ชูฮันแสยะยิ้ม “ฉันรู้แค่ว่าภารกิจของหลูอี๋ที่มอบหมายให้นายเกี่ยวข้องกับค่ายเขี้ยวหมาป่า และก็รู้ว่านายผ่านหน้าฉันไปแล้วสองครั้งในค่ายเจียนอี๋ และนายคิดว่าฉันไม่รู้”
ฟานเจี้ยนชะงัก ทุกอย่างที่ชูฮันพูดนั่นถูกหมด!
“ยังจะเล่นตลกอีก? แกคิดว่าฉันจะเชื่อว่าทั้งค่ายเจียนอี๋อยู่ภายใต้การเฝ้าระวังของแกหมดเหรอ?” ฟานเจี้ยนเย้ยหยัน จากนั้นก็บอกเรื่องจดหมายที่หลูอี๋บอกให้เขานำส่งให้ซางจี้ “ดูเอาเองละกัน แล้วอย่าหาว่าฉันไม่เตือน แต่ระวังจะหัวร้อนเอาล่ะ”
ชูฮันรีบเปิดจดหมายอ่านทันที หน้านิ่วคิ้วขมวด พี่ชายของซางจิ่วตี้งั้นเหรอ?
“จดหมายนี่ส่งถึงจิ่วตี้ของฉันงั้นเหรอ?” ชูฮันเอ่ยถามตามมา
“ก็ใช่นะสิ” ฟานเจี้ยนกรอกตา แต่ต่อมาเขาก็คิดได้ว่าไม่ควรกระตุ้นอารมณ์ของชูอัน เพราะถึงอย่างไรแล้ว ถึงพวกเขาจะมีปากเสียงกันเล็กน้อยแต่พวกเขาก็เป็นเพื่อนกันที่ดีต่อกัน เพราะงั้นฟานเจี้ยนจึงส่งสายตาเห็นใจให้ชูฮัน
“แล้วปฏิกิริยาของจิ่วตี้น้อยเป็นยังไง?” ชูฮันที่รู้ผิดเล็กน้อยถามอย่างหมดความหวัง
ฟานเจี้ยนหรี่ตาลงเพื่อให้มั่นใจว่าซูเฟิงและหลี่บี๋เฟิงจะไม่ได้ยินคำพูดของเขา ในกรณีเช่นนี้ที่ชูฮันอยากจะรู้ความลับของลูกค้า และพวกเขาทั้งคู่ยังมีสัมพันธ์อันดีต่อกันอยู่ มันจึงจำเป็นที่เขาจะต้องรักษาหน้าให้ชูฮันอยู่บ้าง ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องน่าละอายเกินไป!
ดังนั้น ฟานเจี้ยนจึงลดเสียงให้ชูฮันได้ยินแค่คนเดียว “หลังจากอ่านเสร็จ ทำท่าลังเลแล้วลังเลเล่าอยู่นานสองนาน แม้เธอจะไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองในทันที แต่มันดูเหมือนเธอกำลังกังวลใจบางอย่างอยู่”
ชูฮันเงียบกริบ ความรู้สึกผิดในใจยังคงมีอยู่ไม่หาย ซางจิ่วตี้บอกเขาแค่ว่าพ่อของเธอใช้เธออย่างไม่เคยมองว่าเธอเป็นลูก แต่ไม่ได้พูดถึงพี่ชาย และพี่ชายของเธอน่าจะเป็นเพียงญาติคนเดียวที่เธอมี ไม่แปลกใจที่เธอจะมีท่าทางลังเลที่จะอ่านจดหมายนี้
จดหมายเกี่ยวกับคนที่เธอรัก!
ชูฮันยิ่งกว่าประทับใจในตัวซางจิ่วตี้ ตั้งแต่ที่เธอคอยดูแลแม่เขาให้อย่างดี แต่เธอกลับไม่เคยบอกปัญหาของเธอให้เขาได้ฟังเลย?
