“ข้อเสียเปรียบ” หลูปิงเซ่อครุ่นคิด “สมาชิกไม่เหนียวแน่นหรือเกาะติดกัน หัวหน้าก็เห็นแก่เงิน และมันไม่ใช่แค่ฉัน ทุกคนในทีมต้องการประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วและชอบฉวยโอกาส “
ขณะที่หลูปิงเซ่อพูด ศีรษะของหลายคนในทีมก็ก้มต่ำลงเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดทุกคนก็ได้แต่ก้มหน้ามองรองเท้าของตัวเอง หลูปิงเซ่อพูดถูก…พวกเขาเลือกที่จะวิ่งกลับไปที่ทะเลสาบน้ำแข็งเพื่อฉวยโอกาส ในขณะที่ชูฮันกลับพุ่งตัวเข้าไปในหมู่บ้าน ทางเลือกของพวกเขาก็เป็นหลักฐานชี้แล้วและมันก็สะท้อนผลลัพธ์ให้เห็นอยู่ในตอนนี้
หากครั้งนี้ชูฮันยังยอมรับพวกเขาและยังเสนอให้พวกเขาได้แข่งขันกับทีมกุ้งเสือดำ
“อืม” ชูฮันพยักหน้าพลางมองไปที่ทุกคนที่กำลังมีขวัญกำลังใจต่ำ ชูฮันส่งยิ้มให้หลูปิงเซ่อเงียบๆ “แล้วข้อได้เปรียบล่ะ?”
“เรามีข้อได้เปรียบด้วยเหรอ?” วิวัฒนาการระยะ 2 โพล่งถามขึ้นมาอย่างตะกุกตะกัก จากนั้นเขาก็พูดต่อ “นอกเหนือจากความสามารถพิเศษของหลูปิงเซ่อ เราก็ไม่มีข้อได้เปรียบอะไรเลย”
หลูปิงเซ่อเองก็ยืนเงียบด้วยเพราะข้อเสียเปรียบที่พวกเขามีนั่นมันคือเรื่องจริงทั้งหมด และข้อได้เปรียบอย่างเดียวที่พวกเขามีก็คือตัวเขาเอง ทว่าเขาไร้พละกำลังทางด้านสมถรรภาพทางกายหรือการต่อสู้อย่างสิ้นเชิง…ก็เหมือนกับฝูงงูก่อนหน้านี้ที่เกิดขึ้นกับชูฮัน หลูปิงเซ่อกลัวว่าจะไม่มีทางออก แถมยังความแตกต่างกันอย่างมากในเรื่องพละกำลังของทีมเขากับอีกทีม แต่คริสตัลที่เขาตรากตรำเก็บสะสมมากเป็นจำนวนมากก็ยากเกินกว่าจะทำใจละทิ้งไปได้
พลังการต่อสู้คืออำนาจในยุคโลกาวินาศ
เฟิงจื่อจือเหมือนมีบางอย่างที่อยากจะพูด เขาเอาแต่ทำท่าเผยอริมฝีปากอยู่นานทว่าในที่สุดก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมาอยู่ดี
“มันง่ายเกินไปที่จะทำให้กระทบความรู้สึกจริงๆ?” หวังไคพยายามพูดโน้มน้าวชูฮัน “ฉันแนะนำให้นายเลิกหวังกับคนพวกนี้เถอะ คุณภาพทางจิตวิทยาของพวกนี้แย่มาก มันไม่มีแรงกระตุ้นเลย มันจะเป็นเหมือนกับทรายผงที่ร่วงโรยเวลาเรากำขึ้นมา”
“ไม่ต้องรีบร้อน” ชูฮันตัดสินใจที่จะไม่สนใจคำพูดของหวังไค หลังจากกวาดตามองไปรอบๆวง ชูฮันก็กวักมือ “ทั้งหมดล้อมเข้ามา”
ทุกคนเขยิบหน้าเข้ามาชิดกันสนิทจนหัวของคนสิบกว่าคนชิดกันสนิทจนล้อมกันเป็นวงกลม ทุกคนใกล้ชิดกันและไม่มีการระแวงใส่กัน ไม่เหมือนกันกับทีมกุ้งเสือดำ ทำแบบนี้จะเหมาะสมกับกลุ่มนี้มากกว่า นี้เป็นวิธีที่กลุ่มควรสื่อสารกันและกัน
ทุกคน โดยเฉพาะพวกคนที่มีการป้องกันตัวที่ซ่อนอยู่ใต้จิตสำนึก…ระยะห่าง 1 เมตรคือระยะห่างในการสื่อสารที่ปลอดภัย แต่ถ้าเข้ามาอยู่ด้วยกันจนใกล้แบบนี้มันจะเป็นการสร้างภาพให้จิตใต้สำนึกจดจำว่าทุกคนคุ้นเคยกัน
และระยะห่างของชูฮันกับคนพวกนี้ก็เป็นคำใบ้ทางจิตวิทยาให้กับคนพวกนี้
“พวกนายสามารถทำแบบนี้—–” ชูฮันพูด
ผ่านไปสักพัก แววตาของหลูปิงเซ่อก็เป็นประกาย เขาเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ชูฮันด้วยความตื่นเต้น “มันคืออะไร?!”
“แน่นอน” ชูฮันมองไปที่หลูปิงเซ่อด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เพราะนายเชื่ออย่างเต็มที่ว่าฉันไม่มีพิษภัย” ชูฮันกดหัวของหลูปิงเซ่อลงค้างไว้ “ต่อไป—-“
“เอ่อ! พอรึยัง?” วิวัฒนาการอีกคนตื่นเต้นที่ได้ยิน
“ยังไม่เสร็จ!” ชูฮันกดหัวของชายคนนั้นไว้เหมือนเดิม
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ในที่สุดชูฮันก็ปล่อยให้ทุกคนเงยหน้าขึ้นพร้อมถามเสียงดังฟังชัด “พวกนายเข้าใจไหม?”
กลุ่มคนเบื้องหน้าชูฮันยังคงนั่งอยู่กับพื้น พวกเขาตอบออกมาอย่างพร้อมเพรียง “เข้าใจครับ!”
บนใบหน้าของทุกคนมีรอยยิ้มกว้างฉายอยู่ พวกเขาเต็มไปด้วยราศีเปล่งประกาย คนพวกนี้พร้อมแล้วที่จะออกเดินทางและเตรียมพร้อมกับการต่อสู้ครั้งใหญ่
ชูฮันตั้งชื่อทีมนี้ว่า ‘ความลับของพระเจ้า’ และเขาเองก็ตั้งความหวังไว้ที่ทีมนี้เช่นกัน ชูฮันไม่คิดเลยเขาจะสร้างทีมนี้ขึ้นมาได้สำเร็จ แต่ตั้งแต่ที่เขาได้เจอกับไก๋หนาน และหลังจากได้เห็นการกระทำที่สุดยอดของบี๋เทียนและซงเสี่ยว จากนั้นก็ที่หมู่บ้านนี้ที่เขาได้เจอกับการโกงคริสตัลกัน สุดท้ายเขาจึงได้คิดค้นไอเดียบางอย่างเอาไว้ในใจ
แท้จริงแล้ว ความลับของพระเจ้ามีข้อบกพร่องมากมาย แม้แต่เรื่องพื้นฐานที่สุดของทีมอย่างเรื่องความสามัคคี แต่ชูฮันได้รวบรวมคุณลักษณะต่างๆของทีมนี้เข้าไว้ด้วยกันและได้ให้คำแนะนำพวกเขาไปอีก ส่วนเรื่องที่พวกเขาจะพัฒนาการเรื่องอะไรขึ้นมาภายใต้การนำของหลูปิงเซ่อนั้น…เรื่องนี้ชูฮันก็ไม่รู้เหมือนกัน
มันคือการพนัน การพนันที่เสี่ยงมาก
หลังจากทีมความลับของพระเจ้าจากไป หวังไคก็ยังไม่พูดกับชูฮันอยู่นาน จนในที่สุดมันก็ปริปาก “นี่มันบ้าบออะไร?”
ชูฮันหยิบไวน์ที่มีมูลค่าในร้านเข้าไปในประตูมิติ “ทำไม? ตราบเท่าที่สมองของแกสามารถเป็นกังวลได้ แต่ก็แน่ละแกไม่สามารถเข้าใจตรรกะเรื่องพระเจ้าของฉันได้”
“แล้วเจิ้งเทียนอี้ล่ะ?” หวังไคยังคงไม่เข้าใจ “เขาอายุแค่ 5 ขวบเองแถมยังหูหนวกอีก เด็กประเภทนี้จะยุ่งยากเปล่าๆ นายเอาเขาไปไว้ในทีมที่ไร้ระเบียบอย่างความลับของพระเจ้า ทีมกุ้งเสือดำจะไม่เหมาะกับเขามากกว่าเหรอ? นายไม่กลัวว่าเจิ้งเทียนอี้จะเป็นอะไรกลางถนนเหรอ? แถมเงื่อนไขของนายก็ยังต้องให้ทุกคนไปถึงที่นั่นอย่างปลอดภัยอีก ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้!”
ชูฮันมีสายตาลึกลับ และพูดประโยคหนึ่งที่ทำให้หวังไคคิดได้ทันที “ตอนที่เรามาถึงหมู่บ้านนี้ ทำไมหลูปิงเซ่อถึงทิ้งเจิ้งเทียนอี้ไว้ที่หมู่บ้านนี้?”
หวังไคตกใจ
ชูฮันตอบกลับพร้อมกับรอยยิ้ม “ไม่ว่าจุดประสงค์จะคืออะไร เจิ้งเทียนอี้คือตัวเอกในทีมความลับของพระเจ้า อย่างน้อยก็สำหรับภารกิจนี้”
“เอาล่ะ ฉันจะรอดู” หวังไคยอมและในที่สุดก็เอ่ยปากถามต่ออีก “แล้วเรื่องคริสตัลล่ะ? นายจะให้คริสตัล 100 ชิ้นกับพวกเขาจริงๆเหรอ?!”
“ก่อนอื่น นายต้องทำความเข้าใจก่อนว่าสิ่งที่พวกเขาต้องการจริงๆไม่ใช่คริสตัล” ชูฮันยิ้มออกมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้หลังจากที่ดื่มไวน์ขวดสุดท้ายในมือและเดินออกมาด้านนอก พระอาทิตย์ได้ตกดินเรียบร้อยแล้ว ชูฮันพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่ฟังดูเหนื่อยใจ “มนุษยชาติ สุดท้ายแล้วก็คือสิ่งมีชีวิตเหมือนกัน”
“คำถามสุดท้าย” หวังไคคิดอยู่พักใหญ่ก่อนจะตัดสินใจถามออกมา “ตลอด 3 เดือน ความปลอดภัยเต็มที่จนถึงเมืองอันลู และการค้นหาหยางเทียนท่ามกลางคนมหาศาล แถมนายยังให้คำแนะนำไปทางที่ผิด นายไม่เปิดเผยข้อมูลอะไรของหยางเทียนเลย พวกเขาไม่รู้ว่าหยางเทียนอยู่ที่เมืองที่นายต้องการจะสร้างขึ้นในอันลู”
“อืม” ชูฮันพยักหน้า “มันมีปัญหาเหรอไง?”
“3เดือนมันเป็นระยะเวลาสั้นไป นายแน่ใจเหรอว่าพวกเขาจะทำสำเร็จ?!” หวังไคอดไม่ได้ที่จะตะโกนใส่ชูฮัน
“ไม่มีอะไรไม่สามารถทำได้” ชูฮันไม่สนใจ “แล้วฉันไม่ได้ใช้เวลาเดือนกว่าจากอันลูมาถึงนี้เหรอไง?”
“ก่อนหน้านี้นายเป็นวิวัฒนาการระยะ 3 แถมนายยังมีความสามารถด้านความเร็วที่ระดับ 3 ซึ่งมันเทียบเท่ากับพลังของวิวัฒนาการระยะ 4 ที่สำคัญกว่านั้นคือนายมีรถWrangler พลังงานแสงอาทิตย์!” หวังไคตกใจกับความคิดของชูฮัน “เห็นมั้ยว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้?”
“โอ้ะ ฉันลืมไปเลย”
“ฟู้ว—