“คุณต้องการมากขนาดไหน? หนึ่งร้อยเหรียญล่มสลายก็เพียงพอสำหรับการประทังชีวิตของกลุ่มผู้รอดชีวิตได้ทั้งเดือน!” ตาของหลูอี๋วาวด้วยแสงบางอย่าง แต่ฟานเจี้ยนเพียงแค่ย่นคิ้วเล็กน้อยเท่านั้น
“คุณอาจไม่เข้าใจกฎของฉัน” ฟานเจี้ยนยิ้มและแอบหยิบกระดาษที่ชูฮันให้มาขึ้นมาอ่านด้วยความเร็วแสงที่หลูอี๋ไม่สามารถมองเห็นได้ทัน จากนั้นก็พูดต่อ “ฉันไม่สามารถบอกคุณได้ว่าฉันเคยรับคำสั่งอะไรมาบ้าง เพราะนายจ้างส่วนใหญ่ไม่ชอบการเปิดเผย และฉันมีจรรยาบรรณวิชาชีพและความเป็นมืออาชีพ แต่ค่าตอบแทนที่ฉันได้รับนั้นจะไม่ต่ำกว่าตัวเลขสามหน่วย ฉันรับประกันได้ว่าตราบใดที่คุณออกคำสั่งกับราชานักล่า มันจะไม่มีทางล่วงรู้ไปถึงบุคคลที่สามแน่นอน”
ชูฮันไม่ใช่คน เค้าคือพระเจ้าที่บงการทุกสิ่ง
แน่นอนว่าหลูอี๋ตื่นตากับสิ่งที่ได้ยิน เขาเอ่ยกระซิบถาม “ทั้งนายจ้างและเนื้อหาของการจ้างงานจะไม่เปิดเผยเด็ดขาดใช่มั้ย? มันจะเป็นความลับ?”
ฟานเจี้ยนยิ้ม “แน่นอน ฉันทำงานเป็น”
“เอาล่ะ!” หลูอี๋ตีหน้าขาตัวเองอย่างพอใจกับสิ่งที่ได้ยิน เขากำลังตื่นเต้น และทันใดนั้นเองหลูอี๋ก็หยิบเอกสารบนโต๊ะขึ้นมาและส่งให้ฟานเจี้ยน “ฉันจะเขียนจดหมาย คุณช่วยส่งมอบมันให้แก่ซางจิ่วตี้แห่งค่ายเขี้ยวหมาป่าที แต่ห้ามให้ใครเห็นคุณเด็ดขาด และต้องทำให้มั่นใจว่าซางจิ่วตี้อ่านจดหมายนี่จนเสร็จต่อหน้าคุณ และรอให้เธอเขียนจดหมายตอบกลับและนำมากลับมาให้ผม นั่นคือจบภารกิจ จำไว้ว่าห้ามให้ใครเห็นคุณเด็ดขาดนอกจากซางจิ่วตี้ แล้วถ้าเธอคิดจะเรียกทหารคุ้มกัน คุณต้องขัดขวางเธอให้ได้!”
หลังจากหลูอี๋พูดจบ จดหมายก็ถูกเขียนเสร็จพอดีเช่นกัน เขาใส่มันลงในซองจดหมายและปิดผนึก จากนั้นก็ส่งมอบให้ฟานเจี้ยน
ฟานเจี้ยนยืนตะลึงค้างอยู่เป็นเวลานาน ซางจิ่วตี้เป็นภรรยาของชูฮันไม่ใช่เหรอ? แล้วเขาทำตามความต้องการของหลูอี๋แบบนี้จะดีเหรอ?
ฟานเจี้ยนรับซองจดหมายมาเงียบๆ และในตอนนั้นเองเขาก็คิดค่ามัดจำของภารกิจกับหลูอี๋ “งานครั้งนี้ประกอบไปด้วยภารกิจสองข้อ ตามกฏของฉันค่าจ้างขั้นต่ำคือ 200 เหรียญล่มสลาย แต่เป็นเพราะภารกิจในครั้งนี้เป็นแค่ผู้ส่งสารซึ่งค่อนข้างง่าย และเป็นครั้งแรกที่เราทำธุรกิจด้วยกัน ดังนั้นฉันจะให้ส่วนลดกับคุณ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดสำหรับภารกิจครั้งนี้คือ 160 เหรียญล่มสลาย ฉันขอคิดค่ามัดจำก่อนครึ่งหนึ่งก่อนเริ่มงาน และที่เหลือหลังงานเสร็จเรียบร้อย”
หลูอี๋ที่กำลังจะหยิบ 50 เหรียญล่มสลายออกมาจากกระเป๋าถึงกับต้องกัดฟันพูด “ร้อยหกสิบก็ร้อบหกสิบ!”
