Apocalypse Meltdown โลกาวินาศล่มสลาย – ตอนที่ 605 คลื่นใต้น้ำ

ในช่วงบ่าย ตั้งแต่การจลาจลครั้งแรกถึง 5 โมงเย็น หลูอี๋ได้รับรายงานข่าวติดต่อกันหลายครั้งเกี่ยวกับสถานการณ์ของทั้งพวกมาใหม่และเหล่าทหารเก่าในพื้นที่พลเรือน ช่วงเวลานี้ค่อนข้างบอบบางและอ่อนไหว ทุกครั้งที่หลูอี๋ได้รับรายงานเขาจะพยายามสงบอารมณ์ลง และในขณะที่เขากำลังคิดหาวิธีตอบโต้กับสถานการณ์ที่ได้ยิน ข่าวใหม่ก็มารายงานอีก ความคิดในหัวของหลูอี๋ตอนนี้สับสนวุ่นวายไปหมด เขาไม่สามารถคิดหาวิธีตอบโต้และจัดการกับสถานการณ์ได้เลยสักอย่าง

 

และสถานการณ์ของการรายงานแต่ละครั้งก็มักรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ขอบเขตของการจลาจลนั้นจะทวีความรุนแรงขึ้นในทุกครั้งที่ได้รับรายงาน รายงานที่รุนแรงที่สุดก็คือการต่อสู้ประจันหน้ากันของฝ่ายทหารเก่าและพวกมาใหม่ตรงๆ แม้มันจะเป็นเพียงแค่การต่อสู้ของคนไม่กี่สิบคนทว่าผลกระทบที่ได้รับนั้นมันไม่ใช่น้อยๆเลย ฝ่ายที่แพ้การต่อสู้นั้นถูกซ้อมจนเลือดท่วมจนต้องตะเกียกตะกายคลานไปกับพื้น

 

สถานการณ์ในตอนนี้ถือว่าตึงเครียดและเลวร้ายอย่างมาก!

 

“กรร~! คนพวกนี้ต้องการจะก่อกบฏ?!” หลูอี๋โมโหจนตัวสั่น

 

และในพื้นที่ใจกลางของค่าย ผู้คนจากทั้งสองฝ่ายจำนวนมารวมตัวก่อนอยู่ด้านนอกห้องทำงานของหลูอี๋ด้วยความต้องการจะเจอกับหลูอี๋ ถ้าไม่ใช่เพราะมีทหารยาม และทหารคุ้มกันของหลูอี๋คอยห้ามปราบเอาไว้ละก็ ตอนนี้หน้าห้องทำงานของหลูอี๋คงมีการต่อสู้เกิดขึ้นไปแล้ว

 

“ท่านพลโทครับ แย่แล้ว!” จู่ๆก็มีนายทหารคนหนึ่งเข้ามารายงานสถานการณ์ล่าสุด ท่าทางวิตกกังวลอย่างมาก เหงื่อไหลย้อยท่วมหน้าตาไปหมด สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

 

“เกิดบ้าอะไรขึ้นอีก?!” ครั้งนี้ความอดทนของหลูอี๋นมาถึงขีดสุดแล้ว เขาต้องการไปที่พื้นที่พลเรือนด้วยตัวเองเพื่อดูให้เห็นกับตาว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่หน่วยกองกำลังที่สามได้ถูกส่งไปแล้ว แล้วเขาควรจะแก้ไขปัญหาอย่างไรดี?

 

น่าสงสารที่ประโยคต่อไปของนายทหารที่เข้ามาเพื่อรายงานยิ่งดึงอารมณ์ของหลูอี๋ให้ดิ่งลงไปอีก “กองกำลังของเหล่าทหารผ่านศึกได้รวมตัวกันต่อสู้กับหน่วยกองกำลังที่สามในพื้นที่พลเรือนครับ!”

 

“อะไรน่ะ?” หลูอี่รู้สึกหน้ามืดตามัว เขาตะลึงค้างอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปดี หลังจากที่เขาจัดการควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้คงที่ได้แล้ว ก็เอ่ยถามนายทหารที่เข้ามารายงานต่อ “หน่วยกองกำลังที่สามไม่สามารถควบคุมการจลาจลได้งั้นเหรอ? แล้วไปต่อสู้กับพวกทหารผ่านศึกทำไม?”

 

นายทหารที่รายงานสถานกาณ์เหงื่อไหลโชมอย่างน่าสงสารตอบคำถามของหลูอี๋ “ขณะที่กองกำลังที่สามพยายามจะระงับสถานการณ์กับกลุ่มทหารผ่านศึก ซึ่งท่านก็น่าจะรู้ว่าทหารส่วนใหญ่ในหน่วยกองกำลังที่สามนั้นเป็นพวกมาใหม่ พอพวกเขาเข้าไปตอบโต้กับพวกทหารผ่านศึก มันจึงเกิดผลกระทบหนักขึ้นไปอีก ทำให้พวกเขาเข้าสู่การปะทะกันอย่างรุนแรง!”

 

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลูอี๋ก็รู้สึกแน่นหน้าอก เขารู้สึกเหมือนเลือดจะกระอักออกมา เดิมทีมันก็ย่ำแย่มากอยู่แล้ว แต่ทำไมมันกลายเป็นรุนแรงกว่าเดิมอีกแบบนี้ได้?

 

“เร็วเข้า! หน่วยกองกำลังที่หนึ่งและสอง รวมถึงทหารคุ้มกัน ไประงับการจลาจลซะ” หลูอี๋เริ่มสั่งการ “เอาปืนไปด้วย ใครกล้าท้าทายหรือต่อต้านคำสั่งของฉัน ยิงได้ทันที บอกพวกมันด้วยว่า ใครกล้าสร้างปัญหาอีก พ่อจะให้พวกมันได้ชดใช้!”

 

“ครับ!”

 

ภายในใจกลางของค่าย หลูอี๋ที่เต็มไปด้วยความโกรธเริ่มรู้สึกเบื่อหน่าย ความวุ่นวายในพื้นที่พลเรือนเอาแต่รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ทีมความลับของพระเจ้าและกุ้งเสือดำภายใต้การปลอมตัวทำการเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วและค่อยๆออกไปจากบริเวณจลาจลอย่างเงียบๆไม่ให้ใครเห็น พวกเขาทำตัวกลมกลืน ไม่โดดเด่น หากเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วและรวดเร็วจนแม้แต่สุนัขจิ้งจอกก็ไม่สามารถสัมผัสการมีตัวตนของพวกเขาได้

 

ทั่วทั้งพื้นที่พลเรือนนั้นเต็มไปด้วยจลาจลตลอดทั้งบ่าย ชาวบ้านที่อยู่อาศัยในพื้นที่หลายคนหวาดกลัวและวิ่งหนีเข้าไปในพื้นที่ผู้ลี้ภัยแทน เป็นเวลาพักใหญ่ที่ทั้งค่ายตกอยู่ในความวุ่นวายและโกลาหล มีผู้คนกระจัดกระจายไปทั่วทุกที่ สีหน้าของหลายคนเต็มไปด้วยความกลัวและหมดหนทาง

 

ในขณะที่แสงของพระอาทิตย์กำลังจางหางไปกับเส้นขอบฟ้า ในที่สุดกองกำลังขนาดใหญ่ก็เดินทางมาจากพื้นที่ใจกลางมาถึงพื้นที่พลเรือนตามคำสั่งของหลูอี๋ เสียงปืนดังสนั่นไปทั่วบริเวณ ซึ่งหยุดชะงักการจลาจลที่เต็มไปด้วยความรุนแรงได้ทันที

 

ความสงบมาเยือนพื้นที่พลเรือน ในที่สุดมันก็ไม่มีรายงานใหม่เกี่ยวกับการจลาจลอีก หลูอี๋ตั้งมั่นไว้ว่าเข้าจะต้องรวมการประชุมเพื่อปรึกษาหารือมาตรการต่อไปทันทีหลังจากทุกอย่างจบลง การจลาจลครั้งนี้มันทำให้เห็นได้ชัดว่าแม้มันจะถูกระงับเอาไว้อย่างคุกกรุ่นภายในใจของหลายคนแต่ความจริงแล้วมันคืออันตรายที่ซ่อนอยู่ ถ้ามันไม่ได้รับการจัดการให้ทันเวลา ในอนาคตมันก็จะเกิดการจลาจลครั้งที่สองขึ้นอีก ถ้าเขายังปล่อยให้ช่องว่างระหว่างพวกมาใหม่และทหารเก่าเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆต่อไปแบบนี้

