เช้าตรู่ของวันถัดมา ในขณะที่ค่ายเขี้ยวหมาป่ายังเงียบสนิทอยู่ ชูฮันได้เดินทางมาถึงประตูทางเข้าของค่ายแล้ว
ซางจิ่วตี้เตรียมอาหารแห้งไว้ให้เพื่อส่งชูฮันไป แม้เธอจะไม่รู้ว่าชูฮันจะไปไหนและจะกลับมาเมื่อไหร่ เธอก็รู้สึกกังวลและเป็นห่วง
ซูชิงได้ทำการปรับแต่งมอเตอร์ไซค์ให้ชูฮันตลอดคืนจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว แม้มันอาจจะไม่ดีเท่ากับความสามารถด้านเทคโนโลยีล้ำหน้าของเหอซาง แต่เขาก็ทำตามความต้องการพื้นฐานทั้งหมดของชูฮันครบหมดแล้ว
“หัวหน้า เรียบร้อยหมดแล้วครับ ความเร็วอยู่ในระดับสุดยอด!” ซูชิงส่งมอเตอร์ไซค์ให้ชูฮันด้วยท่าทางตื่นเต้น
ชูฮันพยักหน้ายิ้มให้ซางจิ่วตี้ “ไม่ต้องห่วง แค่สองวันเท่านั้น”
ทันทีที่พูดจบ เสียงกระหึ่มของเครื่องยนต์ก็ดังลั่นสนั่นหูไปทั่ว ชูฮันทนไม่ไหวจนต้องหันไปมองซูชิงอย่างไม่เข้าใจ “เสียงนี่มันอะไร?”
ซูชิงตอบกลับทันที “เฮ้ เฮ้! เท่มั้ยล่ะ!”
ชูฮันพูดไม่ออก แต่เมื่อเห็นว่าเวลามันไม่ทันแล้ว เขาเลยขี้เกียจที่จะเสียเวลาพูดและออกตัวไปทันที
“หึ่ม! หึ่ม!”
เสียงเครื่องยนต์ของมอเตอร์ไซค์ดังลากยาวไปตลอดทาง พร้อมกับเศษทรายที่ปลิวว่อนลอยตามทางที่ชูฮันวิ่งรถ
ไม่รู้ว่าซูชิงไปปรับแต่งมอเตอร์ไซค์ยังไงบ้าง แต่ความเร็วของมันนั้นเรียกได้ว่าน่ากลัว จนแทบจะทำลายแรงโน้มถ่วงของโลก หวังไคที่กำเสื้อผ้าของชูฮันไว้สุดมือเพราะกลัวจะปลิวกระเด็นไปตามแรงลม
ชูฮันเหาะไปจนถึงหุบเขาที่อยู่ไกลออกไป สถานที่ที่เขากำลังจะไปนั้นไม่ใช่ทั้งสถานที่ฝึกของทั้งสามทีมที่เขาทิ้งไว้หรือเขตใกล้เมืองอันลู แต่เป็นหุบเขาที่เขาบอกฟานเจี้ยนเมื่อหกเดือนที่แล้ว สถานที่ก่อกำเนิดและบ้านเกิดของสมาคมนักล่า
และเป็นเพราะความเร็วที่แทบจะเรียกได้ว่าเหาะมาของการเดินทางของชูฮันทำให้เขามาถึงที่หมายภายในเย็นของวันนั้น เขาต้องการรีบมาให้ถึงที่หมายก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน
ตรงหน้าของชูฮันตอนนี้ ไม่มีทางถนนเข้าในภูเขาอีกแล้ว ชูฮันไม่ได้เอามอเตอร์ไซค์เข้าไปเก็บในประตูมิติแต่เขาเลือกที่จะวางมันซ่อนไว้ที่ตีนภูเขาแทน จากนั้นก็เดินเบาเข้าไปท่ามกลางอากาศหนาวเย็น บนยอกภูเขามันยังคมมีหิมะปกคลุมอยู่ หากความเร็วของชูฮันนั้นไม่ได้ลดลงเลยสักนิด เขายังคงใช้ความเร็วขั้นสุดเดินทางภายในภูเขา
ในขณะเดียวกัน ชูฮันก็บ่นไปตลอดทาง “แม่งเอ๊ย ถ้าไม่ใช่เพราะที่นี้มันมีความสำคัญละก็ กูจะระเบิดแม่งแทนซะเลย!”
“งั้นเหรอ?” ทันใดนั้นมันก็น้ำเสียงที่คุ้นเคยดังมาจากที่ไกล ตามมาด้วยเสียงฝีเท้า
ชูฮันชะงัก ข้างหน้าของเขามันเป็นป่าต้นสนหนาทึบ หลังจากตรวจสอบจนมั่นใจแล้วว่าอีกฝ่ายคือใคร เขาก็ตะโกนขึ้น “เฮ้! คนป่า?”
“น้องแกสิ” ชายคนนั้นตะคอกกลับอย่างโผงผาง จากนั้นพุ่มไม้หนาตรงหน้าก็ถูกแหวกออก ฟานเจี้ยนที่อยู่ในชุดที่เลอะเทอะ หัวรุงรังเหมือนรังนก ก็โผล่ออกมา “จะเข้ามามั้ย?”
ชูฮันตะลึงกับภาพลักษณ์ของฟานเจี้ยนที่ได้เห็น เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างไม่คิดอดกลั้น “นี่มันอะไร? ฮ่าฮ่าฮ่า นี้มันป่าเถื่อนจริงๆ!”
“หัวเราะไปเถอะ!” หน้าผากของฟานเจี้ยนกระตุก “อย่างน้อยฉันก็ไม่ได้สกปรก มันอาหารและน้ำให้กิน แต่แค่ไม่มีเสื้อผ้าให้เปลี่ยน”
ชูฮันเลิกหัวเราะแล้ว เขายกมือขึ้นตบไหล่ฟานเจี้ยนเบาๆ “ถ้าแกอยู่ที่นี้มาตลอดครึ่งปี แกน่าจะลืมวิธีพูดคุยกับคนไปแล้วมั้ง?”
“อย่าพูดเลย ฉันแทบจะลืมวิธีพูดไปแล้ว” ฟานเจี้ยนส่ายหัว “ฉันเหนื่อยมาก ฉันคิดว่าการช่วยชีวิตคนมันน่าจะดีกว่า”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” ชูฮันที่ได้ยิน ต้องหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง นี่ฟานเจี้ยนสามารถใช้ชีวิตในที่ที่ไม่มีใครอยู่อาศัยได้ตั้งครึ่งปีจริงๆงั้นเหรอ? เพื่อนเขานี่มันสุดยอดจริงๆ!
“หัวเราะเข้าไป?” ฟานเจี้ยนกรอกตาและหมุนตัวเดินนำทางไป “มากับฉันสิ ฉันไปทุกที่ในภูเขานี้มาหมดแล้วตลอดเวลาครึ่งปี ฉันรู้ว่าแกบอกให้ฉันมาที่นี้ ฉันไม่รู้ว่าจริงๆแล้วแกต้องการอะไร แต่ฉันคือแผนที่ที่มีชีวิต เพราะฉะนั้นแกอยากจะรู้อะไรล่ะ?”
ชูฮันถอนหายใจด้วยความโล่งอกและรู้สึกชื่นชมฟานเจี้ยนอยู่ในใจ ฟานเจี้ยนคือผู้ก่อตั้งของสมาคมนักล่าอย่างแท้จริง แม้รูปลักษณ์ภายนอกอาจดูไร้ความสามารถแต่ความจริงแล้วเป็นคนที่ฝีมือหาตัวจับได้ยาก
และโชคดีที่คนคนนี้เป็นเพื่อนของเขา
“แกอยู่ที่นี่มาตั้งครึ่งปี เลยไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้างข้างนอก ตอนนี้ทุกอย่างมันกลับตาลปัตรไปหมดแล้ว! และท่ามกลางกลุ่มมนุษย์ มันมีพวกที่เรียกว่านักล่าเกิดขึ้นมา!” ชูฮันที่เดินตามฟานเจี้ยนเปิดบทสนทนาขึ้นมา
“หืม ล่าเพื่อความอยู่รอด?” ฟานเจี้ยนไม่หันกลับมามองชูฮันเลย “ก็เหมือนกับฉัน!”
