Apocalypse Meltdown โลกาวินาศล่มสลาย – ตอนที่ 512

“ไป! ไป! ไป! เดินไปเลยไอ้เวร! เดินไป!”

 

“วอนตายเหรอมึง! หุบปากเน่าๆมึงซะ!”

 

“มึงรู้ว่านี่คือใคร? หุบปากมึงก่อนจะไม่ได้พูดดีกว่า!”

 

ไม่กี่คนในคุกที่ไม่รู้จักหลิวซิน และเมื่อเห็นหลิวซินเดินผ่านก็พูดจาหาเรื่อง หากก็รีบมีคนเตือนให้หยุดพูดซะก่อน หลิวซินเดินเข้ามาในคุกกวาดสายตาตรวจสอบรอบๆอย่างละเอียด

 

ในตอนนั้น ภายในกรงของทั้งสามคนที่หลบอยู่ในมุมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังเข้ามาใกล้พวกเขาขึ้นเรื่อยๆ หากไม่มีเวลาให้ทั้งสามคนได้มีปฏิกิริยาอะไร ไอ้ผู้ชายบ้าฝั่งตรงข้ามก็แหกปากขึ้นมาซะก่อน “ฉันเอง! นั่นใคร? นั่นท่านหลิวซิน รีบก้มหัวพวกมึงเร็ว ไม่อย่างนั้นพ่อจะตบให้มึงหาทิศไม่เจอเลย!”

 

ในกรงขังอื่นๆภายในตัวคุกมีแต่เสียงโวยวายของผู้ไปมา เป็นการพยายามที่จะดึงความสนใจของหลิวซินให้ได้

 

หากหลิวซินกลับทำเป็นหูหนวก เขาเดินต่อไปบนทางเดินมือ และทันใดนั้นเขาก็หยุดอยู่ตรงหน้ากรงขังของหัวล้านสามคนที่นั่งเงียบ

 

เมื่อหลิวซินหยุดเดิน เหล่านักโทษด้านหลังทั้งหลายที่ส่งเสียงเองก็หยุดเสียงเหมือนกัน สายตาของทุกคนมองมาที่หลิวซินและหัวล้านสามคนในกรงขัง

 

เสี่ยติงและกวังโถวมีท่าทีพร้อมเพรียงกันคือ…พวกเขาเอื้อมมือไปเตะหัวล้านของตัวเอง จากนั้นก็หันหน้ามองไปที่เหอซางที่อยู่ตรงกลาง…ถ้ามีใครที่จะรู้ว่าผู้ชายตัวใหญ่นอกกรงขังนี่คือใคร ก็ต้องเป็นเหอซางผู้ลึกลับคนนี้

 

เหอซางกระพริบตาและจ้องหลิวซิน จนหลิวซินอดไม่ได้ต้องขมวดคิ้ว คนนี่มันใครกัน? เขาไม่รู้จัก!

 

ในตอนนั้น หลิวซินเดินเข้ามาใกล้ตัวลูกกรง แววตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “คนไหนคือคนที่ใส่เกราะครึ่งตัวนั้น?”

 

“คุณจะให้เกราะของคุณกับผมได้มั้ย?”

 

เฮือก!

เสี่ยติงและกวังโถวต่างมองไปที่เหอซางพร้อมกัน

 

เหอซางเองก็อึ้งและมองไปที่หลิวซินที่ชี้นิ้วมาหาเขาอยู่

 

หลิวซินยกยิ้ม หลังจากความเงียบเป็นนาทีผ่านไป เขาก็เอ่ยขึ้น “หลักการของตัวชุดเกราะมันน่าทึ่งมาก ผมอยากจะนำมันมาวิจัย”

 

เหอซางยิ้มและกล่าวเสริม “ถึงคุณได้มันไป คุณก็ไม่สามารถใช้งานมันได้ เพราะมันมีตัวล็อคสแกนลายนิ้วมือ มีเพียงแค่ผมเท่านั้นที่ใช้ได้”

 

แววตาของหลิวซินเต็มไปด้วยคำถาม “นั่นเป็นสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของคุณ คุณช่วยบอกชื่อของคุณได้มั้ย?”

 

“ได้สิ!” เหอซางพยักหน้า “ผมชื่อกวังโถว!”

 

ถัดจากเหอซาง สีหน้าของเสี่ยติงและกวังโถวตกใจ นี่เหอซางขโมยชื่อกวังโถว?

 

หลิวซินสบตาของเสี่ยติงและกวังโถว และชี้นิ้วไปที่ทั้งสองคน “แล้วพวกเขาล่ะ?”

 

กวังโถวพลันเหงื่อแตก เพราะเหอซางไปโกหกไว้ แล้วตอนนี้เขาจะทำยังไงดีล่ะ?

 

เหอซางตอบด้วยท่าทาวสบายๆ “คนหนึ่งชื่อเสี่ยติง ส่วนอีกคนชื่อเสี่ย”

 

หลิวซินพยักหน้าและไม่ได้เอ่ยถามต่อ เขาเพียงหันไปออกคำสั่งกับคนด้านหลัง “เอาตัวสามคนนี้ไป”

 

“ครับ ได้ครับ” เหล่าเจ้าหน้าที่รีบรุดหน้าเข้ามาปลดล็อคกรงขังอย่างรวดเร็ว

 

ชายที่ถูกขังอยู่ฝั่งตรงข้ามอารมณ์ปะทุขึ้นมาทันที “เ*ย! แล้วกูล่ะ! ทำไมถึงปล่อยไอ้หน้าโง่สามตัวนั่น ทำไมไม่ปล่อยกู?”

 

หลิวซินเหลือบตามองไปที่ผู็ชายด้านหลังเล็กน้อย แววตามีประกายรำคาญก่อนหันกลับมาออกคำสั่ง “เอามันไปประหารซะ!”

 

“ครับ!” กลุ่มเจ้าหน้าที่ตอบรับทันที

 

เหอซางที่ถูกปล่อยตัวออกมายืนรวมกันสามคนกับเสี่ยติงและกวังโถงตะลึงอย่างทำอะไรไม่ถูก พวกเขาได้แต่ปิดปากเงียบและเดินตามหลิวซินออกไปนอกคุก

 

“ผมขอบคุณมากๆ!” หลิวซินไม่แม้แต่จะเห็นเสี่ยติงและกวังโถวในสายตา หากเขาก็ไม่ปิดบังความซึ้งใจที่มีต่อเหอซาง หลิวซินเดินพร้อมกับยิ้มให้เหอซางไปตลอดทาง “ผมหวังว่าคุณจะยอมเข้าร่วมกับสถาบ้านวิจัยของค่ายหนานตู้ ที่ซึ่งคุณจะได้พบกับเหล่าคนมีความสามารถทั้งหลายและความเป็นอัจฉริยะทางด้านเทคโนโลยีของคุณก็จะไม่สูญหายไป”

 

เหอซางยิ้ม “ขอบคุณ”

 

น้ำเสียงของหลิวซินเรียบง่าย “ผมจะพาคุณและทั้งสองคนไปดูที่พัก และผมจะไปรับคุณไปรายงานตัวที่สถาบันวิจัยวันพรุ่งนี้ อย่าลืมว่าพวกคุณห้ามสร้างปัญหาใดๆนะครับ”

 

“ผมเข้าใจดี” เหอซางพยักหน้าและตอบรับแทนเสี่ยติงและกวังโถวที่ไม่อยากจะพูด

 

ที่พักที่หลิวซินจัดให้สำหรับพวกเขาทั้งสามคนนั้นดีเลยทีเดียว อพาร์ทเม้นที่ตกแต่งและเพรียบพร้อมไปด้วยเฟอร์นิเจอร์อยู่ในที่ๆมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา ไม่มีช่องทางให้ข้องแวะหรือยุ่งเกี่ยวกับห้องที่อยู่ฝั่งซ้ายและขวา พวกเขาตรงเข้ามาในห้องนี้ทันทีเมื่อมาถึง และเป็นไปไม่ได้ที่จะออกไปด้านนอก และถ้าอยากจะพูดอะไรพวกเขาควรจะกระซิบจะดีกว่า

 

หลังจากหลิวซินจากไป มันก็มีเพียงแค่พวกเขาสามคนในห้อง หวังโถวอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา “นายเป็นใคร? ทำไมอยู่ดีๆถึงมีคนยื่นมือเข้ามาช่วย!”

