้ดูสูงกว่าความเป็นจริง เด็กคนนั้นสวมเสื้อผ้าคลุมมิดชิดทั้งตัวยกเว้นแค่ส่วนครึ่งล่างของใบหน้าเท่านั้น แม้แต่ดวงตาก็ยังมองไม่เห็น ส่งผลให้สมาชิกของกลุ่มที่สี่รีบรวมตัวเข้าหากันทันทีอย่างระแวง

 

ผิวของคางเด็กคนนี้เรียบเนียนราวกับเจลาติน ริมฝีปากสีแดงฉ่ำ และไรผมยาวๆที่หลุดออกมาจากฮู้ดมองทำให้รู้ได้ว่าเด็กคนนี้ต้องเป็นเด็กผู้หญิงอย่างแน่นอน ตั้งแต่ครึ่งล่างใบหน้าลงมาทำให้พวกเขาพอจะเดาได้ว่าสถานะของเด็กผู้หญิงคนนี้น่าจะสูงพอควร ทั้งเนื้อตัวที่ดูดีหมดจด ไม่อย่างนั้นคงผิวพรรณคงไม่เรียบเนียนขาวและดูดีแบบนี้

 

เมื่อชายวัยกลางคนเห็นกูเหลียงเฉินและคนอื่นๆ ลูกตาดำของชายวัยกลางคนก็สั่นระริกและแสดงถึงอาการตระหนก จากนั้นเขาโอบเด็กผู้หญิงเข้ามาในอ้อมแขนให้ใบหน้าของเด็กซุกเข้าหาตัวเขาไว้เหมือนไม่ต้องการให้ใครเห็นใบหน้าของเด็กหญิง ราวกับการปกป้องลูกน้อยของเขา จากนั้นก็ตวัดสายตามองมาที่กูเหลียงเฉินและคนอื่นๆด้วยแววตาที่แสดงถึงการปกป้องอย่างเต็มที่

 

เหล่าสมาชิกในกลุ่มที่สี่ลอบมองหน้ากันไปมาอย่างรอคอยให้สักคนเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อน และเป็นเพราะการเคลื่อนไหวที่ว่องไวและหุนหันของชายวัยกลางคนทำให้ฮู้ดที่คลุมผมเด็กสาวไว้เลิกขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นเส้นผมที่ยาวสลวยที่ดำสนิท ซึ่งผมสีดำสนิทนี้พอมาตัดกับผิวขาวนวลสว่างของเด็กสาวถึงกับทำให้คนที่เห็นหัวใจแทบหยุดเต้น

 

สวยงามมาก! เมื่อชายวัยกลางเห็นว่าเหล่าผู้ชายเห็นเด็กหญิงในอ้อมแขนของเขา สีหน้าของชายวัยกลางคนก็ดุดันและแข็งกร้าวขึ้นพร้อมกับพูดขู่เสียงดัง “ถอยไปซะ! ห้ามใครเห็นหน้าลูกสาวฉัน!”

 

“ขอโทษ ขอโทษด้วย” หลี่ชวนตอบรับอย่างว่องไวและรีบถอยหลังไปสองสามก้าวเพื่อสร้างความมั่นใจให้อีกฝ่าย “ไม่ต้องกังวลนะ เราเป็นทหาร ไม่—–“

 

“หุบปากซะ ถอยออกไป!” ชายวัยกลางคนไม่ฟังคำอธิบายของหลี่ชวน เขาตั้งท่ากั้นไม่ให้ใครเข้ามาขณะกั้นมาป้องกันลูกสาวของเขาไว้ไม่ห่างตัว

 

“ได้! ไม่ต้องกังวล เราจะไป ไปเดี๋ยวนี้เลย” หลี่ชวนพลันหมุนตัวและจากไป

 

คนอื่นๆในกลุ่มที่สี่รีบตามฝีเท้าของหลี่ชวนไปและจากไปทันทีราว พวกเขาวิ่งทิ้งห่างออกไปและใช้ถนนอีกเส้นแทน จนในที่สุดพวกเขาไม่เห็นพ่อลูกคู่นั้นอีก ต่อมาเหล่าสมาชิกก็ต่างอดไม่ได้และเริ่มพูดคุยกัน

 

“แปลกมาก ทำไมวันนี้เราถึงเจอคนแปลกหน้าเยอะขนาดนี้? นี่มันครั้งที่สามของวันแล้วนะ”

 

“แต่ผู้ชายคนนั้นก็เกินไป เขาตั้งป้อมใส่เราทันทีอย่างไม่ฟังอะไร ทำไมต้องตั้งป้อมใส่พวกเราขนาดนี้?”

 

“นั่นสิ ในเมื่อเราก็บอกอยู่ว่าเราคือทหาร”

 

“เหมือนว่าพร้อมจะทำร้ายฉันทันทีด้วย” หลี่ชวนยิ้มและส่ายหัว “น่าสงสารเด็กสาวที่สวยแบบนี้ และก็เป็นโชคร้ายสำหรับพ่อที่รักลูกสาว ที่ต้องมาใช้ชีวิตเผชิญท่ามกลางโลกาวินาศแบบนี้!”

 

“นายกำลังพูดอะไร?” คนที่เหลือต่างหันมามองคนพูด “เด็กผู้หญิงคนนั้นจะถูกล่วงละเมิดมั้ย?”

 

“แค่เหตุผลเดียวเท่านั้น” หลี่ชวนถอนหายใจ “ตั้งแต่โลกาวินาศปะทุออกมา มนุษยชาติได้บิดเบี้ยวไปมาก ถ้ามีเด็กสาวรูปร่างแบบนี้ก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพ่อของเธอต้องปกป้องแสดงท่าทางไม่เป็นภัยต่อผู้ชายขนาดนี้ ยิ่งเวลาเจอกลุ่มคน แม้แต่ทหาร คนเป็นพ่อก็ต้องป้องกันไว้ก่อน”

 

“ท่ามกลางโลกาวินาศเช่นนี้ประกอบกับวัยของเด็กสาว แถวยังผิวพรรณดีขนาดนี้ แค่เห็นหน้าครึ่งเดียวยังรู้ว่าสวยขนาดไหน  แค่นี้ก็พอเข้าใจแล้วว่าทำไมพ่อถึงต้องปกป้องขนาดนี้” เหล่าคนมาใหม่ค่อยๆเริ่มวิเคราะห์ “ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น แค่พื้นที่ผู้ลี้ภัยที่ฉันเคยอยู่ เด็กสาวสวยแบบนี้จะต้องได้รับการปฏิบัติอย่างไร้ซึ่งมนุษยธรรมอย่างแน่นอนแม้แต่ที่ค่ายใหญ่ๆก็ยังหนีไม่พ้น แถมตอนนี้มันยังไม่มีกฏระเบียบจำกัดแล้ว ไม่ว่าเธอจะอายุเท่าไหร่ ถ้าถูกใจก็จะโดนปล้นและข่มขืนทันที”

 

“แค่ครึ่งหน้าล่างยังสวยมากเลย อยากจะเห็นหน้าเต็มๆของเด็กสาวคนนั่นจังว่าจะสวยขนาดไหน?”

 

“ไม่แปลกใจที่พ่อจะพาลูกสาวเข้ามาในเมืองที่มีซอมบี้มากมายขนาดนี้ ฉันว่าเขาคงหวาดกลัวที่จะพาลูกสาวเข้าไปอยู่ในค่าย เขาจึงได้แต่พึ่งแต่อาหารที่พอเหลืออยู่ในเมืองแบบนี้”

 

“เห้อ น่าสงสาร”

 

“เราควรพาพวกเขาไปด้วย น่าสงสารเกินไป”

 

“นี่มันน่าหงุดหงิดใจชะมัด มันไม่มีเรื่องน่าเวทนาแบบนั้นเกิดขึ้นในกองทัพของท่านพลเอกชูฮันแน่นอน!”

 

“เราต้องการที่จะดูแลพ่อและลูกสาว แต่พวกเขาไม่เต็มใจรับความช่วยเหลือของพเรา จำนวนคนที่โดนทำร้ายนั่นสูงมากจนไม่มีใครอยากจะเชื่อใจใครอีก” หลี่ชวนพูดขึ้นเมื่อทุกคนวิเคราะห์กันเสร็จแล้ว

 

กูเหลียงเฉินอยู่ดีๆก็หยุดชะงัก เขาหยุดยืนอยู่ข้างหลังทุกคนห่างออกไปพอสมควรขณะมองไปที่ถนนด้านหลังเขา โดยที่ทุกคนไม่รู้ว่าเขามองอะไรอยู่กันแน่

 

“พี่กู? พี่กำลังมองอะไรอยู่?” หลี่ชวนเดินเข้ามาหากูเหลียงเฉินและเอ่ยถาม

 

กูเหลียงเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็ส่ายหัวหลังจากได้สติกลับมา “ไม่มีอะไร”

 

ทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนกับว่ามีคนตามพวกเขาอยู่ตลอดเวลาเวลา แถมไม่ใช่แค่คนเดียวด้วย?