“อืม ก็ล่าเพื่อความอยู่รอด” ชูฮันพยักหน้า แต่แล้วเขาก็ต้องส่ายหัวอีกครั้ง “แต่นี่ไม่ใช่การล่า”
“แกหมายความว่ายังไง?” ฟานเจี้ยนเริ่มสนใจขึ้นมาบ้างแล้วคราวนี้
“แกล่าสัตว์ สัตว์ประหลาด เพื่อประทังความหิว” ชูฮันค่อยๆอธิบาย “แต่คนพวกนั้นล่าเพื่ออีกอย่าง พวกนั้นล่าได้ทุกอย่างเพื่อเป้าหมาย”
“โอ้?” ฟานเจี้ยนเริ่มเข้าใจ “หมายถึงได้เงินจากการทำตามคำสั่ง?”
“ใช่!” ชูฮันพยักหน้าและรอคอยดูปฏิกิริยาของฟานเจี้ยนเงียบๆ
ฟานเจี้ยนหันกลับไปจ้องชูฮัน “ฉันยอมรับว่าฉันสนใจ แต่ฉันก็รู้สึกว่าการใช้ชีวิตแบบนี้มันก็ดีอยู่แล้ว ฉันไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมกลุ่มหรือสมาคมไหนๆเพื่อทำให้คนอื่นพอใจ ฉันไม่จำเป็นต้องออกไปทำเงินข้างนอกนั่น”
ณ จุดนี้ ทั้งสองคนได้เดินมาถึงทางเข้าหุบเข้าแล้ว ชูฮันมองไปรอบๆตามถ้ำและหน้าผา “ดู นั่นมันคือวิหารธรรมชาติ”
“อ่า? ก็ ใช่” ฟานเจี้ยนปรับอารมณ์ตามเสียงอุทานของชูฮันเกือบไม่ทัน “ฝีมืออันน่าพิศวงของธรรมชาติที่การปะทุของภูเขาไฟเมื่อประมาณหมื่นปีก่อน ทำให้เกิดภูมิประเทศแบบนี้ขึ้น มีถ้ำเกิดขึ้นทุกทิศทุกทาง แต่มันก็มีจุดตายด้วย”
“ตอนนี้แกอยู่ที่ระดับไหนแล้ว?”
“หกเดือนที่ผ่านมา ฉันก้าวหน้าขึ้นรวดเร็วมาก ตอนนี้ฉันอยู่ที่ระยะ 6” ฟานเจี้ยนตอบอย่างภูมิใจ ระดับของเขาในตอนนี้มันมากพอที่จะทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือน แต่มันไม่ได้ทำให้ชูฮันเกิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์เลยสักนิด
“ดี ฉันแค่ระยะ 4 เอง” ชูฮันตอบ
ความจริงแล้ว จำนวนของวิวัฒนาการระยะ 6 ที่มีในตอนนี้ยังมีแค่หลักหน่วยเท่านั้น เป็นที่รู้กันดีว่าวิวัฒนาการระยะ 6 นั้นหาได้ยากมาก ตอนนี้นอกเหนือจากป่ายหวีเนอที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย วิวัฒนาการระยะ 6 ที่เป็นที่รู้จักอย่างซูเฟิง หลี่บี๋เฟิง เจียงหลิงโหลว หรือแม้แต่ฟานเจี้ยน ทุกคนล้วนมีความสัมพันธ์กับชูฮันทั้งหมด
จำนวนของมนุษยชาติที่ยังมีชีวิตรอดในจีนตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 100 ล้านคนและจำนวนของมนุษย์สายพันธุ์ใหม่นั้นมีเพียงแค่หลักแสนเท่านั้น อีกทั้ง 80% ในนั้นก็ยังเป็นแค่ระยะแรกเท่านั้นเอง
และระยะของความสามารถนั้นไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับเวลา มันเกี่ยวจ้องกับคุณสมบัติส่วนบุคคลเพียงอย่างเดียว บางคนมีพันธุกรรมของความเหนือและขั้นสุด อย่างเช่นซูเฟิงและเจียงหลิงโหลวที่เป็นระดับอัจฉริยะ แต่บางคนทั้งชีวิตอาจจะอยู่แค่ระยะ 1 โดยไม่ขยับไปไหน หรือบางคนทั้งชีวิตก็ไม่อาจกลายเป็นมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ได้เลย ถึงแม้จะมีการพัฒนาทางงานวิจัยและใช้ยาช่วยก็ไม่อาจไปยุ่งเกี่ยวกับยกระดับของระดับได้
เพราะฉะนั้น คนอย่างฟานเจี้ยนจึงไม่ใช่คนธรรมดาอย่างที่เห็น!