ในจดหมายนี้ หลูอี๋รับปากว่าตราบใดที่ซางจิ่วตี้ยังคอยติดต่อกับเขาและยอมให้เขามาพบเธอที่ค่ายเขี้ยวหมาป่าบ้างในบางครั้งบางคราว หลูอี๋รับปากว่าจะหาวิธีส่งตัวพี่ชายของซางติ่วตี้ที่ซางจิงมาให้
“ฉันว่านะชูฮัน มันจะดีเหรอ คือฉันเห็นปฏิกิริยาของซางจิ่วตี้แต่นายจะรับได้เหรอ” ฟานเจี้ยนเป็นกังวลเกี่ยวกับชูฮัน เขาพยายามพูดโน้มน้าว “เอาล่ะ ช่างแม่ง ลืมมันซะ โอเคมั้ย สัญญากับฉันว่านายจะไม่ทำให้เป็นเรื่อง พูดสิ”
มองไปที่แววตาจริงใจของฟานเจี้ยน ทันใดนั้นชูฮันก็ทำท่าเหมือนตั้งใจจะฉีกจดหมายในมือทิ้ง!
แม่ง น่าโมโหชิบหาย ไอ้ห*าหลูอี๋นี้มันฉวยโอกาสชัดๆ!
ฟรึง!
ฟานเจี้ยนที่รอคอยจังหวะอย่างระมัดระวังคว้าจดหมายมาจากมือชูฮันภายในพริบตา “นายเป็นบ้าเหรอ เป็นบ้าไปแล้วเหรอ? นี่เป็นภารกิจแรกของฉันและมันก็จะสำเร็จสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อฉันนำจดหมายจากซางจิ่วตี้ส่งคืนถึงมือของหลูอี๋ ถ้าแกฉีกจดหมายทิ้งนั่นก็หมายถึงภารกิจของฉันล้มเหลว””
“ไอ้หลูอี๋นี้มันเจ้าเล่ห์ดีนัก!” ชูฮันกัดฟันสบถถึงหลูอี๋อย่างโกรธจัด หลังจากเดินวนไปวนมาอยู่ที่เดิมอย่างงุ่นง่าน จู่ๆชูฮันก็หันขวับไปถามฟานเจี้ยน “นายอ่านจดหมายนี่หรือยัง?”
“ไม่” ฟานเจี้ยนมีท่าทีจริงจังอย่างมาก “หนึ่งในเงื่อนไขของภารกิจก็คือห้ามให้ใครได้อ่านจดหมายนี้เด็ดขาด รวมถึงฉันด้วย”
“ไม่ แกนี่มันโง่จริงๆ” โดยไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีของการทำภารกิจ ชูฮันไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เขาตรงเข้าไปคว้าจดหมายจากมือฟานเจี้ยนมาและเปิดออกไปจ่อหน้าฟานเจี้ยน “ดู ดูซะ!”
“ชูฮัน แกกำลังบังคับให้ฉันหมดความศรัทธา!” ฟานเจี้ยนไม่สามารถฝืนศักดิ์ศรีในอกของเขาได้
“ฉันไม่เชื่อ แกทำอย่างนี้ได้ยังไง? แกรู้ถึงผลลัพธ์หลังจากแกทำภารกิจสำเร็จแล้วมั้ย? ในเมื่อไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เห็น แต่นายให้ฉันเห็นแล้ว ศรัทธามันก็หมดไปแล้ว เร็วเข้า!” ชูฮันเห็นฟานเจี้ยนหลับตาลง “แกไม่ดูใช่มั้ย? งั้นพ่อจะอ่านให้ฟังเอง!”
เนื้อหาของจดหมายนั้นสั้นๆ ชูฮันอ่านแค่ไม่กี่ประโยคเท่านั้น แถมยังใส่สีเติมไข่เข้าไปหน่อยเพื่อให้หลูอี๋ดูแย่
หลังจากได้ยินข้อความในจดหมาย ฟานเจี้ยนก็ตะลึงไปครู่หนึ่ง “การกระทำของหลูอี๋ทุเรศที่สุด มันมาใช้เรื่องแบบนี้บีบบังคับผู้หญิงได้ยังไง?”
“ใช่! โชคยังดีที่จิ่วตี้น้อยของฉันมั่นคงต่อฉันเท่านั้นตลอดไป” ชูฮันไม่ลังเลที่จะใช้โอกาสนี้เยินยอตัวเอง “นายเจอกับหลูอี๋เองต่อหน้าใช่มั้ย?”
ฟานเจี้ยนพยักหน้ารัวๆ โดยไม่คำนึงถึงสถานการณ์แน่นอนว่าเขาต้องอยู่ข้างชูฮันอยู่แล้ว และครั้งนี้หลูอี๋ทำเกินไป ใครๆก็รู้ว่าซางจิ่วตี้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับชูฮัน แล้วทำไมหลูอี๋ต้องพยายามเข้ามาแทรก?