 

เป็นเวลาตอนกลางคืนที่พายุสงบลงอย่างแท้จริง เหล่าผู้อาศัยจำนวนมากเริ่มเดินทางกลับมาที่บ้านพักของตัวเองอย่างเร่งรีบและวุ่นวาย อารมณ์เกรี้ยวกราดของพวกเขาค่อยๆก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ

 

“ขอโทษนะ มีใครอยู่มั้ย?” หลูปิงเซอที่พรางตัวในเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งยืนอยู่หน้าประตูบ้านพักของครอบครัวหนึ่งที่พื้นหน้าบ้านเต็มไปด้วยเลือด

 

ครอบครัวนี้ก็เป็นหนึ่งในคนที่ได้รับผลกระทบ ผนังของพวกเขาเกือบถูกเจาะเป็นรูพรุน ครอบครัวนี้มีผู้หญิงวัยกลางคนสามคนที่ดำเนินชีวิตอยู่ด้วยการตัดเย็บผ้า พวกเขาไม่ใช่ครอบครัวของทหารคนไหนในค่ายนี้ แต่เป็นเพียงแค่ชาวบ้านผู้อยู่อาศัยธรรมดาในพื้นที่พลเรือน และครอบครัวนี้ก็ถูกเลือกอย่างตั้งใจและรอบคอบโดยทีมความลับของพระเจ้า แต่ละบ้านจะได้รับการมาเยือนของสมาชิกทีมความลับของพระเจ้า และทุกๆครอบครัวจะมีป้าอยู่ทุกครอบครัว ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ทีมความลับของพระเจ้าบรรลุจุดประสงค์ได้สำเร็จภายในคืนนี้

 

ป้าพวกนี้คือใคร?

 

อารยธรรมของมนุษย์คือการอยู่เป็ยสังคม มันต้องมีการรวมตัวและพูดคุยกันตามธรรมชาติ และมันก็จะมีเครือข่ายข้อมูลที่ก่อตั้งขึ้นมาเองโดยไม่รู้จากการรวมตัวกันของผู้คน

 

ภายในโลกาวินาศ ป้าพวกนี้เป็นพวกพึ่งพาตัวเอง ไม่เพียงแต่มีความกระตือรือร้นและใจดีแล้ว พวกเขายังมีสัญชาตญาณในการซุบซิบนินทา แหล่งข้อมูลจากพื้นที่ผู้ลี้ภัยในนั้นจะหาได้จากการแฝงตัวเข้าไป ส่วนข่าวสารจากในพื้นที่พลเรือนนั้นมาจากการกระจายข่าวของพวกป้าๆ

 

“อ๊ะ! มีอะไรรึเปล่า? เข้ามาก่อนสิ!” แน่นอนว่าเมื่อได้เห็นภาพที่น่าสงสารของหลูปิงเซ่อ ป้าทั้งสามคนก็ตะโกนโวยวายและกรูกันเข้ามาต้อนรับทันที อีกคนเริ่มทำการต้มน้ำร้อน อีกคนรีบเตรียมอาหารให้หลูปิงเซ่อ อีกคนรีบไปหายามารักษา

 

หลูปิงเซ่อไม่สามารถทนความกระตือรือร้นของป้าเหล่านี้ได้ เขารีบพูดทันที “บ้านของผมพังยับเหยิน ขาของพวกก็หัก ผมอยากจะหาที่พักสำหรับคืนนี้”

 

“ไม่เป็นไรน่ะ อยู่กับพวกป้าได้”

 

“แผลเป็นอย่างไรบ้าง? มาป้าจะทายาให้ มา มา ถอดกางเกงออก!”

 

หลูปิงเซ่อประหลาดใจ “ไม่เป็นไรครับ หยุดก่อน ผมจัดการเองได้ ขอบคุณครับป้า!”

