เมื่อได้ฟังเสียงหัวเราะของผู้คนรอบตัว หลูปิงเซ่อไม่ยอมรัยบ “ผมไม่รู้จะทำยังไงครับ กวางตัวนั้นมันขู่ผม ท่านพลเอกครับ ท่านจะบอกว่ากวางตัวนั้นสมควรถูกฆ่าเหรอครับ?”
ชูฮันยกยิ้มมุมปาก สำหรับวิธีการพูดในตอนนี้ของหลูปิงเซ่อ เขายังไม่สามารถปรับตัวไปได้อีกสักพัก
เดี๋ยวก่อน!
ทันใดนั้น แววตาของชูฮันก็เป็นประหาย ความคิดใหม่เอี่ยมผุดขึ้นมาในหัว
รอบๆยังคงหัวเราะกันอยู่ หลูปิงเซ่อก็ยังคงไม่ยอมรับ “กวางเป็นสัตว์ที่อยู่เป็นกลุ่ม เจ้าตัวที่มาขู่นายแน่นอนว่ามันต้องมาเป็นกลุ่มแน่ๆ เป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะทิ้งกลุ่มมาตามนายคนเดียว”
“นี่มันอะไรกันครับ?” หลูปิงเซ่อไร้ทางจะต่อต้าน “ผมไม่สามารถหาจำนวนของพวกมันได้ แล้วจะให้ผมเจราจากับมันได้ยังไง หรือจะให้ผมเดินไปคุยกับมัน?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า! เป็นความคิดที่ดี” ชูฮันหัวเราะ “ลองดูสิ ไม่แน่นายอาจจะทำได้? อย่างไรก็ตาม สื่อสารกับพวกมันซะ”
“มันไม่ได้ง่ายแบบนั้นครับ!” หลูปิงเซ่อแทบทรุด “จะให้ผมเอาชนะมันด้วยอะไร? จะให้ผม…”
ชูฮันพอใจที่ได้กินเนื้ออย่างเอร็ดอร่อย เขาพูดด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง “สัตว์เองก็มีความรู้สึก ถ้านายช่วยชีวิตมัน มันก็เป็นผู้นำของกลุ่มซื่อสัตย์ต่อนาย แค่มองหาเผ่าพันธุ์ที่เหนือกว่าสัตว์กลุ่มอื่น ตัวที่เป็นหัวหน้าที่นายจะใช้ประโยชน์จากมันได้ เพราะงั้นนายก็ต้องทำแค่สื่อสารกับสัตว์ตัวเดียว แล้วมันก็จะนำสัตว์ทั้งหมดให้เชื่อนายเองโดยที่นายไม่ต้องทำอะไร”
หลูปิงเซ่อไม่พูดอะไรอยู่พักใหญ่ และในที่สุดเขาก็พึมพำออกมา “ท่านพลเอก แม้แต่สัตว์ท่านก็สร้างกับดักหลอกมัน?”
ชูฮันกลืนเนื้อลงคอและเงยหน้ามอง “มีปัญหาอะไรเหรอ?”
“ไม่ครับ ไม่มีปัญหา” หลูปิงเซ่อรีบส่ายหัวทันที ทุกคนรอบๆต่างตกอยู่ในความเงียบกันหมด ในใจทุกคนต่างเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลายตีกันไปหมดจนยากจะบรรยายออกมาได้ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้ความคิดโดยไม่เสียเปล่าแบบนี้ คาดว่าคงมีเพียงแค่ชูฮันคนเดียวเท่านั้นที่ทำอะไรแบบนี้ได้
“ไม่มีปัญหา” ชูฮันยิ้มอย่างชั่วร้าย “เสร็จกันรึยัง? หลังจากกินเสร็จเตรียมตัวสำหรับโครงการแกะรอยได้ ทีมนักฆ่าขนนกรับผิดชอบด้านการสอน ส่วนที่เหลือก็จดบันทึกและนำไปปฏิบัติใช้ ครั้งนี้พวกคุณต้องฝึกด้วยตัวเอง”
ชูฮันพูดด้วยไม่เปิดโอกาสให้ทุกคนได้ตอบนองเลยด้วยซ้ำ เขาพูดขึ้นต่อทันที “การฝึกต่อไปใช้เวลาทั้งหมดสามวัน ทีมนักฆ่าขนนกจะเป็นฝ่ายซ่อนร่องรอยของตัวเอง ส่วนทีมกุ้งเสือดำและความลับของพระเจ้ามีหน้าที่แกะรอย มารวมตัวและรายงานผลของการฝึกที่นี้”
ชูฮันตัดสินใจที่จะปล่อย เขามีงานในมือเยอะเกินไป และเขาไม่มีทางเลือกนอกจากปล่อยให้ทั้งสามทีมสังเกตตัวเองผ่านการฝึก
หลังจากคำอธิบายแบบสั้นๆ ชูฮันก็จากไปทันที เขากลับไปที่ค่ายเขี้ยวหมาป่าโดยไม่หยุดพักเลยสักนิด ในตอนนี้การฝึกฆ่าซอมบี้ของทหารกองหนุนของกองทัพเขี้ยวหมาป่าใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว และซูชิงที่ไปตามหาคนก็กลับมาแล้ว
ทันทีที่ชูฮันมาถึงห้องทำงาน เขาก็ไม่มีเวลาจะทันได้ถามถึงสถานการณ์ในตอนนี้เลย ก็มีคนพบเขาเข้าก่อน
ติงซือเย้าค่อยๆนั่งลงตรงข้ามชูฮัน เขายื่นจดหมายส่งให้ชูฮัน ตามมาด้วยกระแอมคอก่อนจะพูดขึ้น “ผมได้พาทีมก่อสร้างกลับมาด้วยแล้วครับ จำนวนทั้งหมด 200 คน ทุกคนถูกเลือกมาอย่างละเอียดโดยค่ายตวน สถาปนิกที่พวกเขาเลือกมาให้นั้นมีประสิทธิภาพอย่างมาก และก็เป็นทีมสถาปนิกเดียวกับที่มีส่วนร่วมในการก่อสร้างค่ายตวนครับ”
“อืม แล้วตลอดหลายวันนี้นายได้อยู่ดีกินดีที่ค่ายตวนมั้ย?” ชูฮันยิ้มมุมปาก และเปิดอ่านจดหมายที่ตวนเจียงเหว่ยส่งมาให้เขา มันมีข้อความเขียนเต็มกระดาษสองแผ่น ซึ่งอัดแน่นไปด้วยคำพูดหลายพันคำ ซึ่งผลลัพธ์ก็คือชูฮันไม่แม้แต่จะอ่านมันด้วยซ้ำ เขาส่งจดหมายกลับคืนให้ติงซือเย้า
ติงซือเย้าที่นั่งอยุ่ตรงข้ามไม่มีเวลาจะได้ทันตอบคำถามของชูฮัน เขาก็ต้องสับสนกับการกระทำกระทันหันของชูฮัน ติงซือเย้าเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “ท่านไม่อ่านเหรอครับ?”
ชูฮันโยนจดหมายในที่มุมอย่างไม่สนใจทันที เขาไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ “มันเยอะเกิน ฉันขี้เกียจจะอ่าน”
ห้ะ!
ติงซือเย้ารู้สึกหัวหมุน ชูฮันทำให้เขาตะลึงค้าง
ไม่ทันรอให้ติงซือเย้าได้สติ เสียงของชูฮันก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง “นายวิ่งไปดูสิว่าซูชิงกลับมารึยัง ถ้าเขากลับมาแล้วบอกให้เขามาพบฉันที ถ้าเขายังไม่กลับ วิ่งไปดูที่ประตูค่าย”
ติงซือเย้ารู้สึกไร้อำนาจ เขาอดไม่ได้ที่จะถาม “แล้วทีมก่อสร้างล่ะครับ?”
ชูฮันยกมือขึ้นแตกคางและถาม “นายอยากจะดูแลพวกเขาตลอดสามวันมั้ย?”
ติงซือเย้าลุกขึ้น เดินออกไปทันที “ผมรู้ว่าผมไม่ควรถามครับ”
ชูฮันที่ฝังหน้าตัวเองลงกับกองเอกสาร เขาหรี่ตาจ้องแผ่นหลังของติงซือเย้าที่เดินออกไปและแสยะยิ้มออกมา จากนั้นก็พูดขึ้น “หวังไค เผาจดหมายซะ”
“นายจะไม่ดูจริงๆเหรอ?” ครั้งนี้ หวังไคประหลาดใจมาก
“แน่นอนว่าไม่อ่าน” ชูฮันมีท่าทีสบายๆ “ยิ่งใช้คำเยอะเท่าไหร่ ยิ่งมีข้อบกพร่องมากเท่านั้น แล้วตวนเจียงเหว่ยก็เขียนเยอะเกินไป เห็นได้ชัดว่าเขาจงใจวางกับดักไว้หลอกล่อฉัน ไม่ว่าเขาจะทำแบบนั้นเพราะอะไร แต่มันไม่ง่ายแน่ๆและฉันก็ต้องคาดเดาเอาเอง ซึ่งการคาดเดาจะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของฉันต่อเรื่องอื่นๆ”
หวังไคกระโดดออกมานั่งยองๆ จากนั้นมันก็เชื่อฟังและเดินไปทำตามที่ชูฮันสั่ง หากมันก็ยังคงงงอยู่ “แล้วติงซือเย้าล่ะ? นายกำลังวางกับดักเขาเหรอ?”
“เฮ้ เฮ้!” คราวนี้ มันมีรอยยิ้มปรากฏบนหน้าชูฮันที่ไม่สามารถปกปิดได้ “ตวนเจียงเหว่ยเป็นคนช่างสงสัย ติงซือเย้าเป็นคนที่พูดไม่เก่ง เพราะงั้นฉันถึงได้ส่งเขาไปทำหน้าที่การทูตพิเศษกับค่ายตวน!”
“การทูตพิเศษ? ติงซือเย้า?” หวังไคเผาจดหมายและหมุนตัวกลับมา “นายหมายความว่ายังไง เราต้องรับมือกับค่ายตวนโดยเฉพาะงั้นเหรอ?”
“อืม มันจำเป็นอย่างยิ้งที่จะต้องก่อตั้งแผนกกระทรวงการต่างประเทศขึ้นเพื่อค่ายตวน” ตอนนี้ สายตาของชูฮันไม่ได้หลอกอีกต่อไป ความสามารถส่วนตัวของตวนเจียงเหว่ยเขาประสบมาด้วยตัวเองแล้ว และในอนาคตค่ายตวนจะยิ่งพัฒนามากขึ้นไปอีกระดับ
เพราะฉะนั้นในตอนนี้ เขาจึงต้องส่งติงซือเย้าไปเพื่อขัดขวางตวนเจียงเหว่ย ซึ่งมันเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก