“อะไรน่ะ? เกิดอะไรขึ้น?!” แน่นอนว่าหลูปิงเซ่อได้รับความสงสารจากป้าทั้งสามทันที
“ผมไม่รู้เรื่องที่แท้จริง แต่ค่ายเจียนอี๋กำลังแย่” หลูปิงเซ่อปาดน้ำตาที่ไม่มีอยู่จริงออก และก้มหน้าลง
ป้าคนหนึ่งพยายามคาดเดาสถานการณ์ “ฉันได้ยินมาว่าจลาจลวันนี้เกิดจากพวกมาใหม่ แล้วจากนั้นพวกทหารผ่านศึกก็ต่อต้านใช่มั้ย?”
“ใช่ครับ!” หลูปิงเซ่อทำสีหน้าโกรธจัด จากนั้นก็ปั้นสีหน้าเศร้าสร้อย เขากำหมัดแน่น “พวกมาใหม่พวกนั้นเจอตราเก่าของผม เพราะงั้นผมก็เลยโดนพวกมันทำร้ายจนขาหัก! เมื่อตอนในยุคศิวิไลซ์ผมทำเพื่อจีนมาตั้งมากมายแทบถวายชีวิต เหตุการณ์ร้ายแรงทั้งหลายก็ได้รับการแก้ไขจากหน่วยทหารของผม พวกมาใหม่พวกนั้นมันจะไปรู้อะไร? พวกมันไม่มีสิทธิมาทำกับผมแบบนี้!”
“กรร~ นี้พวกมันยังมีความเป็นคนอยู่รึเปล่า?” ป้าคนหนึ่งที่ได้ฟังมีอารมณ์ตาม
“อยากจะรวมคนไปสู้กับพวกมันมั้ยล่ะ?” ป้าคนหนึ่งมีไอเดีย
“มันต้องมีการต่อต้าน ความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่างพวกมาใหม่กับทหารเก่าคือความสามัคคี พวกมันพึ่งเข้าร่วมกองทัพมาได้เท่าไหร่เอง?” หลูปิงเซ่อพยายามชักจูงอย่างเนียนๆ “ทหารเก่าทุกคนมีส่วนร่วมทางทหารที่เฉพาะเจาะจงกันหมด พวกเราเคยอยู่ในยุครุ่งเรืองทางทหาร ได้รับการฝึกอย่างเป็นระเบียบ มีแผนการการรบที่เป็นระบบ และทำงานร่วมกันเป็นสามัคคี ทุกคนมีมาตรฐาน”
“ใช่! ทุกคนมีมาตรฐาน” ป้าคนหนึ่งตอบอย่างมุ่งมั่น “ฉันเห็นมีทหารคนหนึ่งไปที่บ้านพักของเด็กสาวบ้านข้างๆเมื่อเดือนก่อน และไม่ได้ออกมาทั้งคืน เด็กสายคนนั้นช่างน่าสงสาร วันถัดมาสามีของเธอกลับมาและซ้อมเธอย่างแรงจนเสียโฉม มันยุติธรรมแล้วเหรอ?”
หลูปิงเซ่อพยักหน้าตามทันที เขาพยายามเสริมอารมณ์ที่เหมาะสมเข้าไป “พวกมาใหม่ไม่ได้ทำหน้านี้ของตัวเองเลยสักนิด พวกเขาไม่ทำอะไรเลย คนพวกนี้ไม่เหมาะสมที่จะเข้ามาในค่าย มาเป็นทหารของเราด้วยซ้ำ!”
“ใช่ ถูกต้อง!” ป้าคนหนึ่งพยักหน้าตาม และจู่ๆก็ถามขึ้น “พ่อหนุ่ม แล้วคิดจะลงมือทำอะไรมั้ย? ต้องการความช่วยเหลืออะไรมั้ย? สามัคคีคือพลัง!”
หลูปิงเซ่อยิ้มมุมปาก และรีบส่ายหัวปฏิเสธ “ไม่ ไม่ครับ”
“ถ้าในกรณีนั้น ถ้ามันยังมีพวกมาใหม่อีกมาก บอกฉันละกัน ฉันจะได้ไม่จัดการผิดคน” ป้าทั้งสามคนที่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าติดกับของหลูปิงเซ่อเข้าแล้ว
“ถ้าเป็นไปได้ตามหาคนชื่อชินหยวน เขาเป็นตัวแทนของพวกทหารผ่านศึก” สีหน้าของหลูปิงเซ่อตึงเครียด “ถ้าป้าอยากจะช่วย มันจะดีกว่าถ้าเรามีคนมากเป็นพวก มันอันตรายเกินไปที่พวกป้าจะทำกันเองแค่สามคน”
“ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหา ไม่ต้องมีคนเพิ่ม!”
“ถึงเวลาที่จะต้องจัดการพวกมันด้วยปากต่อปาก ถูกมั้ย? ใครจะเป็นตัวแทนของคนพวกนี้ที่เราจะไปตกลงได้? เรามีตัวแทนของเราแล้ว แล้วพวกมันมีตัวแทนมั้ย?”
“อ๋อ! ใช่ผู้นำสูงสุดของค่ายเจียนอี๋ หลูอี๋มั้ย?”
“ไม่ ไม่ ไม่ใช่หลูอี๋ที่ชักชวนให้พวกมาใหม่ทำเรื่องไร้ศีลธรรมแบบนี้” หลูปิงเซ่อเย้ยหยัน “คนเลวที่แท้จริงก็คือเหลียงชูซิน เขาเป็นหัวหน้าของพวกนั้น”
“เหลียงชูซินงั้นเหรอ?” เหล่าป้าที่กำลังตื่นเต้นไม่ได้สนใจสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นเลย “มันคือผู้นำใช่มั้ย งั้นเราต้องฆ่ามัน!”
หลูปิงเซ่ออยากจะปรบมือด้วยความดีใจซะตอนนี้ ป้าทั้งสามคนนี้ให้ความร่วมมือดีจริงๆ ฮ่าฮ่าฮ่า! งานของเขาสำเร็จแล้ว!
ในขณะเดียวกัน ประโยคคล้ายกันนี้ก็ได้เกิดขึ้นตามจุดที่มีเหล่าป้าๆอาศัยอยู่ ป้าที่มีเวลาว่างและเบื่อหน่ายกับชีวิตพวกนี้จะทำให้งานของพวกเขาสำเร็จภายในค่ำคืนเดียว เรื่องราวของชินหยวนและเหลียงชูซินถูกแพร่กระจายไปทั่วทั้งค่าย ทุกคนรับรู้กันหมด
เมื่อถึงวันถัดมา ฟ้ายังไม่ทันสว่างดี เหล่าผู้นำของค่ายเจียนอี๋กก็ถูกบังคับให้มารวมตัวกันอีกครั้ง หลูอี๋แทบจะลืมตาไม่ขึ้นเพราะยังไม่ได้นอน เนื่องจากเขาทำงานตลอดคืน เขาต้องจัดเตรียมหลายอย่าง ใช้เวลาหลายชั่วโมง นี่มันเกิดการจลาจลขึ้นอีกแล้วงั้นเหรอ?
“ไอ้ชินหยวนคนนี้มันกล้าก่อกบฏ!” เหลียงชูซินที่นั่งอยู่ในห้องประชุมโกรธจัด เขาทุบโต๊ะเสียงดังและพูดต่อ “เราควรไปจับตัวมันมาซะ แล้วก็ประหารมันต่อหน้าทุกคน เป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู ดูซิว่าไอ้พวกนี้มันจะยังกล้ากบฏต่อมั้ย!”
ตัวหลูอี๋เองเต็มไปด้วยความรู้สึกท่วมท้น ในตอนนี้เมื่อเขาได้ยินว่าเหลียงชูซินไม่มีความคิดที่จะบรรเทาสถานการณ์เลยสักนิด หลูอี๋ก็ทนไม่ไหวถอนหายใจออกมาพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เขาต้องการที่จะก่อกบฏกับคุณ ไม่ใช่ฉัน”
แม้ว่าในตอนนี้หลูอี๋จะไม่สามารถคิดอะไรซับซ้อนได้เพราะหัวตื้อไปหมด แต่หลูอี๋ก็ยังมีความสามารถในการตัดสินใจขั้นพื้นฐานได้อยู่ อย่างน้อยเขาก็มีสัญชาตญาณว่าเรื่องมันไม่ได้ง่ายอย่างที่เรามองเห็น เวลานี้เขาไม่สมควรจะทำการตอบโต้รุนแรงเพื่อยั่วยุให้สถานการณ์มันขุ่นขึ้นกว่าเดิม
เรื่องบังเอิญ
เรื่องบังเอิญในครั้งนี้มันฉลาดเกินไป ว่ามั้ย?
ชินหยวน ผู้ชายคนนี้น่าจะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะก่อกบฏอย่างโจ่งแจ้ง เจตนาที่ซ้อนไว้ภายใต้เหตุการณ์นี้มันคืออะไรกันแน่?
ในขณะที่หลูอี๋กำลังใช้ความคิดอย่างหนัก เหลียงชูซินที่ไม่สามารถทนฟังการปรึกษาหารือใดๆต่อไปได้อีก ก็ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยอารมณ์รุนแรงขนาดที่ว่าเก้าอี้ถูกผลักล้มไปกับพื้นจนเกิดเสียงกระแทกดังทั่วห้อง ตามมาด้วยน้ำเสียงเดือดดาล “มันไม่เหมือนกันตรงไหน ผมเป็นหัวหน้าแผนกเจ้าหน้าที่ของท่าน แล้วอะไรคือความแตกต่างระหว่างการต่อต้านผมและตำแหน่งของท่าน? ผู้ชายคนนี้ต้องถูกประหาร มันทำงานอยู่ในแผนกโลจิสติกส์รึเปล่า? ขอคำสั่งให้ผม แล้วผมจะพาคนไปฆ่ามันเอง!”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอารมณ์รุนแรงของเหลียงชูซิน หลูอี๋ก็รู้สึกรำคาญหูอย่างมาก มันก็เป็นธรรมดาที่จะมีการจลาจล ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความไม่ชัดเจนและไม่ยุติธรรม ถ้าหัวหน้าเจ้าหน้าที่ยังจะทำแบบนี้ต่อไป หุนหันพลันแล่นโดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา มันจะยิ่งกระตุ้นสถานการณ์ให้ทวีความรุนแรงขึ้นไปอีกเปล่าๆ
“ท่านหลูอี๋! กรุณารีบตัดสินใจ! ให้คำสั่งผมมาเลย ผมจะไปเอาหัวไอ้ชินหยวนมาเอง!” เมื่อเห็นว่าหลูอี๋ยังคงไม่พูดอะไร เหลียงชูซินก็ตะโกนเร่ง
หลูอี๋ที่หมดความอดทน โบกมือและพูด “หยางหลิน คุมตัวเหลียงชูซินไว้ อย่าปล่อยให้เขาได้ส่งเสียงน่ารำคาญอีก”
“ครับ!” พลตรีหยางหลินที่เป็นคนแข็งแกร่งอย่างแท้จริง จัดการกับเหลียงชูซินจนลงไปนอนอยู่ที่พื้น
“หลูอี๋! แก! เฮ้ย!” เหลียงชูซินที่กำลังจะพูดต่อไม่มีโอกาสได้พูดอีก เพราะหยางหลินเอาถุงเท้าของตัวเองมายัดปาก กลิ่นเหม็นเปรี้ยวที่อยู่ในปากทำให้เหลียงชูซินตะลึงค้าง
หยางหลินที่มีความไม่พอใจซุกซ้อนอยู่ในใจมานานพอใจอย่างมาก ตั้งแต่ที่เหลียงชูซินมาที่ค่ายเจียนอี๋ อำนาจของหยางหลินที่เดิมเคยมีก็ค่อยๆถูกลิดรอนไปเรื่อยๆ จนตอนนี้ความขัดแย้งระหว่างทหารผ่านศึกและพวกมาใหม่ก็ฝักรากลงลึก จนวุ่นวายไปหมด
ขณะที่ในที่สุดภายในห้องประชุมก็เกิดความเงียบขึ้นได้ หัวของหลูอี๋เริ่มค่อยๆโล่ง และในขณะที่หลูอี๋กำลังใช้ความคิดอย่างหนักเพื่อหามาตรการจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้น
พ้ะ!
ทันใดนั้น มันมีร่างของคนร่วงลงมาจากด้านบน โจมตีเข้าใส่หยางหลิน กัปตันทีมกุ้งเสือดำอย่างเสี่ยวเคินที่ปลอมตัววิ่งเข้าใส่เหลียงชูซินพร้อมกับตะโกน “หลูอี๋ แกกล้าจับคนจากซางจิงได้ยังไง แกกล้าพอที่จะกลับไปเผชิญหน้ากับค่ายซางจิงมั้ยล่ะ?”