เหอซางขยี้ตา เอามือแตะหัวตัวเอง ลูกตาขยับขึ้นลงไปมา เนื่องจากเหล่าคนที่ต่อคิวอยู่หน้าพวกเขาทั้งสองคนนั้นค่อนข้างสูงกว่าทำให้พวกเขามองไม่เห็นคนที่พูด แต่ยิ่งเหอซางพยายามเอื้อมตัวขึ้นเพื่อให้มองเห็นมากเท่าไหร่ การแสดงออกของเขาก็ยิ่งผิดปกติกว่าคนทั่วไปมากขึ้นเท่านั้น
ในช่วงบ่าย ถึงแม้ท้องฟ้าจะเป็นสีเทาแต่มันก็ยังมีดวงอาทิตย์ ในขณะนี้มีคนหนึ่งมาปรากฏต่อหน้าเหอซาง เหอซางต้องหรี่ตาเพราะแสงสะท้อนจ้าจากหัวล้านของอีกฝ่ายที่แทยงเข้าตาเขา…
คนหัวล้านตัวใหญ่!
ไม่ทันรอให้เหอซางได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง เสี่ยติงได้ทำการโต้เถียงกับคนอื่นไปแล้ว
“ใครเรียกฉันว่าไอ้ล้าน ขอดูหน้าหน่อยเถอะ!” เสี่ยติงพยายามชะเง้อคอดู
“เฮ้ย ไอ้หน้าอ่อน ไอ้หัวล้าน แกนั่นแหละ!” คนหัวล้านตัวใหญ่ที่อยู่ตรงข้ามพวกเขาไม่มีความกลัวใดๆเลย เขาเผชิญหน้ากับเสี่ยวติงอย่างท้าทาย
เหล่าคนรอบๆที่เข้าแถวอยู่ทนไม่ไหวจนพากันหัวเราะออกมาและเสียงมันก็ค่อยๆเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ หลังจากนั้น คนหัวล้านสามคนยืนเผชิญหน้ากัน โดยมีเสี่ยติงและคนหัวล้านตัวใหญ่ที่เอาแต่เรียกอีกฝ่ายว่าหัวล้านกันไปมา
เหอซางรีบแทรกขัดทั้งสองคนขึ้นมา เขามองไปที่ผู้ชายร่างใหญ่ที่สูงถึงสองเมตร “เพื่อนยาก นายชื่ออะไร?”
ชายหัวล้านตัวใหญ่แสดงถึงความร้ายกาจของตัวเอง เขาเกร็งกล้ามเนื้อจนกล้ามขึ้นเป็นมัดๆ หัวล้านของเขาส่องแสงประกายวาวไปทั่ว “ฟังนะ ไอ้หนู ฉันชื่อกวังโถว!” (***กวังโถว ภาษาจีนอีกนัยหนึ่งแปลว่า หัวล้าน ได้เหมือนกัน)
“พัฟ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!” หลายคนหลุดหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
เหอซางเองก็อึ้งเหมือนกัน เขาไม่คิดเลยว่าชื่อและภาพลักษณ์ของคนมันจะคล้องจองกันได้ขนาดนี้
“นี่มันเล่นตลกอะไรกัน นายเปลี่ยนชื่อให้ตัวเองเป็นไอ้ล้านสินะ!” เสี่ยติงไม่ได้ขำเลยสักนิด กลับกันเขายังคงทะเลาะกับกวังโถวต่อ
“แกก็หัวล้าน แกพูดอะไร? ขอโทษทีนะ?!” กวังโถวดูเหมือนจะเป็นคนที่ไม่มีเส้นความอดทนสักเท่าไหร่ และการเผชิญหน้ากับเสี่ยติงก็ค่อนข้างดุเดือด
“ไอ้ล้าน!”
“หัวล้าน!”
“แกตายแน่ ไอ้ล้าน!”
“แกตายแน่ ไอ้ล้าน!”
ขณะที่ทั้งสองต่างข่มใส่กันไปมาไม่หยุด ผู้คนรอบข้างก็ได้หัวเราะ แถมเสียงหัวเราะของทุกคนก็เริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ แต่แล้วจู่ๆก็มีคนคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น ท่าทางดูเหมือนจะเป็นผู้นำพร้อมกับแววตาเคร่งเครียดและดุร้าย “ใครมันกล้ามาสร้างปัญหาในค่ายของฉัน?”
เสียงหัวเราะพลันสลายหายไปทันที ทุกคนรีบยืนนิ่ง ทำให้เหอซาง เสี่ยติงและกวังโถวเป็นจุดเด่นท่ามกลางกลุ่มคนในวงล้อม ในตอนนั้นเสี่ยติงและกวังโถวยังคงเผชิญหน้ากันอยู่ตรงกลางระหว่างกลุ่มคนที่ล้อมอยู่
มันมีจิตสังหารประกายวาวอยู่ในนัยน์ตาของคนที่ปรากฏตัวขึ้นใหม่ “ใครที่สร้างปัญหาตรงประตูค่าย จัดการให้พวกมันหุบปากพวกมันซะ!”
“ครับ!” คนกลุ่มหนึ่งตอบรับพร้อมมุ่งหน้าเข้าไปหาทั้งสามคน
“เดี๋ยว! เดี๋ยวก่อน!” เหอซางรีบพูด “นี่มันไม่ใช่เรื่องของฉัน มันไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน คุณเองก็เห็น ฉันไม่ได้มีส่วนร่วมเลย”
ผู้นำค่ายไม่ให้โอกาสเหอซางได้ปกป้องตัวเองเลย เขาเอ่ยขึ้น “ดูก็รู้ว่าพวกแกสามคนเป็นพวกเดียวกัน จับพวกมันทั้งหมดซะ!”
เหอซางอึ้ง…ทำไมถึงเอาความหัวล้านของพวกเขามาใช้ตัดสินแบบนี้?
และในตอนนั้นเอง กวังโถวก็แหกปากขึ้นมา เขาปัดมือคนที่กำลังจะเข้ามาจับเขาและเตะกระเด็นออกไป “ออกไป! กล้ามายุ่งกับฉันเหรอ!”
“แกกล้าทำร้ายเจ้าหน้าที่ของค่าย!” ชายที่เป็นผู้นำเดือดจัด ในตอนนั้นใบหน้าของเขาเริ่มบิดเบี้ยวด้วยความโกรธอย่างรุนแรง เขาหันมาเผชิญหน้ากับทุกคนพร้อมออกคำสั่ง “นี่มันบ้าบออะไรกัน! จับสามคนนี่ไปขังไว้ในคุกนักโทษเดี๋ยวนี้!”
กลุ่มคนรีบก้าวเท้าเข้ามาข้างหน้าจับมัดหัวล้านทั้งสามคนและลากไปขังในคุกของค่าย
“จับฉัน?!” เหอซางตกใจ เขาพลันรู้สึกเสียใจที่ตัวเองไม่ได้ใส่เกราะมา เพราะเมื่อเขาไม่มีเกราะ พลังของเขาคือศูนย์
————
ในขณะเดียวกัน ตั้งแต่เริ่มที่ค่ายผู้รอดชีวิตซางจิงมาถึงเมืองอันลู ทีมของชูฮันได้ขยายจำนวนสมาชิกมาจนถึงตัวเลขที่ 230 คน เดือนที่ผ่านมาพวกเขาได้ปะทะกับฝูงซอมบี้ทั้งหมดสามครั้ง ทุกครั้งนั้นเต็มไปด้วยอันตรายมหาศาล การฝึกเอาชีวิตรอดครั้งที่สองได้กำจัดสมาชิกออกไป 50 คน ไม่อย่างนั้นตอนนี้พวกเขาคงมีสมาชิกอยู่ที่ 280 คนไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ไม่มีคำว่าเสียดายต่อกองทัพเขี้ยวหมาป่าถึงแม้ว่าความต้องการต่อจำนวนจะสูงอย่างมากก็ตาม เพราะทั้ง 230 ที่ผ่านเข้ามานั้นต้องผ่านมาตรฐานของชูฮัน คนมาใหม่ 40 คนที่ได้ผ่านการฝึกเพื่อเอาชีวิตรอดในหลิงเฉิงตอนนี้มียศอยู่ที่สิบเอกกันหมด
ทีมนักฆ่าขนนกที่นำโดยซูเฟิงเองก็เพิ่มจำนวนมาที่ 20 คน หลี่บี๋เฟิงเองก็ได้ยกระดับวิวัฒนาการขึ้นมาที่ระะย 5 อันเนื่องมาจากการฝึกฝนสุดโหดตลอดทั้งเดือน
ทีมนักฆ่าขนนกทำฝึกฝนกันอย่างหนักหน่วงภายใต้การกดดันของชูฮัน ความเร็วและพละกำลังนั้นสูงเหนือขีดจำกัด แน่นอนว่ามันเพิ่มขึ้นมากกว่าพละกำลังปกติสองถึงสามเท่า เป็นทีมที่ฝึกมาเพื่อทำการฆ่าโดยตรง โหดร้ายและไร้เทียมทาน
แต่มันเป็นเพราะการฝึกฝนที่ดุเดือดมากเกินไปทำให้ภายใต้การฝึกหนึ่งเดือนนั้นเกิดวิกฤตใหญ่ขึ้น เนื่องจากทีมนักฆ่าขนนกทั้งโหดเหี้ยมและรวดเร็วเกินไป พวกเขาออกตัวพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและเต็มพลังจนหายไปอย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้ชูฮันและคนอื่นๆขาดการติดต่อจากพวกเขา ต้องใช้เวลากว่าหนึ่งอาทิตย์กว่าชูฮันจะตามพวกเขาเจอ ซึ่งชูฮันไปเจอพวกเขา 20 คน นอนขดตัวสั่นเทิ้มอยู่ใต้ต้นไม้ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะหนา เนื้อตัวเต็มไปด้วยเกล็ดน้ำแข็ง ผิวเริ่มเป็นสีม่วงคล้ำจนเกือบจะแข็งตาย
ในทำนองเดียวกัน ได้มีการจัดตั้งแผนกเจ้าหน้าที่ขึ้นอย่างเป็นทางการ ซึ่งในขณะนี้มีจำนวนสมาชิกอยู่เพียงแค่สองคนเท่านั้น นั่นก็คือกูเหลียงเฉินและชูเซี่ย เมื่อเทียบกับแผนกกฏระเบียบทหารที่มีสมาชิกเพียงแค่คนเดียว แผนกเจ้าหน้าที่จึงมีภาระหน้าที่น้อยกว่าหลิวยู่ติงที่ทำงานคนเดียว เนื่องจากหลิวยู่ติงได้เปิดเผยตัวตนที่น่ากลัวราวกับปีศาจของเขาออกมา การทำงานเพียงคนเดียวของเขาจึงไม่ได้รู้สึกว่ามันเหนื่อยหรือยากตรงไหน
และเช่นเดียวกัน ชื่อของหลิวยู่ติง…ผู้คุมกฏระเบียบแห่งกองทัพเขี้ยวหมาป่า ก็เป็นที่โด่งดังและรู้จักกันดีท่ามกลางสมาชิกสองร้อยกว่าคนของกองทัพ และตอนนี้ใครก็ตามที่เจอซูเฟิง ผู้ที่ชูฮันได้จัดตั้งให้เป็นกัปตันทีมนักฆ่า ก็จะเต็มไปด้วยอาการเกร็ง เนื่องจากตำแหน่งที่เปลี่ยนไปเพราะตอนนี้ซูเฟิงเป็นกัปตันของทีมนักฆ่าขนนกแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ทำหน้าที่บอดี้การ์ดส่วนตัวที่คอยตามชูฮันรอบๆตัวอีกต่อไป
เนื่องจากกูเหลียงเฉินและชูเซี่ยได้ทำงานให้แผนกเจ้าหน้าที่ ตลอดสองเดือนที่ผ่านมาชูฮันจึงค่อยข้างสบาย จะเรียกได้ว่าชูฮันเป็นคนที่สบายและผ่อนคลายที่สุดในกองทัพเลยก็ว่าได้ เขาเดินไปรอบๆทั้งวัน ดูเหล่าคนมาใหม่ฝึกฝน เวลาว่างเขาก็กิน ดื่ม และมีความสุข
ใครต้องการระบบล่มสลายกัน? เขาไม่จำเป็นต้องเพิ่มพละกำลังของเขา ที่เขาต้องการก็คือการได้เลื่อนตำแหน่งและฆ่าซอมบี้
กองทัพของชูฮันค่อยๆสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง ทำงานของตัวเอง ฝึกฝนและเดินหน้าต่อไป
และในขณะที่ชูฮันนำพากองทัพของเขาเข้าไปในเมืองอีกครั้ง และปล่อยให้ทีมนักฆ่าขนนกพุ่งเข้าไปก่อนเพื่อจัดการกับซอมบี้ระดับสูงและเคลียร์ทาง ส่วนคนที่เหลือถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่มเพื่อรอตามเข้าไป อย่างไม่คาดคิด…จู่ๆก็มีคนคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น เขามาตามหาชูฮัน