“เพราะงั้น เราควรฆ่าเขามั้ย?” สีหน้าของชูฮันเต็มไปด้วยความดุดัน
“ห้ะ ฆ่าเลย?” ฟานเจี้ยนไม่เข้าใจความหมายของชูฮัน เขามีความลังเล “หลูอี๋เป็นถึงพลโท เขาคือเพื่อนร่วมงานของนยหนิ มันดูไม่ใช่ความคิดที่ดีที่จะฆ่าเขา”
“นายโง่เหรอไง? ฉันหมายถึงทำข้อตกลงกับมันและให้มันยอมจ่ายหนักๆ” การคำนวณในแงงตาของชูฮันไต่ถึงระดับสูงสุด
ฟานเจี้ยนพยักหน้า “ฉันเห็นด้วยกับความคิดของนายเพราะมันไม่ได้ขัดต่อหลักศีลธรรมของฉัน”
“ดี” ในที่สุดชูฮันก็สามารถดึงฟานเจี้ยนมาร่วมแผนโจรปล้นเงินกับเขาได้ เขาตบไหล่ฟานเจี้ยนเบาๆสบตาแน่น “นายกลับไปส่งมอบจดหมายนี้ให้ไอ้หลูอี๋ ไม่ต้องบอกเรื่องราวที่เจอฉันปล้นระหว่างทางหรืออะไรทั้งนั้น ทำตัวปกติ ทำภารกิจให้สำเร็จก่อน แล้วจากนั้นมันจะต้องมอบหมายภารกิจเร่งด่วนให้แกเพิ่มอีกอย่างแน่นอน”
“เร่งด่วน?” ฟานเจี้ยนค่อนข้างประหลาดใจ “ภารกิจอะไร แล้วนายรู้ได้ยังไงว่ามันเร่งด่วน”
อย่างที่รู้กันว่าชูฮันเคยให้กระดาษรายการกับฟานเจี้ยนเอาไว้ ซึ่งมันระบุชื่อของคนและเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างคร่าวๆและวิธีในการแก้ไข ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการอนุมานที่คำนวฯการเปลี่ยนแปลงในวงกว้างไว้จากชูฮันเอง
แต่ครั้งนี้ ชูฮันพูดว่าภารกิจเร่งด่วน ดูเหมือนว่าชูฮันจะรู้อยู่แล้วว่าหลูอี๋จะมอบภารกิจอะไรให้เขา ทั้งๆที่หลูอี๋ยังไม่ได้มอบหมายภารกิจให้เขาเลย แล้วเป็นไปได้ยังไงที่ชูฮันจะรู้ข้อมูลเจาะจงก่อนแล้ว?
“ตราตำแหน่งพลโทของเขาหายไป เขาสงสัยว่าบางคนจงใจขโมยมันไป แต่เพราะตอนนี้สถานการณ์ภายในค่ายแบ่งออกไปสองฝ่ายและสิ่งที่หายไปมันเรื่องที่ละเอียดอ่อน ดังนั้นเขาจึงยังไม่สามารถตามหามันได้ตอนนี้” ชูฮันยิ้มเยาะเสียงดัง “พลโททำตราของเขาหาย เขาไม่สามารถป่าวประกาศให้ใครรู้ได้ทั้งนั้น และถ้าครั้งนี้เขาต้องการจะขับไล่เหลียงชูซินออกไปจากค่ายเจียนอี๋ เขาจะต้องยืมมือของบุคคลที่สามอย่างนายมาช่วยตามหาตราของเขานั่นเอง”
“นายรู้ได้อย่างไรว่าตราของเขาหายไป?” ฟานเจี้ยนถามตามจิตสำนึก
ชูฮันหยิบตราขึ้นมาวางในมือฟานเจี้ยน “นี่คือตราของพลโทหลูอี๋”
ฟานเจี้ยนเบิกตากว้างอย่างตกใจ สมองของเขาขาวโพลนไปชั่วขณะนึง
ชูฮันลอบสังเกตปฏิกิริยาตอบสนองของฟานเจี้ยนและค่อยๆเริ่มอธิบายอย่างใจเย็น “มันจะบอกถึงคนที่เขาสงสัยว่าขโมยตราไป หนึ่งในนั้นจะต้องเป็นเหลียงชูซิน ส่วนอีกคนคือฉัน และในเมื่อเป้าหมายทั้งสองฝ่ายนั้นไม่ใช่เป้าหมายเล็กๆ นายจำเป็นต้องยืนกราน ต่อรองราคาจ้างงานเป็นสองเท่า”