 

“จะทำเองงั้นเหรอ? หรือให้ป้าทายาให้ดีกว่า!”

 

“ไม่ครับ” หลูปิงเซ่อเริ่มกลัว เขากำของกางเกงของตัวเองแน่น “ผมโตแล้ว ขอโทษครับ!”

 

“ยังอายอยู่เหรอ? ไม่มีอะไรน่า!”

 

หลังจากเจอความน่ากลัวของป้าทั้งสามคน หลูปิงเซ่อก็รีบหนีเข้าไปในผ้าห่มและทายาเอง ที่จริงแล้วเขาไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย แต่เขาจำเป็นต้องเล่นละคร

 

“หนุ่มน้อย ช่างน่าสงสาร!” เหล่าป้าๆที่มักสนุกกับการซุบซิบนินทาพูดคุยเริ่มทำการสอบถามหลูปิงเซ่อ “ทหารพวกนั้นไม่น่าจะมีเหตุผลทำร้ายผู้บริสุทธิ์ เมื่อตอนที่เกิดจลาจลน่าจะไม่มีเวลาหนีทันใช่มั้ย? มันเป็นอุบัติเหตุจนได้รับบาดเจ็บสินะ?”

 

เมื่อได้ยินคำถามเป็นชุด หัวใจของหลูปิงเซ่อก็เต้นระรัวด้วยความตื่นเต้น เขารีบทำสีหน้าเศร้าสร้อย และเริ่มเล่นตามบทที่ได้รับมา “ผมเป็นคนชาวบ้านธรรมดา ผมเคยเป็นทหารของจีนเมื่อในยุคศิวิไลซ์แต่เป็นการโจมตีของพวกโจรทำให้ผมถูกถอดจากตำแหน่ง”

 

Apocalypse Meltdown

Apocalypse Meltdown

มันเป็นโลกที่ซอมบี้และมนุษย์อาศัยอยู่ด้วยความสิ้นหวัง สนามแม่เหล็กของโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงและทุกอย่างได้ย้อนกลับมายังจุดเริ่มต้น วันหนึ่ง วีรบุรุษของพวกเรา…ชูฮัน ได้เดินทางย้อนเวลากลับมาสิบปีก่อนโดยไม่รู้ตัว เขาได้ย้อนกลับมาก่อนจุดจบของโลกจะเริ่มต้นขึ้น (โลกาวินาศ) เขาถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยเสียงดังในหอพักในมหาวิทยาลัยหมิงชิว ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาได้กลับชาติมาเกิดใหม่ ชูฮันต่อสู้กับเหล่าซอมบี้นับสิบๆตัวก่อนจะมุ่งหน้าไปที่ลานจอดรถเพื่อขโมยรถยนต์เมอร์ซิเดซ-เบนซ์G55ออกมา เขาตัดสินใจที่จะตามหาพ่อแม่และพี่น้องของเขาด้วยG55คันนี้ ซึ่งนี้เป็นสิ่งที่เขาเสียใจที่ไม่ได้ทำในชาติที่แล้ว ระหว่างทางชูฮันได้พบปะกับคนกลุ่มหนึ่งที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นมีคนที่ติดอันดับ 20 ของโลกาวินาศรวมอยู่ด้วย…เฉินช่าวเย่ พวกเขาพบกับซอมบี้จำนวนมากระหว่างทางบนทางหลวง ซึ่งชูฮันได้ใช้รถ G55 พุ่งชนเหล่าซอมบี้จนเละ และในตอนนั้นเอง ชูฮันถึงตระหนักได้ว่าทั้งหมดนี้คือระบบล่มสลาย และเขาสามารถได้คะแนนจากการฆ่าซอมบี้ทั้งหลาย ซึ่งเขาสามารถเอาคะแนนพวกนี้ไปแลกเปลี่ยนเป็นความสามารถพิเศษอะไรก็ได้ และในตอนนั้นเอง การเดินทางของชูฮันก็ได้เริ่มต้นขึ้นไปพร้อมๆกับระบบล่มสลาย นี่เป็นเรื่องราวของระบบล่มสลาย โดยมีเขา…ชูฮัน เป็นคนดำเนินเรื่องราว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset