คนสิบคนยืนขึ้นพูดสิ่งที่ตัวเองไม่พอใจ ทว่าทุกคนที่พูดล้วนเป็นแต่เหล่าคนมาใหม่ทั้งนั้น ทหารผ่านศึกทั้งหลายเงียบสนิทกันหมดและมองไปที่เหล่าพวกมาใหม่ที่ตำหนิท่านพลเอกชูฮันด้วยสายตาเยือกเย็น
ในที่สุด เมื่อข้อร้องเรียนของทุกคนเริ่มจะหมดลง มันก็ผ่านไปแล้วสิบนาทีอย่างที่ชูฮันกำหนดไว้ขณะที่ชูฮันยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมมองหน้าคนที่ร้องเรียนอยู่อย่างเงียบๆ
“จบรึยัง?” ขณะที่คำร้องเรียนเสร็จสิ้น ชูฮันก็ก้าวเท้าเดินไปหยุดยืนต่อหน้าคนทั้งสิบคนด้วยท่าทางแข็งขึงให้อารมณ์กดขี่แก่อีกฝ่าย
ทั้งสิบคนหยุดหายใจอย่างกดดันต่ออำนาจแฝงของชูฮัน เหงื่อไหลย้อยลงมาตามกรอบหน้า ทุกคนรู้สึกได้ว่าหายนะกำลังมาถึงตัวแล้ว
“หลี่บี๋เฟิง” จู่ๆชูฮันก็โพล่งชื่อกัปตันของกลุ่มที่หนึ่งขึ้นมา “บอกพวกเขาสิว่าคำสั่งของพลเอกคืออะไร?”
“คำสั่งของท่านพลเอกคือที่สุด!” หลี่บี๋เฟิ่งเฟิงตะโกนตอบเสียงดังฟังชัด
“คำตอบไม่ถูกระเบียบ วิดพื้นหนึ่งร้อยครั้ง” เสียงของชูฮันเย็นชาและไร้ความปราณี
“ครับท่าน!” หลี่บี๋เฟิงตอบรับอย่างรวดเร็วและก้มลงไปวิดตัวที่พื้นทันทีพร้อมกับตะโกนเสียงดังไปด้วย “ขออนุญาตครับท่าน คำสั่งของท่านพลเอกคือที่สุด! คำสั่งของท่านคือเด็ดขาด อย่าได้คิดสงสัย!”
คราวนี้คำตอบของหลี่บี๋เฟิงถูกระเบียบ หากการวิดพื้นยังคงดำเนินต่อไป
เหล่าคนมาใหม่ที่ทำการร้องเรียนทั้งสิบคนยืนอึ้ง พวกเขามองไปที่หลี่บี๋เฟิงอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ทำไมหลี่บี๋เฟิงยอมรับการลงโทษอย่างโดยดี แถมไม่มีความรู้สึดขัดขืนใดๆเลย?
จากที่พวกเขารู้มานั่นหลี่บี๋เฟิงเป็นคนที่ไม่พอใจชูฮันมากที่สุด ทว่าตอนนี้หลี่บี๋เฟิงกลับเป็นคนที่ไม่ลังเลที่จะทำตามคำสั่งของชูฮันเลยสักนิด แม้ครั้งนี้ตัวหลี่บี๋เฟิงจะทำผิดครั้งใหญ่ในการฝึกเพื่อเอาชีวิตรอดแต่สำหรับตอนนี้เขาทำให้ชูฮันประทับใจมาก
ก่อนหน้านี้หลี่บี๋เฟิงไม่เข้าใจว่าทำไมกฏระเบียบทหารของกองทัพเขี้ยวหมาป่าของชูฮันถึงได้เข้มงวดมากขนาดนี้ เขาไม่เข้าใจวิธีการทำงานของชูฮันเลยว่าทำไมต้องดุเดือดถึงขั้นนี้ แต่ตอนนี้เมื่อเขาได้เห็นพวกคนมาใหม่พวกนี้อวดดีขนาดไหนในที่สุดเขาก็เข้าใจเจตนาของชูฮันแล้ว
นี่มันกองทัพ ไม่ใช่สถานสงเคราะห์!
ถ้าชูฮันไม่จัดการอู๋หยูเฉียงให้ซะก่อน พวกเขาคงจะโดนโจมตีและตกอยู่ในอันตรายกันไปแล้ว?
เมื่อไม่ฟังคำสั่งของผู้บังคับบัญชา เมื่อมีข้อสงสัย เมื่อมีการโต้เถียง เมื่อมีข้อร้องเรียงทั้งหลาย ก็จะเกิดเรื่องผิดพลาดที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น ทุกอย่างเป็นเพราะพวกเขาไม่สนใจคำพูดของผู้บังคังบัญชา ชูฮันพูดไว้อย่างชัดเจนแล้วแต่พวกเขาเองที่ไม่สนใจและเกือบนำหายนะครั้งใหญ่มาสู่พวกพ้อง
โดยเฉพาะกลุ่มที่หนึ่งซึ่งเป็นกลุ่มของหลี่บี๋เฟิงที่ไม่สนใจหาข้อมูลเบาะแสของซุปเปอร์ซอมบี้เลย แถมยังเอาแต่ไล่ฆ่าซอมบี้มาตลอดทาง ทั้งๆที่ซุปเปอร์ซอมบี้อยู่ต่อหน้าตัวเองแท้ๆ
เพราะงั้นในตอนนี้หลี่บี๋เฟิงจึงอยู่ในสถานการณ์ที่อึดอัดมาก
ถัดไปจากหลี่บี๋เฟิงที่กำลังวิดพื้นอยู่ที่พื้น ชูฮันก็เริ่มก้าวเท้าออกเดินอีกครั้ง เขาเดินไปที่กลุ่มที่สองซึ่งเป็นกลุ่มของเฉินช่าวเย่ “เฉินช่าวเย่ บอกพวกเขาไปสิว่ายศตำแหน่งคืออะไร?”
“ขออนุญาตครับท่าน ยศคือความแข็งแกร่ง ความรุ่งโรจน์และความรับผิดชอบ!” เฉินช่าวตอบเสียงดังฟังชัด
“ดี” ชูฮันกวาดสายเยือกเย็นใส่ทั้งคนร้อยกว่าคนตรงหน้า จากนั้นก็หยุดยืนอยู่ต่อหน้าหลี่ชวนและพูดขึ้น “บอกพวกเขาสิว่านายฆ่าซอมบี้ไปได้กี่ตัวเมื่อได้รับตำแหน่งสิบโท? แล้วนายฆ่าซอมบี้ได้กี่ตัวเมื่อขึ้นไปตำแหน่งสิบเอก?”
“ขออนุญาตครับท่าน!” หลี่ชวนดึงพลังทั้งหมดออกมาตะโกนเสียงดัง “เมื่อผมได้รับตำแหน่งสิบโท ผมฆ่าซอมบี้ไปสองร้อยตัว และเมื่อผมได้ตำแหน่งสิบเอกผมฆ่าซอมบี้ได้ 3,000 ตัวภายในเวลาเดือนเดียว!”
“อย่าตอบเกินคำถาม” เสียงของชูฮันนิ่งเรียบ “วิดพื้นหนึ่งร้อยครั้ง”
“ครับท่าน!” เหมือนกับหลี่บี๋เฟิง หลี่ชวนเริ่มทำการวิดพื้นทันที แม้หลี่ชวนจะเป็นคนธรรมดาและมีสมรรถภาพทางร่างกายอย่างคนปกติ หากเขากลับไม่ลังเลเลยสักนิดที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของชูฮัน
กลุ่มคนมาใหม่ทั้งสิบคนต่างตกใจกับข้อมูลที่ได้ยิน พวกเขารู้จักหลี่ชวน พวกเขารู้ว่าหลี่ชวนเป็นคนธรรมดาแต่หลี่ชวนกลับสามารถฆ่าซอมบี้ได้สองร้อยตัวเพื่อยรับตำแหน่งสิบโท? และภายในเดือนเดียวเขาฆ่าซอมบี้ได้ 3,000ตัว?
“ใช่แล้ว” ชูฮันหันไปพูดกับคนมาใหม่สิบคนด้วยน้ำเสียงเย็นชา “กองทัพคืออะไร? พวกคุณต้องทำอะไรบ้างในกองทัพ? พวกคุณเข้าร่วมกองทัพมาเพื่อเล่นหรือเพื่อติดตามฉันเล่นๆเหรอไง? ฉันขอโทษด้วยที่พวกคุณต้องทนทุกข์อยู่ในกองทัพของฉันอย่างไม่มีความสุขเลย”
คนมาใหม่ทั้งสิบคนพลันเกิดความไม่พอใจขึ้นทันทีทว่าพวกเขาไม่กล้าแสดงสีหน้าออกไปให้ใครเห็น
ชูฮันไม่เปิดโอกาสให้ทั้งสิบคนได้ตอบโต้อะไรอีก เขาเดินไปหยุดยืนต่อหน้าคนหนึ่งพร้อมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง “จากข้อร้องเรียนของพวกคุณ ถึงแม้พวกคุณจะข้องใจกับคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ถึงแม้พวกคุณจะโดนซุปเปอร์ซอมบี้หลอก แต่นี่ก็เป็นแค่การฝึกเท่านั้น แล้วถ้ามันเป็นการรบจริงพวกคุณอยากจะรู้มั้ยว่าเพราะอะไรพวกคุณถึงตาย?”
“ความเพิกเฉย ความอวดดี ฉันคิดว่ามันคงดีถ้าได้ฝึกพวกคุณก่อนเป็นเวลาหนึ่งเดือน?” ชูฮันยิ่งโกรธขึ้นเรื่อยๆ “นี่คือผลลัพธ์ที่พวกคุณมอบให้ฉันหลังจากการฝึกที่ฉันมอบให้ตลอดหนึ่งเดือนงั้นเหรอ? นี่คือสิ่งที่พวกคุณทำหลังจากฉันปล่อยให้พวกคุณเข้ามาในเมือง? การฝึกฝนไม่ได้เกิดขึ้นด้วยซ้ำ พวกคุณคิดว่าการฝึกนี่คือการละเล่นเหรอไง? พวกคุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถ้ามันเป็นการรบจริงพวกคุณคงตายกันไปหมดแล้ว!”
“มันไม่คำเรียกว่า การฝึก อะไรทั้งนั้นในกองทัพของฉัน ฉันต้องการครอบครัวที่พร้อมต่อสู้กับฉันและกลับไปซางจิงด้วยกัน! สำหรับกองทัพของฉันการฝึกทุกอย่างคือเรื่องจริงทั้งหมด! แม้แต่การฝึกเพื่อเอาชีวิตรอดเล็กๆแค่นี้ยังมีข้อผิดพลาดมากมาย แล้วใครจะสามารถรับภารกิจไปจากฉันได้ในอนาคต ใครที่ฉันจะรู้สึกปลอดภัยและไม่ต้องเป็นพะวงว่าจะโดนโจมตีจากข้างหลัง?!”
ทุกคนต่างอึ้ง ทหารผ่านศึกทั้งหนึ่งร้อยคนต่างก้มหัวโค้งและกำหมัดแน่น ที่หัวหน้าพูดมันถูกต้องแล้ว ครั้งนี้พวกเขาทำผิดพลาดครั้งใหญ่ นี่มันคือการฝึกก็จริง แต่ถ้ามันเกิดขึ้นในสนามรบจริงอย่างที่หัวหน้าพูดป่านนี้พวกเขาคงตายไปแล้วมากกว่า 800 ครั้ง!
“ฉันเคยพูดไว้ว่าใครที่ทรยศฉันจะไม่มีวันปล่อยมันไป” ชูฮันหรี่ตากวาดมองทั้งหนึ่งร้อยห้าสิบคนและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงกระด้าง “ครั้งนี้เจิ้งเย้านำพาวิวัฒนาการระยะ 5 มาและครั้งหน้าคนต่อไปก็อาจนำพาคนที่แข็งแกร่งกว่านี้มาอีกได้ เพราะงั้นกลุ่มที่สี่ต้องถูกลดตำแหน่งไปที่ตำแหน่งต่ำสุด พวกคุณไม่พอใจงั้นเหรอ? ยอมรับมันซะ!”
โดยไม่เปิดโอกาสให้ใครได้ปฏิเสธ ชูฮันที่อารมณ์เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆก็พูดขึ้นต่อทันทีด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง “ฉันฆ่าอู๋หยูเฉียง ใช่ ซึ่งมันก็ถูกแล้ว และในเมื่อเจิ้งเย้าเป็นคนพาเขามา แล้วพวกคุณคิดว่าฉันจะปล่อยให้อู๋หยูเฉียงที่อาจนำพาปรมาจารย์ที่อาจเป็นวิวัฒนาการระยะ 6 หรือ 7 มาภายหลังงั้นเหรอ? ฉันไม่ใช่พวกคุณ ฉันไม่ใจอ่อน! ในพจนาณุกรมของฉันไม่มีคำว่าใจอ่อน!”
ทั้งหนึ่งร้อยห้าสิบคนเหมือนทำเสียงหายกันหมด โดยเฉพาะเหล่าทหารผ่านศึกทั้งหนึ่งร้อยคนที่กำลังโทษตัวเองกันอยู่ พวกเขาประมาทเกินไป พวกเขาหยิ่งเกินไปและคิดว่าตัวเองเก่งที่สุดในโลก พวกเขาคิดว่าหลังจากหนึ่งเดือนที่ผ่านมาพวกเขาสามารถเอาชนะได้ทุกอย่าง
แต่ตอนนี้ คำพูดของหัวหน้าชูฮันเหมือนกับลูกตบฟาดเข้าที่หน้าของพวกเขาจนปวดแสบปวดร้อน! “หลิวยู่ติงสบายกว่าพวกคุณ? คิดว่าฉันลำเอียง?” น้ำเสียงของชูฮันเริ่มดังขึ้นไปทุกขณะ ทันใดนั้นเขาก็เรียกหลิวยู่ติง “หลิวยู่ติง! เอาสิ่งที่นายเขียนทั้งหมดตลอดสามวันที่ผ่านมาให้พวกเขาดูสิ!”
“อ่อ—-” หลิวยู่ติงเหลือบมอง หากไม่นานเขาก็หยิบปึกกระดาษออกมาจากกระเป๋าที่วางอยู่ข้างๆบนพื้น มันเป็นปึกกระดาษหนาที่ถูกขีดเขียนไว้ทั้งสองหน้ากระดาษด้วยตัวอักษรสีดำหนาแน่นอัดเต็มไปหมด