 

บนถนนเส้นที่กลุ่มที่สี่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยจนเหลือแต่เพียงถนนโล่งที่เงียบสงบ หลงเหลือแต่เพียงเสียงฝีเท้าของพ่อและลูกสาว ความอ่อนล้าเห็นได้ชัดในแววตาของคนเป็นพ่อ เห็นได้ชัดเลยว่าพวกเขาหมดแรงและเหนื่อยล้ามากขนาดไหน

 

พ่อวัยกลางคนกำข้อมือของลูกสาวตัวเองไว้แน่นขณะเดินนำหน้าไปอย่างระมัดระวัง หากสีหน้าของเขาไม่เหมือนกับตอนที่เจอกับกลุ่มที่สี่อย่างก่อนหน้านี้ หากมันเปลี่ยนเป็นเบื่อหน่ายและว่างเปล่า เหมือนกับเอ้อระเหยไปทั่ว

 

เด็กหญิงที่ถูกกุมมือไว้ไม่ได้ส่งเสียงเลยสักนิดตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ เธอก้าวเท้าเดินตามพ่อไปเรื่อยๆ ถึงแม้ใบหน้าครึ่งล่างที่เปิดเผยจะไม่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ใดๆเลยแต่เธอก็ยังดูคล่องแคล่วมากกว่าพ่อที่อยู่ด้านหน้า

 

“พ่อไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไหร่” พ่อวัยกลางคนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ “ลูกสาว ตอนนี้เราจะไปไหน”

 

ฝีเท้าของเด็กหญิงตัวน้อยค่อยๆชะงัก จากนั้นเธอก็หมุนตัวไปทางซ้ายของถนน และตอนนั้นเองมันก็มีลมแรงขึ้นมาทำให้ฮู้ดที่คลุมหัวเธอไว้เปิดออก เผยให้เห็นแววตาที่เหล่าสมาชิกของกลุ่มที่สี่ที่อยากจะเห็น

 

“ที่นี่เหรอ? ดี” พ่อวัยกลางคนเองก็หมุนตัวกลับมาพาลูกสาวเขาเดินไปที่ถนนเส้นลึก

Apocalypse Meltdown

Apocalypse Meltdown

มันเป็นโลกที่ซอมบี้และมนุษย์อาศัยอยู่ด้วยความสิ้นหวัง สนามแม่เหล็กของโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงและทุกอย่างได้ย้อนกลับมายังจุดเริ่มต้น วันหนึ่ง วีรบุรุษของพวกเรา…ชูฮัน ได้เดินทางย้อนเวลากลับมาสิบปีก่อนโดยไม่รู้ตัว เขาได้ย้อนกลับมาก่อนจุดจบของโลกจะเริ่มต้นขึ้น (โลกาวินาศ) เขาถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยเสียงดังในหอพักในมหาวิทยาลัยหมิงชิว ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาได้กลับชาติมาเกิดใหม่ ชูฮันต่อสู้กับเหล่าซอมบี้นับสิบๆตัวก่อนจะมุ่งหน้าไปที่ลานจอดรถเพื่อขโมยรถยนต์เมอร์ซิเดซ-เบนซ์G55ออกมา เขาตัดสินใจที่จะตามหาพ่อแม่และพี่น้องของเขาด้วยG55คันนี้ ซึ่งนี้เป็นสิ่งที่เขาเสียใจที่ไม่ได้ทำในชาติที่แล้ว ระหว่างทางชูฮันได้พบปะกับคนกลุ่มหนึ่งที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นมีคนที่ติดอันดับ 20 ของโลกาวินาศรวมอยู่ด้วย…เฉินช่าวเย่ พวกเขาพบกับซอมบี้จำนวนมากระหว่างทางบนทางหลวง ซึ่งชูฮันได้ใช้รถ G55 พุ่งชนเหล่าซอมบี้จนเละ และในตอนนั้นเอง ชูฮันถึงตระหนักได้ว่าทั้งหมดนี้คือระบบล่มสลาย และเขาสามารถได้คะแนนจากการฆ่าซอมบี้ทั้งหลาย ซึ่งเขาสามารถเอาคะแนนพวกนี้ไปแลกเปลี่ยนเป็นความสามารถพิเศษอะไรก็ได้ และในตอนนั้นเอง การเดินทางของชูฮันก็ได้เริ่มต้นขึ้นไปพร้อมๆกับระบบล่มสลาย นี่เป็นเรื่องราวของระบบล่มสลาย โดยมีเขา…ชูฮัน เป็นคนดำเนินเรื่องราว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset