ตอนนี้เมื่อได้ฟังที่เหลียวเหวินถาวพูด ชูฮันก็ค่อยๆยิ้มออกมา ผู้นำของค่ายไม่ใช่คนที่มีความสามารถในการเฝ้ายาม นี่มันไม่ต่างอะไรกับการเปิดประตูรอให้เขาเข้ามาเลย
ความขัดแย้งระหว่างมนุษย์สายพันธุ์ใหม่และทหารเก่าแก่นั้นได้ฝังรากลึกแน่น!
“แล้วคนอื่นล่ะ?” ชูฮันทดสอบต่อ “ทหารเก่าแก่คนอื่นๆก็เจอแบบหลิวเซียง?”
หัวของชูฮันกำลังประมวลผลอย่างหนัก เหลียวเหวินถาวเป็นสายข่าว หลิวเซียงน่าจะเป็นกุญแจหลักของการลงมือในครั้งนี้ แต่โชคร้ายที่ขอบเขตของความขัดแย้งยังเล็กเกินไป การใช้ประโยชน์จากหลิวเซียงจะนำไปสู่กองกำลังต่อต้านที่มีจำนวนเหนือความคาดหมาย เพราะฉะนั้นเขาจะต้องหาจำนวนตัวเลขนั้นให้ได้
“แทบจะเหมือนกันหมด” เหลียวเหวินถาวยิ้มอย่างขมขื่นกับชะตาชีวิต “จุดจบที่ดีที่สุดก็คือการได้มีอภิสิทธิเป็นมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ ฉันก็เคยมีคนหนึ่งในทีมที่เป็นมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ แต่ระดับมันต่ำเกินไปจึงไม่ได้เลื่อนตำแหน่งเลย สำหรับกองกำลังพิเศษของค่าย วิวัฒนาการระยะ 1 ถือว่าต่ำเกินไป”
“มีกี่คนอยู่ที่นั่นกัน? นอกเหนือจากทีมเก่าของพี่ มีกี่คนที่ยังอยู่ในสถานการณ์นั้น เป็นทหารเก่าแก่แต่ไม่ได้กลายเป็นมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ ถูกกดขี่”
เหลียวเหวินถาวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พยายามรำลึก “ตอนนี้ค่ายเจียนอี๋มีจำนวนคนทั้งหมดประมาณ 50,000 คน ถ้าตามจริงก็คือเกือบ 60,000 คนเพราะรวมกองกำลังของค่ายที่มีมากกว่า 5,000 และจำนวนมนุษย์สายพันธุ์ใหม่กว่า 500 คน พวกมันส่วนใหญ่เป็นพวกเด็กที่ไม่มีกฏระเบียบ เด็กหัวเกรียน พวกมันไม่รู้จักกติกา กฏระเบียบ ปัญหาที่ค่ายมีตอนนี้ก็มาจากพวกมัน ส่วนพวกมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ที่เดิมเคยเป็นทหารอยู่แล้วมี 100 คน และทหารเก่าที่ไม่ได้กลายเป็นมนุษย์สายพันธุ์ใหม่อย่างน้อยสุดคือ 10,000 คน”
“อืม” แววตาของชูฮันเปลี่ยนไป “ในกลุ่มเจ้าหน้าที่ของค่ายระดับสูง นอกเหนือจากพลโทหลูอี๋ มีใครอีกที่มาจากยุคศิวิไลซ์?”
“ใช่ มีอยู่ มีวิวัฒนาการระยะ 3 คนหนึ่ง ชื่อว่าชินหยวน ซึ่งช่วยพวกเราได้มาก ไม่อย่างนั้นเราคงไม่สามารถมานั่งคุยเรื่องระดับเบื้องบนในสบายๆแบบนี้หรอก” พูดพร้อมกับส่งสายตาที่มีความหมายให้กับชูฮัน “แต่ชินหยวน เค้าเป็นข้าราชการพลเรือน”
“วิวัฒนาการระยะ 3 ข้าราชการพลเรือน?” ชูฮันงุนงง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เข้าใจสมองหมูๆของหลูอี๋
“ชินหยวน? ฉันรู้จักเขา!” จู่ๆก็มีคนหนึ่งโพล่งขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แต่เมื่อเห็นสายตาตักเตือนของทุกคนที่มองมา ชายคนนั้นก็รู้สึกตัวและรีบเปลี่ยนเป็นเสียงกระซิบแทน “ผู้ชายคนนี้เป็นคนดวงซวยสุดๆ เขารอดชีวิตจากตอนวิกฤตอาหารมาได้ เป็นทหารเก่าแก่ดั้งเดิมของหลูอี๋ แต่เพราะไปทำให้บางคนไม่พอใจ ตอนนี้จึงกลายเป็นทหารที่ไร้ตำแหน่ง ไร้ประโยชน์ แม้แต่ทหารภายใต้อาณัติของหลิวเซียงก็กระจัดกระจายไปตามหน่วยทั้งหลายจนหมด”
“เขาไปทำให้ใครไม่พอใจกัน?” หัวใจของชูฮันเต้นระรัว เขารู้ว่าโอกาสของเขามาถึงแล้ว
“ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” เหลียวเหวินถาวพูดแค่นั้น อย่างไม่ต้องการพูดอะไรไปมากกว่านี้
แววตาของชูฮันแวววาว เขารู้ดีว่าวันนี้เขาไม่ควรถามอะไรต่ออีกแล้ว ถ้าเขาถามต่อ เหลียวเหวินถาวจะไม่ตอบแน่ๆ และ….
ชูฮันยกยิ้มมุมปาก มองไปรอบๆ ชาวนาหลายคนที่มีสายตาไม่พอใจ เหลียวเหวินถาวไม่พูด แต่ไม่ได้หมายความว่าคนพวกนี้จะไม่พูด แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่จังหวะที่ดี ถ้าถามออกไปมันจะดูเป็นพิรุธและโจ่งแจ้ง ทุกอย่างมันต้องใช้เวลาและค่อยเป็นค่อยไปตามสถานการณ์จะอำนวย
ดังนั้นชูฮันจึงถอนหายใจอยู่ในอก หากภายนอกกลับทำสีหน้าใสซื่อ เขาลุกขึ้นยืน คว้าของ และเอ่ยลาทุกคน “ถ้างั้นฉันไปทำงานก่อนละกัน ไว้เราค่อยคุยกันครั้งหน้า”
“อืม ถ้านายต้องการความช่วยเหลือ บอกมาละกัน” คนอื่นๆมีความประทับใจที่ดีต่อชูฮัน และโบกมือลาอย่างอาวรณ์
มีเพียงแค่เหลียวเหวินถาวที่หัวเราะเยาะและกินก๋วยเตี๋ยวของตัวเองต่อไปเงียบๆ แต่อยู่ในจุดที่ไม่เป็นที่สังเกต หมัดของเขากำแน่นจนร่างสั่นเทิ้ม เห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจ เขามีความเกลียดชัง
ในตอนนั้น ชูฮันที่จากออกไปไกลแล้ว ก็กำลังเดินมุ่งหน้าที่จุดรวมตัวของทีมกุ้งเสือดำและความลับของพระเจ้า
หวังไคเอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “ฟานเจี้ยนเข้ามาในค่ายและใช้แรงกระตุ้นกับต่อหน้ากองทหารคุ้มกันของหลูอี๋!
“ดูเหมือนว่าคนของเราต้องเริ่มการต่อสู้ได้ก่อนและทำให้เสร็จก่อนที่ฟานเจี้ยจะกลับมา” ขูฮันถอนหายใจ ตามมาด้วยเร่งความเร็วขึ้นสูงมุ่งหน้าไปที่พื้นที่ผู้ลี้ภัยที่อยู่ทางตะวันตก
————
ในขณะเดียวกันนั้นเอง ทีมกุ้งเสือดำและความลับของพระเจ้าที่กำลังทำความสะอาดบ้านในที่อยู่ในพื้นที่ผู้ลี้ภัยต่างกำลังคอยสอดส่อง รอคอยการมาถึงของชูฮัน พร้อมกับทำความสะอาดจนวุ่นวายไปด้วยและในจังหวะนั้นเองมันก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
“หัวหน้ามาแล้ว!” หลูปิงเซ่อตะโกนบอกอย่างตื่นเต้น เขาตั้งใจจะพุ่งไปที่ประตูแต่ยังไม่ทันได้ก้าวเท้าจังหวะที่สองเลย—–
กึก!
ก็มีมือมือหนึ่งยื่นออกมา ขวางทางหลูปิงเซ่อเอาไว้ อย่างเป็นการห้าม ตามมาด้วยน้ำเสียงกระซิบของเสี่ยวเคินที่อัดแน่นไปด้วยความสงสัย “ฟังให้ดี ฉันไม่คิดว่านั่นคือหัวหน้า”
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง มันมีร่องรอยของความลังเลและกังวลอยู่บนใบหน้าของเสี่ยวเคิน หลูปิงเซ่อประหลาดใจ ส่วนคนที่เหลือก็ยืนนิ่งกันหมด
“นี่ไม่ใช่หัวหน้า” สีหน้าของหลูปิงเซ่อเคร่งเครียด “หัวหน้าไม่เคาะประตูด้วยจังหวะเร็วแบบนี้ หรือไม่เคาะซ้ำสอง เขาไม่เป็นกังวลกับสิ่งที่ทำและไม่มีความลังเล”
“ฉันจะไปเปิดประตู ทุกคนตื่นตัวเอาไว้ ถ้ามีอะไรผิดสังเกต ฉันจะตะโกนทันที!” หลังจากเสี่ยวเคินพูดจบ เขาก็เดินตรงไปทางประตู
ฟรึบ!
ประตูเปิดออก แสงจากข้างนอกสาดจ้าเข้ามาภายในบ้านที่มือสลัวทันที
เสี่ยวเคินหรี่ตาลงด้วยความแสบ และพยายามเพ่งมองไปที่กลุ่มคนที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าอย่างสงสัย พวกเขาสวมเสื้อขาดวิ่น เนื้อตัวเลอะเทอะ ท่าทางเหมือนพวกผู้ลี้ภัย
“เฮ้ เฮ้ ฮ่า ฮ่า!” เสียงระเบิดหัวเราะดังลั่น
กลุ่มคนที่ยืนอยู่ด้านนอกบ้านเผยรอยยิ้มที่ไม่เป็นมิตรให้แก่เสี่ยวเคิน มองมาที่เสี่ยวเคินอย่างไร้มารยาท พวกมันกวาดตามองเสี่ยวเคินตั้งแต่หัวจรดเท้า และยิ้มออกมาอย่างน่ารังเกลียดและชั่วร้ายจนเห็นฟันสีเหลืองอ๋อย “เฮ้ย! ไอ้หนู! ส่งเงินที่ตัวแกมีและกุญแจบ้านนี้มา แล้วกูจะไว้ชีวิตมึง!”
“เร็วเข้าสิวะ! ส่งมา!” พวกผู้ลี้ภัยที่อยู่ด้านหลังรีบเร่งอย่างใจร้อน ท่าทางของทุกคนผยองขนอย่างคิดว่าเหนือกว่า
มันมีกลุ่มผู้ลี้ภัยที่ยืนดูกันอยู่ห่างออกไปจากตัวบ้าน แววตาของทุกคนเต็มไปด้วยความกลัว ท่าทางวิตกกังวล ท่าทางดูตื่นตัวจนเหมือนพร้อมจะเป็นสลบได้ทุกเมื่อ พวกเขาอาศัยอยู่ในพื้นที่ต่ำสุดของค่าย ต่ำสุดของวงจรชีวิต ศีลธรรมสำหรับพวกเขาถือเป็นเรื่องไร้สาระ สัญชาตญาณของความอยู่รอดที่ต่ำที่สุดได้เผยออกมา อัดแน่นไปด้วยความคิดชั่วร้ายที่พร้อมจะทำเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง
หลังจากหรี่ตามองภาพด้านนอกทั้งหมด เสี่ยวเคินก็ขยับเท้นไปด้านข้างของประตู ปล่อยให้มีพื้นที่โล่ง และพูดขึ้นอย่างนิ่งๆกับคนในบ้าน “มัดพวกมันไว้”