หนึ่งชั่วโมงต่อมา ชูฮันก็มาถึงจุดนัดพบที่พื้นที่ผู้ลี้ภัยบนถนนตะวันตก เขาเปิดประตูและเดินเข้าไปในบ้าน คุกเข่าลงตรงทางเข้า เอามือกวาดพื้นเพื่อเช็คดูความสะอาด ตัวบ้านถูกทำความสะอาดเรียบร้อย โต๊ะถูกขัดจนมันวาว ทหารทั้งสามสิบคนของทีมกุ้งเสือดำและความลับของพระเจ้ารวมกันเป็นหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้พร้อมที่ตะลงมือปฏิบัติภารกิตได้ทุกเมื่อ
และเพียงแค่นั้น…
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น!” ชูฮันที่เมื่อปิดประตูแล้วก็มองเห็นกลุ่มคนโดนจับมัดเอาไว้ที่พื้น
ชูฮันค่อยๆมองไล่ไปทีละคนๆ จมูกหน้าใบหน้าของทุกคนบวมเป่ง หน้าตาเละเทะเลือดช้ำ ริมฝีปากแตกแห้ง เสื้อผ้าสกปรกเปรอะเปื้อน เหมือนกับเอาไปเช็ดโต๊ะมา ชูฮันแทบอยากจะร้องไห้ออกมาซะเดี๋ยวนี้ จากนั้นชูฮันก็จ้องไปที่ทีมกุ้งเสือดำและความลับของพระเจ้าด้วยสายตาโมโห
“เหล่าผู้ลี้ภัยในบริเวณเกิดความสับสนและพวกเขาต้องการจะปล้นเรา ผมเลยจำเป็นต้องตัดสินใจทำแบบบนี้” หลูปิงเซ่อเป็นคนตอบ เขายิ้มแหยๆให้ชูฮัน
ชูฮันพยักหน้ารับ ตอนนี้เขาอยากจะนั่งลงและแจกจ่ายภารกิจ ทันใดนั้นชูฮันก็นึกบางอย่างขึ้นได้กระทันหัน เขารีบหันกลับไปมองกลุ่มคนที่ถูกมัดไว้ที่พื้น “ผู้ลี้ภัย?”
ห้านาทีต่อมา…
เหล่าผู้ลี้ภัยที่โดนปล่อยตัวแล้วนั่งอยู่ที่พื้นเกือบจะเอ่ยปากขอร้องความเมตตาต่อชูฮัน แต่พวกเขาไม่กล้าจะพูดอะไรสักคำ เพราะหลูปิงเซ่อและคนอื่นๆที่ยืนอยู่ด้านข้างต่างกัดฟันกันแน่นและส่งเสียงฮึมฮำในคอขู่พวกเขา ซึ่งมันดูน่ากลัวมากสำหรับกลุ่มผู้ลี้ภัย เหมือนกับพวกเขาอาจจะโดนขย้ำตอนไหนก็ได้ทุกเมื่อ
ชูฮันนั่งอยู่บนเก้าอี้เพียงตัวเดียวในบ้าน เขามองไปที่พื้นห้องซึ่งมีกลุ่มคนนั่งอยู่ “เอาล่ะ บอกฉันมาสิว่าพวกนายเคยทำอะไรมาก่อน?”
ผู้ลี้ภัยหลายคนทนความกลัวในใจไม่ไหวจนร้องไห้ออกมา หากผู้นำของกลุ่มผุ้ลี้ภัยจ้องไปที่ชูฮัน หลังจากเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ผู้นำของกลุ่มก็พูดออกมา 4 คำ “ปี้ กินและตาย!”
“ฟู่~!” ทั้งทีมกุ้งเสือดำและความลับของพระเจ้าต่างยิ้มไม่ออกกันหมด พวกเขาสามสิบคนต่างมองไปที่ชูฮันอย่างเต็มไปด้วยความสงสัย พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมหัวหน้าถึงต้องปล่อยคนพวกนี้
ชูฮันเองก็หัวเราะกับคำตอบที่ได้รับ เห็นได้ชัดเจนว่าคนพวกนี้กลัวหลูปิงเซ่อและทุกคน เพราะงั้นชูฮันจึงตามขั้นตอน “ชื่ออะไร?”
ผู้นที่ถูกถามแสยะยิ้มใส่ชูฮัน “ฉันชื่อ เหมิงชีเหว่ย”
“นายอยู่ที่ถนนเส้นนี้มานาน…” จู่ๆชูฮันก็หยุดประโยคที่กำลังจะพูดต่อไว้ ตาของเขาเบิกกว้างอย่างตกใจจัด “เมื่อกี้บอกว่าชื่ออะไรน่ะ?”
“เหมิง เหมิงชีเหว่ย” เหมิงชีเหว่ยที่หน้าตาบวมเป่งไปครึ่งหน้าตอบชูฮันไปอย่างงงๆ
ชูฮันกลืนน้ำลายอึก มองไปที่ภาพลักษณ์ของเหมิงชีเหว่ยอย่างช็อค ตามมาด้วยเบนสายตาไปมองหลูปิงเซ่อต่ออย่างอึดอัด ซึ่งตอนนี้จิตใจล่องลอยไปครึ่งหนึ่งแล้ว เพราะสายตาของชูฮันทำให้หลูปิงเซ่อรู้ความหมายดีว่ามันหมายถึง ‘เขากำลังตกใจอยู่ในปัญหา’
หลูปิงเซ่อเริ่มเครียด แม้ว่าจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ด้วยสัชาตญาณเอาตัวรอด เขาก็รีบรายงานชูฮันทันที “เสี่ยวเคินบอกให้ผมทำครับ!”
“อะไรน่ะ?” ในทำนองเดียวกัน เสี่ยวเคินที่ไม่ได้รับรู้อะไรเลยก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
“เปล่า ช่างมันเถอะ ไม่มีอะไร” ชูฮันพยายามระงับอาการตื่นเต้นในหัวใจเขาออกไว้ ทั้งๆที่ความจริงข้างในมันเหมือนกับพายุคลั่ง
เหมิงชีเหว่ย คนคนนี้ชูฮันบอกได้ว่า แม้เขาจะไม่น่ากลัวเทียบเท่ากับป่ายหวีเนอ ไม่ฉลาดอย่างเหอเฟิง ไม่น่าเกรงขามอย่างตวนเจียงเหว่ย ไม่ร้ายกาจอย่างมู๋เย๋ ไม่ได้หายากอย่างเฉินช่าวเย่ และไม่ลึกลับอย่างเสี่ยวชี่…
แต่เขาเป็นสิบอันดับแรกตลอดสิบปีของชาติที่แล้ว ผู้ชายคนนี้เหมือนกับมีเวทมนต์ เพราะอันดับของเขานั้นมีเพียงการไต่ขึ้นเท่านั้นไม่เคยตกอันดับลงเลยสักครั้ง เขามีความบกพร่องในทุกด้าน พลังการต่อสู้ก็ไม่ได้มากมายกว่าใคร ทว่าเขากลับไม่เคยพ่ายแพ้ และไม่เคยถูกใครเอาชนะได้ เขาเป็นพวกประเภท ระเบิดคะแนนตอนท้าย ตอนแรกเขาเป็นนักสู้ที่นิรนาม แล้วเขาก็ค่อยๆไต่อันดับผ่านคนขึ้นมาเรื่อยๆ เขาเอาชนะได้ทุกคน จนไต่อันดับมาเรื่อยๆอย่างไม่รีบร้อน ในตอนแรกยังไม่มีใครสังเกตเห็นเขา เพราะเขาไม่มีความโดดเด่นอะไร แต่เมื่อมีคนเริ่มสังเกตเห็น เหมิงชีเหว่ยก็ดิ่งพุ่งขึ้นไปถึงสิบอันดับแรกแล้ว ซึ่งมันก็สายเกินไป
รวมถึงขวานซิ่วโหลของชูฮันด้วย เจ้านายของขวานซิ่วโหลในชาติที่แล้วก็คือเหมิงชีเหว่ยนั่นเอง แต่โอกาสในชาตินี้ถูกชูฮันช่วชิงมาก่อนแล้ว
เพราะงั้นชูฮันจึงค่อนข้างตกใจอย่างมากเมื่อได้ยินว่าผู้ชายตรงหน้าเขาคือเหมิงชีเหว่ย
ในปที่สองของโลกาวินาศในชาตินี้ เหมิงชีเหว่ยกลับกลายเป็นเพียงแค่แก๊งผู้ลี้ภัยโง่ๆ พวกเขาโดนจับเพราะคิดปล้นทหารของชูฮัน และยังโดนซ้อมกันจนน่วมอีก
โชคชะตาเล่นตลกอะไรแบบนี้!