หลังจากการเจรจาและตกลงอย่างรวดเร็ว ฟานเจี้ยนก็เปิดประตูห้องทำงานของหลูอี๋ออกไปข้างหน้า ฟานเจี้ยนยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัยก่อนจะก้าวเท้าเดินผ่านกลุ่มทหารคุ้มกันหนาแน่นออกไปอย่างง่ายๆ
เหล่าทหารคุ้มกันที่รออยู่หน้าห้องทำงานของหลูอี๋รู้สึกเหมือนไหล่ของตัวเองโดนกระแทก และกว่าพวกเขาจะรู้สึกตัวและหันหลังไปมองก็เห็นภาพของฟานเจี้ยนเดินห่างออกไปไกลหลายสิบเมตรแล้ว
———-
ตอนนี้ ภายในค่ายเจียนอี๋บริเวณพื้นที่ผู้ลี้ภัยที่อยู่ทางตะวันตก มันเป็นที่รวบรวมการข่มขู่, ไม่เป็นระเบียบและกลิ่นเหม็น, กระท่อมโทรมๆ ผู้คนนอนกันตามถนน ในตอนนั้นมีคนคนหนึ่งส่งมอบกุญแจให้ผู้ชายคนหนึ่ง เหล่าคนที่นอนกันตามถนนต่างเกิดความอิจฉากับภาพที่ได้เห็น หัวใจเต้นรัวขณะเกิดความคิดขึ้นในหัว ผู้ชายคนนี้มีเงินถึงขั้นซื้อบ้านได้ มันต้องไปขโมยมาจากใครแน่ๆ ไม่แน่มันอาจจะยังมีเหลืออยู่บ้าง
ชายที่ได้กุญแจในมือยิ้มและไขกุญแขเปิดประตูเดินเข้าไป ทันใดนั้นเขาก็ต้องตะลึงกับกลิ่นไม่พึงประสงค์ภายในบ้าน ในตอนนั้นมันก็มีคนจำนวนมากโผล่ออกมาตามหลังคาหรือหน้าต่างหรือแม้แต่ทางเดินใต้ดิน
“เฮ้ พี่ชายให้ฉันเข้าไปมั้ย?” คนที่เข้ามาทางอุโมงค์เอ่ยถาม
หลูปิงเซ่อที่ปลอมตัวอยู่ “เรียกทุกคนเข้ามา ทำความสะอาดบ้านก่อน ไม่งั้นท่านหัวหน้าชูฮันจะนอนยังไง?”
“ได้ครับ!”
“เดี๋ยวก่อน!” จู่ๆหลูปิงเซ่อก็ห้ามผู้ชายคนนั้นเอาไว้ “บอกให้ทีมกุ้งเสือดำเร่งมือ ให้พวกเขาทำความสะอาดให้ไว อย่าขี้เกียจ!”
กลุ่มคนต่างปฏิบัติตามหน้าที่ของตัวเอง พวกเขากวาดพื้น เช็ดโต๊ะ ทำความสะอาด แม้แต่ครอบครัวหนูภายในบ้านก็ยังช่วยจัดการขยะ…
ในเวลานี้ชูฮันยังไม่ได้เข้ามาในพื้นที่ผู้ลี้ภัย และยังไม่ได้เจอกับทีมกุ้งเสือดำและความลับของพระเจ้า หากเขาไปนั่งอยู่ข้างถนนติดกับร้านก๋วยเตี๋ยว เขาสั่งชามก๋วยเตี๋ยวมากิน ตอนนี้ชูฮันก็ปลอมตัวอยู่ มีโคลนเปื้อนตามใบหน้า ท่าทางดูเหมือนชาวนาธรรมดา ที่กำลังหิวและกินอาหารที่ถูกที่สุด ก๋วยเตี๋ยวเส้นเปล่าๆ
ชูฮันที่นั่งอยู่ถัดจากชาวนาหลายคนที่แต่งตัวเหมือนกันกับเขา สภาพทุกคนดูยากจนและลำบากอย่างมาก ทุกคนดูเหมือนพร้อมจะเป็นลมหมดสติไปได้ทุกเมื่อ และทุกคนก็หันมามองชูฮันเป็นพักๆอย่างสงสัยเพราะพวกเขาไม่เคยเจอชายคนนี้มาก่อน
“น้องชาย ทำงานที่สวนตรงไหนล่ะ?” ชายที่นั่งถัดจากชูฮัน เขาดูอายุประมาณ 25 ปี น้ำเสียงแผ่วเบา หน้าตาซีดเซียว เขาสำลักอยู่หลายครั้งหลังจากกินก๋วยเตี๋ยวเข้าไป “เด็กหนุ่มอย่างน้อย ดูแข็งแรงและมีความคิด ทำไมถึงได้มาตกอยู่ในสภพานี้? ฟาร์มที่น้องทำอยู่เป็นยังไงบ้าง?”
ชูฮันกวาดสายตามองคนรอบเขาที่โชคดีพอจนสามารถมีชีวิตรอดจากสภาพแวดล้อมอันโหดร้ายมาได้อย่างเงียบๆ เป็นเพราะข้อจำกัดต่างๆทำให้พวกเขาดูเหมือนจะอยู่ในสภาพร่างกายที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ โอกาสสำหรับคนที่ไม่ใช่มนุษย์สายพันธุ์ใหม่ ถ้าไม่เลือกที่จะไปอยู่ในพื้นที่ผู้ลี้ภัยและรับอาหารที่แค่พอจะประทังชีวิตไปวันต่อและค่อยๆตายไป ก็ต้องทำงานในฟาร์มเพื่อหาเลี้ยงปากท้องตัวเอง
ความคิดในหัวชูฮันก็เป็นเพียงแค่ความคิด ชูฮันจ้องชามก๋วยเตี๋ยวตรงหน้าเขาและเอ่ยตอบด้วยท่าทางปกติ “เพราะผมไม่ใช่มนุษย์สายพันธุ์ใหม่ ผมไม่เข้าใจเลย ผมเลยต้องทำแต่งานแบบนี้”
เหล่าชาวนาที่นั่งใกล้ๆชูฮันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะกับตัวเอง พวกคนหนุ่มที่ทำใจยอมรับความเป็นจริงไม่ได้
“ไม่แน่ น้องอาจจะเป็นพรสวรรค์?” บางคนพยายามให้กำลังใจชูฮัน พวกเขาคิดว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่น่าใช่คนธรรมดา “มันไม่มีทางที่เราจะเป็นวิวัฒนาการได้ แต่ไม่แน่อาจจะยังมีความสามารถพิเศษที่เป็นพรสวรรค์ได้ อย่าพึ่งท้อ”
“พอเถอะ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้พรเป็นพรสวรรค์!” บางคนก็ส่ายหัวอย่างเหยียดหยาม “สมมติว่าไอ้เด็กหนุ่มนี้ได้เป็นพรสวรรค์ มันจะมีปัญญาจ่ายค่ากระตุ้นพรสวรรค์มั้ยล่ะ?”
“ใช่! แกควรรู้ว่าราคาคริสตัลมันสูงมากและกฏมันเข้มงวดมาก แกจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อ”
“และสำหรับพวกค่ายทั่วไป ถ้าต้องการจะทดสอบกลืนคริสตัลเพื่อกระตุ้นพรสวรรค์ มันมีสัญญาว่าเราต้องเข้าร่วมกับกองทัพ เราถึงจะมีสิทธิได้ลองคริสตัล ซึ่งมันจะมีปัญหาตามมาเป็นขบวน เพราะเมื่อแกเข้าร่วมกับกองทัพแล้ว มันจะยิ่งลำบากกว่าอีก ฉันไม่รู้ว่าไอ้เด็กนี้จะรับไหวมั้ย!”
“ที่นี้เป็นเมืองใหญ่ก็จริง และเป็นค่ายทหาร แต่เราไม่ค่อยมีทหารเก่งกาจเท่าไหร่ในค่ายเจียนอี๋ เก็บเงินที่มีเอาไว้เถอะ อย่าเอาไปใช้เลย!”
“ไม่มีทาง พวกเขาเป็นมนุษย์สายพันธุ์ใหม่กันหมด ถ้ามีพวกคนตำแหน่งสูงๆและมีตราไปที่บ้านแกเพื่อกินข้าวกินน้ำของแก แกกล้าที่จะขอเงินจากพวกเขามั้ยล่ะ?”
“เฮ้ เหลียวเหวินถาว นายเคยอยู่ในกองทัพมาก่อนหนิ? ทำไมตอนนี้ถึงได้กลายมาเป็นชาวนาล่ะ?” จู่ๆก็มีเสียงของชายคนหนึ่งเอ่ยถามชายอีกคนหนึ่งขึ้น ซึ่งมันดึงดูดความสนใจของชูฮันได้อย่างมาก
เมื่อมองไปที่ชายที่ชื่อว่าเหลียวเหวินถาว ที่นั่งอยู่ถัดไปจากเขาอย่างไม่ได้ตั้งใจ ชูฮันก็ห้ามตัวเองไม่ได้ที่จะมองอีกฝ่าย และเขาก็ได้เจอกับสายข่าวที่ต้องการทันที