ครั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญตัวน้อย…ชูเซี่ยจู่ก็วางปากกาลงจากกระดาษที่เธอขีดเขียนอยู่ก่อนหน้านี้ “ครั้งนี้ท่านพลเอกชูฮันเปลี่ยนเส้นทางเดินทางมาที่ค่ายนี้แทน จะพูดได้ว่าบวกกับข้อความก่อนหน้านี้ที่พลตรีเคยพูดไว้ ท่านพลเอกชูฮันไม่ได้ยืดระยะเวลาของการฝึกออกไปโดยไม่มีเหตุผล มันคือคำอธิบายของภารกิจลับที่ซ่อนอยู่”
กระดาษถูกส่งต่อผ่านไปในมือของทุกคน หลังจากทุกคนรับไปดูพวกเขาก็ยังไม่สามารถหาจุดเฉลยได้ พวกเขาคิดแค่ว่าความยากของภารกิจนั้นเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
โดยทั่วไปแล้วภารกิจลับไม่ได้อันตราย แต่มันยากที่จะคิดได้ออก โดยเฉพาะเมื่อเร็วๆนี้ที่ชูฮันได้เห็นว่าความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของทหารเขาที่เริ่มแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นเกมส์ระหว่างผู้บังคับบัญชาและทหารจึงค่อยๆก่อตัวขึ้น
แม้แต่บางครั้งขณะกำลังเดินทางกันอยู่จู่ๆชูฮันก็คิดภารกิจลับขึ้นมา ให้พวกเขาหาทางป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นล่วงหน้า พวกเขาต้องขบคิดระดมสมองกันอย่างหนักเพื่อไขภารกิจให้ออก
ตอนนี้ทั้ง 300 คน เริ่มระดมสมองกับคิดวิเคราะห์อย่างหนักเพราะครั้งนี้ภารกิจลับที่ซ่อนอยู่มันยากเกินไป ดังนั้นนี้จึงเป็นครั้งแรกที่ทุกคนช่วยกันอย่างจริงจัง และด้วยความสามารถของทุกคนที่ร่วมมือช่วยกันมันก็จะทำให้ภารกิจลับนี้ค่อยๆแก้ไขได้
“มันเป็นการปล้นจริงๆเหรอ?!” หลี่บี๋เฟิงตะโกนถามใส่บนคำพูดของชูฮันที่เขียนไว้บนกระดาษ “ฉันว่ามัน…มันใช่จริงเหรอที่จะให้เราปล้นค่ายนี้?”
ก๊อก! ก๊อก!
หลิวยู่ติงเคาะลงกับโต๊ะอย่างเครียด “ลืมกฎระเบียบทหารไปแล้วเหรอไง?” “ใช่แล้ว!” หลี่บี๋เฟิงนึกขึ้นได้
ภารกิจลับที่ออกโดยพลเอกชูฮันนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก แม้ว่าบางครั้งมันจะมหัศจรรย์เกินกว่าที่จะนึกถึงแต่มันไม่มีทางที่ชูฮันจะให้พวกเขาฝ่าฝืนกฏระเบียบทหารของกองทัพเขี้ยวหมาป่า เพราะฉะนั้นภารกิจลับไม่มีทางเป็นเรื่องปล้นอย่างแน่นอน
“เฉินช่าวเย่ นายเป็นคนที่อยู่กับท่านพลเอกชูฮันมานานที่สุดและนายรู้จักท่านก่อนใครเลย” ทันใดนั้นกูเหลียงเฉินก็มองหน้าเฉินช่าวเย่ “นายคิดว่าภารกิจลับที่ซ่อนไว้จะเป็นอะไร?”
เฉินช่าวเย่ที่ไม่พูดอะไรยังคงนิ่งอยู่ ใบหน้าอ้วนๆส่ายหน้าสองรอบ เขาไม่พ่นคำพูดอะไรออกจากปากเป็นเวลานาน
ติงเซวหันกลับไปมองเฉินช่าวเย่และได้ผลสรุป “ไม่ต้องถามเขา เขาไม่รู้หรอก”
กระดาษที่ถูกจัดบันทึกโดยชูเซี่ยได้ถูกส่งผ่านไปให้ทุกคนจนเกือบจะวนครบสองรอบ แต่ก็ไม่มีใครหาภารกิจลับที่ซ่อนอยู่เจอ และขณะที่เวลาของมื้อค่ำก็เริ่มเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ความกังวลของทุกคนก็เริ่มมากขึ้นเช่นกัน…
เวลาเจ็ดนาฬิกาในตอนเย็น มันไม่มีแสงเลยสักนิดท่ามกลางความมืดของท้องฟ้า แต่เมื่อได้กองไฟมากกว่าสิบกองตั้งขึ้นท่ามกลางพื้นที่โล่งจึงช่วยให้มีแสงสว่างให้ทุกคนได้มองเห็นทั่วบริเวณ
เนื่องจากชีวิตที่เรียบและหยาบๆในโลกาวินาศ นอกเหนือจากโต๊ะและเก้าอี้แค่ไม่กี่ตัวที่มี คนส่วนใหญ่จึงนั่งกันอยู่ที่พื้น
ขณะนั้น กลุ่มทหารของกองทัพเขี้ยวหมาป่าก็ยืนเป็นแถวระเบียบ ตรงกันข้ามกันกับคนของค่ายเจียนอี๋ที่ยืนกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ
ทหารของค่ายเจียนอี๋ได้ยินข่าวที่มีพลเอกพากลุ่มทหารเข้ามา ทั้งๆที่มากันแค่ 300 คนแต่กลับทำตัวจองหอง พวกเขาได้วางแผนกันแล้วเรียบร้อยว่าจะให้บทเรียนสักนิดหน่อยสำหรับพวกมาใหม่ เมื่อได้เจอ…พวกมันจะตกใจที่กล้ามายุ่งกับค่ายเจียนอี๋
ทั้ง 300 คนของกองทัพเขี้ยวหมาป่าแต่งกายเรียบง่ายไม่แม้แต่จะอยู่ในชุดเครื่องแบบด้วยซ้ำ ทุกคนต่างใส่เสื้อผ้าหลากหลายแบบต่างกันไป ไม่มีแม้แต่ความเป็นระเบียบของสีเสื้อผ้าและไม่มีใครมีตราตำแหน่งของหทารเลยสักคน
อย่างไรก็ตาม ทั้ง 300 คนยืนแข็งนิ่งไม่ต่างอะไรกับรูปปั้น ทุกคนยืนนิ่ง ไม่หลุกหลิกสายตา
ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างจากกันโดยระยะห่างมากกว่าสิบเมตรแต่เหล่าทหารและคนของค่ายเจียนอี๋กลับรู้สึกว่ามันยากที่มองอีกฝ่ายตรงๆ หลายคนเอาแต่ก้มหน้ามองนิ้วเท้าตัวเอง พวกเขาสัมผัสได้ถึงออร่าสีดำที่ลอยออกจากตัวของทั้ง 300 คนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม รูปลักษณ์ที่ปรากฏทำให้ทุกคนรู้สึกกลัวได้ขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ
ชูฮันและกลุ่มของหลูอี๋ที่พึ่งเดินเข้ามาก็ได้เห็นภาพที่เกิดขึ้น หลูอี๋แทบอดกลั้นกับบรรยากาศที่เกิดขึ้นไม่ไหวแต่เขาต้องพยายามแสร้งฝืน ส่วนชูฮันก็ยิ้มและมองไปที่มื้อค่ำ
มันมีพื้นที่กว้างมากตรงกลางวง มันเป็นพื้นที่โล่งขณะที่ทุกคนต่างนั่งล้อมเป็นวงเอาไว้ เหล่าคนธรรมดาของค่ายไม่สามารถเข้ามาได้แต่สามารถมองจากที่ไกลออกไปได้
แน่นอนว่าเกมส์จะเริ่มขึ้นในอีกสักพัก!
มีรอยยิ้มดุร้ายที่มุมปากชูฮันขณะมองไปที่แววตามั่นคงของทหารของเขาที่กำลังมองมาที่เขา ทหารของกองทัพเขี้ยวหมาป่าของเขาคือที่สุด ตลอดการฝึกฝนที่ผ่านมา มันคือเรื่องจริงทั้งหมด การต่อสู้จริงๆใช้ปืนจริง มันถือเป็นปาฏิหาริย์ที่ที่ผ่านมาไม่มีใครถูกฆ่าตายเลย
และเท่าที่ชูฮันรู้ในสองปีแรกของโลกาวินาศ ไม่มีผู้นำของค่ายคนไหนกล้าฝึกทหารแบบเขา และไม่มีทหารจากค่ายไหนที่ยอมรับการฝึกแบบนี้ ดังนั้นเขาจึงเลือกคนที่มีชีวิตรอดอยู่ การต่อสู้ที่แท้จริงและการประสบการณ์กับสถานการณ์ที่เป็นตายเท่ากัน และมีเพียงแค่คนที่เลือกที่วิ่งพุ่งเข้าใส่ฝูงซอมบี้มหาศาลแทนที่จะวิ่งหนีเท่านั้นที่จะนักรบที่แท้จริง
ความไม่ยินดีต้อนรับชูฮันจากคนในค่ายพุ่งขึ้นสูง ชูฮันไม่แม้แต่จะแสดงความเคารพต่อผู้นำของค่าย แน่นอนว่าเขาเป็นหนึ่งในพลเอกสิบห้าคนของจีน เขาจึงเลือกที่จะนั่งหัวโต๊ะ ซึ่งมันได้สร้างความไม่พอใจที่รวมตัวอัดแน่นอนอยู่ในอกหลูอี๋
หลังจากที่หัวหน้าใหญ่สุดของทั้งสองฝ่ายได้มาถึง มื้อค่ำก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ อันดับแรกที่นั่งถูกยึดครองจนเต็ม ทุกคนนั่งล้อมรอบอาหาร หลังจากทุกอย่างดำเนินผ่านไปเป็นชั่วโมง ร่างกายของหลายคนเริ่มอุ่นจนร้อน หัวข้อสนทนาจึงเริ่มต้นขึ้น
“ผมได้ยินมาว่าท่านพลเอกชูฮันกำลังทำการฝึกฝนพิเศษอยู่ อีกทั้งการต่อสู้ของสงครามเมืองตงของท่านก็เป็นที่เรื่องลืออย่างมา!” น้ำเสียงราบเรียบของหลูอี๋ดังขึ้น “ผมคิดว่าในเมื่อทหารของท่านพลเอกชูฮันสามารถฆ่าซอมบี้ได้มากมายในสงครามเมืองตง เพราะฉะนั้นพวกเขาก็ต้องแข็งแกร่งมากๆ…”
เสียงของผู้นำค่ายเริ่มได้รับความสนใจ
“ใช่ ผมรอคอยอยากจะพบท่านด้วยตัวเองมานานแล้ว โชคไม่ดีที่ไม่เคยมีโอกาสเลย แต่ตอนนี้ท่านพลเอกชูฮันได้มาหาพวกเราถึงที่พร้อมกับกองทัพของท่าน ช่างเป็นบุญตาของเราเหลือเกิน”
“นั่นสิ ท่านพลเอกชูฮัน ครั้งนี้ท่านจะหลบซ่อนอีกไม่ได้แล้ว”
“ท่านพลเอก ท่านช่วยแสดงความสามารถของทหารท่านให้พวกเราดูมั้ย?” หลูอี๋พยายามกลบร่องรอยการเสแสร้งของตัวเองและจ้องตาตรงๆกับชูฮัน
ชูฮันคอยมองดูอย่างเงียบๆ จากนั้นเขาก็เหลือบตามองหลูอี๋ที่กำลังจ้องเขาอย่างคาดหวัง “การแสดงอะไร? กองทัพของฉันไม่ใช่ลิงไว้สร้างความสนุกให้พวกคุณ!”
หลูอี๋ที่นิ่งไปกับคำพูดของชูฮันก็หรี่ตาลงก่อนจะพูดต่อ “ครับ ไม่ ผมไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น ผมหมายถึงให้พวกเราลองดูกันที่ความสามารถจริงๆ เพราะงั้นเรามาเทียบดูกันว่าทหารของค่ายผมและทหารของท่านชูฮันจะแตกต่างกันขนาดไหนดีไหมครับ”