เหมิงชีเหว่ยที่นอนอยู่ที่พื้นเต็มไปด้วยความสับสน เขาไม่เข้าใจว่าตอนนี้มันเกิดบ้าอะไรขึ้น ไอ้หนุ่มตรงหน้าเขาทำตัวลึกลับและก็ทำให้เขารู้สึกกลัวเช่นกัน ทำไมไอ้เด็กนี่ถึงมีปฏิกิริยาแบบนั้นหลังจากได้ยินชื่อเขา?
เมื่อเห็นสีหน้าไม่เข้าใจของเหมิงชีเหว่ย ชูฮันก็ดีใจและเขาก็คิดจะฝังความลับนี้ไว้กับตัวเองตลอดไป คงไม่มีใครเชื่อว่านี่คือเหมิงชรเหว่ย ที่เก่งกกาจ ดุดัน เอาชนะทุกคนได้ เมื่อตอนที่เหมิงชีเหว่ยได้ขวานซิ่วโหลมาครั้งแรก เขาก็ฆ่าคนในสิบอันดับแรกทันทีอย่างโหดร้าย เพื่อให้ตัวเองได้มีตำแหน่งในสิบอันดับแรก
“เหมิงชีเหว่ย นายอยู่ที่นี้มานานแค่ไหนแล้ว?” ไม่มีใครรู้ว่าในใจชูฮันกำลังยิ้มอย่างมีความสุขมากแค่ไหน
เหมิงชีเหว่ยที่ไม่ได้ล่วงรู้ถึงอดีตของตนเอง เขารู้แค่ว่ามันมีบางอย่างผิดปกติ แล้วมั่นใจว่าไอ้หนุ่มตรงหน้าเขากำลังโกหก “สี่เดือน ฉันมาเมื่อตอนปีใหม่”
ชูฮันพยักหน้ารับ มีผู้ลี้ภัยที่เดินทางพเนจรไปเข้ากับค่ายต่างๆมากมายในช่วงปีใหม่ ซึ่งค่ายทั้งหลายในช่วงปีใหม่ก็มีการแจกจ่ายอาหารฟรีให้แก่คนธรรมดา จึงทำให้ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่แต่ละค่ายจะมีประชากรเพิ่มขึ้นกันอย่างมาก
และเพราะผู้คนส่วนใหญ่เป็นพวกที่ไม่มีความกระตือรือร้นใดๆ หลังจากเข้ามาอยู่ในค่ายพวกเขามีความคิดว่าตัวเองจะได้อาหารกินฟรีตลอดไปโดยไม่ต้องทำอะไร ทุกคนเข้ามาไปอยู่ในค่ายต่างๆและก่อตั้งพื้นที่ของตัวเองขึ้น กลายเป็นพื้นที่ผู้ลี้ภัยที่เต็มไปด้วยความสกปรกและวุ่นวาย
นี่เป็นสถานการณ์ที่ทุกค่ายต่างเจอเหมือนกันหมด ท้ายที่สุดแล้วธรรมชาติของมนุษย์ที่ด้อยกว่านั้นยากที่จะกำจัด ยกเว้นค่ายเขี้ยวหมาป่าเพราะมันมีผู้คนอาศัยอยู่ไม่มากในค่ายเขี้ยวหมาป่า และมันไม่นโยบายการแจกจ่ายอาหารฟรี มีเพียงอย่างเดียวที่คุณจะได้อาหาร คือ ทำงานเท่านั้น
“สี่เดือน งั้นนายก็น่าจะรู้เยอะ” ชูฮันเหมือนกำลังพูดอยู่กับตัวเอง เขายิ้มให้หลูปิงเซ่อภายใต้แววตาที่เต็มไปด้วยความระแวง “เส้นทางนั้น เอาเถอะพวกนายเป็นพวกไม่ทำอะไร คงไม่รู้”
อึก!
หลูปิงเซ่อเชื่อว่าชูฮันจะต้องฆ่าเขาอย่างแน่ๆ เพราะงั้นเขาจึงไม่คิดจะพูดอะไร
อย่างไรก็ตาม ชูฮันหยิบกระดาษกับปากกาออกมา เขาขีดเขียนเล็กน้อยและยัดกระดาษเข้ามือหลูปิงเซ่อ “ทีมกุ้งเสือดำออกไปเดินดูลาดลาว ทีมความลับของพระเจ้าทำให้คนพวกนี้สารภาพออกมา แต่อย่าฆ่าคน”