 

เสี่ยติงเมินเฉยต่อกวังโถวโดยสิ้นเชิงและหันไปถามเหอซางแทน “ทำไมพี่ต้องปกปิดชื่อตัวเอง?”

 

เหอซางหันหน้ากลับมาและตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ไอดอลของฉันบอกว่าเวลาอยู่ข้างนอกเราต้องอย่าให้ใครรู้ตัวตน”

 

ชื่อของเหอซางอาจเป็นเรื่องตลกในสายตาของคนทั่วไป แต่ในสายตาของเจ้าหน้าที่พิเศษบางคน มันมากพอแล้วที่สร้างพายุหรือสงครามเลือดขึ้นมา…สมาชิกหลักของ Mensa…คนที่มีความฉลาดสูงสุดในจีน มาปรากฏตัวอยู่ที่นี้ ถ้าใครรู้ว่าแน่นอนว่าเรื่องมันจะไม่เป็นอย่างตอนนี้แน่

 

“เอาล่ะ” เสี่ยติงขี้เกียจเกินกว่าจะถามถึงไอดอลที่เหอซางมักพูดถึงอยู่เสมอ เสี่ยติงเพียงนิ่วหน้าและถาม “แล้วพี่จะทำยังไงต่อจากนี้? จะเข้าไปในสถาบันวิจัยพรุ่งนี้จริงๆงั้นเหรอ? จุดประสงค์ของการเดินทางในครั้งนี้ของพวกเราคืออะไรกันแน่?”

 

เหอซางเอ่ยตอบพร้อมกับร่องรอยความเศร้าที่ปรากฏบนสีหน้า เขาพลันส่ายหน้าและยิ้มออกมา “คราวนี้ฉันคิดว่าฉันวางแผนมาดีแล้ว ฉันอยากจะทำบางอย่างให้ไอดอลบ้าง ฉันพยายามจะแสดงตัวเองต่อหน้าไอดอล แต่ฉันไม่รู้เลยว่าคราวนี้ฉันจะทำให้ตัวเองตกอยู่ปัญหาเข้าแล้ว”

 

ค่ายผู้รอดชีวิตหนานตู้ หนึ่งในสามค่ายหลักๆที่ใหญ่ที่สุดในจีน มันมีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับสถาบันวิจัยของที่นี้ที่ไม่ชัดเจน และจากมุมมองของเหล่าผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี้ต่างก็รู้ดีว่าสถานที่นี่เข้มงวดมากขนาดไหน การจะเข้าไปในสถาบันวิจัยนั่นควรจะต้องคิดให้รอบคอบก่อน เพราะกลัวว่ามันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่คิด

 

———–

 

โลกาวินาศในเดือนมีนาคมปีที่แล้ว เมืองหยินทั้งเมืองจะล่มสลายและตกเป็นค่ายพักของเหล่าลูกผสม ลูกผสมตัวแล้วตัวเล่าต่างเดินเข้ามาเข้าร่วมสวรรค์แห่งนี้ด้วยกัน มนุษย์ค่อยๆโดนจับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆมาเป็นอาหารของเหล่าลูกผสม

 

ในตอนนี้ที่ห้องโถงอันใหญ่โต เหล่าลูกผสมกว่าสิบตัวที่ร่างกายคลุมด้วยชุดคลุมสีดำสนิทต่างยืนนิ่งเงียบอยู่ในห้องโถง

 

ตรงกลางของห้องโถง มันมีโต๊ะรับประทานอาหารยาวหรูหราตั้งอยู่ พร้อมกับพ่อครับที่เป็นมนุษย์ยืนอย่างกระวนกระวายและเหลือบตาไปมาตลอดมา

 

มู๋เย๋ที่ประกาศตนเองเป็นราชาลูกผสมของค่ายลูกผสมแห่งเมืองหยินกำลังนั่งอยู่บนโต๊ะอาหารเพลิดเพลินกับเนื้อมนุษย์ที่ปนุงด้วยพ่อครัวระดับสูง มู๋เย๋สวมถุงมือสีดำซึ่งช่วยปกปิดกรงเล็บที่แหลมคมของเขา ใบหน้าของเขาเองก็ดูเหมือนกับมนุษย์ปกติทั่วไป ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวที่มีก็คือลุกตาที่แสนจะน่ากลัวสำหรับใครที่บังเอิญได้สบตา ทั้งห้องโถงเงียบสนิทเป็นพิเศษ มีเพียงแค่เสียงเคี้ยวเบาๆของมู๋เย๋เท่านั้นที่มีให้ได้ยินแผ่วๆในอากาศ

 

หลังจากกินเนื้อมนุษย์คำสุดท้ายเข้าปาก มู๋เย๋ก็วางส้อมลงและหันไปมองพ่อครัวที่ยืนนิ่งแข็งถัดไปจากเขามานาน น้ำเสียงเรียบนิ่งไร้อารมณ์ “ทำดีมาก ทำต่อไป”

 

“ขอบคุณครับ! ขอบคุณมากครับที่ไว้ชีวิตผม” พ่อครัวรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก เขาหลุบตาลงต่ำไม่กล้าจะสบตากับปีศาจตรงหน้าและไม่เอ่ยอะไรอีก ตราบใดที่เขาไม่ต้องกลายเป็นอาหารของปีศาจพวกนี้ จะให้เขาทำอะไรเขาก็ยอมทั้งนั้น

 

หลังจากเสร็จและมู๋เย๋กำลังลุกขึ้น จู่ๆก็มีลูกผสมตัวหนึ่งเดินเข้ามาและพูดด้วยความเคารพ “มีเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งบินเข้าไปมาในเมืองหยินครับ”

Apocalypse Meltdown

Apocalypse Meltdown

มันเป็นโลกที่ซอมบี้และมนุษย์อาศัยอยู่ด้วยความสิ้นหวัง สนามแม่เหล็กของโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงและทุกอย่างได้ย้อนกลับมายังจุดเริ่มต้น วันหนึ่ง วีรบุรุษของพวกเรา…ชูฮัน ได้เดินทางย้อนเวลากลับมาสิบปีก่อนโดยไม่รู้ตัว เขาได้ย้อนกลับมาก่อนจุดจบของโลกจะเริ่มต้นขึ้น (โลกาวินาศ) เขาถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยเสียงดังในหอพักในมหาวิทยาลัยหมิงชิว ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาได้กลับชาติมาเกิดใหม่ ชูฮันต่อสู้กับเหล่าซอมบี้นับสิบๆตัวก่อนจะมุ่งหน้าไปที่ลานจอดรถเพื่อขโมยรถยนต์เมอร์ซิเดซ-เบนซ์G55ออกมา เขาตัดสินใจที่จะตามหาพ่อแม่และพี่น้องของเขาด้วยG55คันนี้ ซึ่งนี้เป็นสิ่งที่เขาเสียใจที่ไม่ได้ทำในชาติที่แล้ว ระหว่างทางชูฮันได้พบปะกับคนกลุ่มหนึ่งที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นมีคนที่ติดอันดับ 20 ของโลกาวินาศรวมอยู่ด้วย…เฉินช่าวเย่ พวกเขาพบกับซอมบี้จำนวนมากระหว่างทางบนทางหลวง ซึ่งชูฮันได้ใช้รถ G55 พุ่งชนเหล่าซอมบี้จนเละ และในตอนนั้นเอง ชูฮันถึงตระหนักได้ว่าทั้งหมดนี้คือระบบล่มสลาย และเขาสามารถได้คะแนนจากการฆ่าซอมบี้ทั้งหลาย ซึ่งเขาสามารถเอาคะแนนพวกนี้ไปแลกเปลี่ยนเป็นความสามารถพิเศษอะไรก็ได้ และในตอนนั้นเอง การเดินทางของชูฮันก็ได้เริ่มต้นขึ้นไปพร้อมๆกับระบบล่มสลาย นี่เป็นเรื่องราวของระบบล่มสลาย โดยมีเขา…ชูฮัน เป็นคนดำเนินเรื่องราว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset