Apocalypse Meltdown โลกาวินาศล่มสลาย – ตอนที่ 639 เข้าใจผิด?

ในเวลาเดียวกัน ที่หน้าห้องของซางจิ่วตี้ ซึ่งเป็นผู้ดูแลจัดการค่ายเขี้ยวหมาป่าที่ใหญ่ที่สุด ชินหยวนยืนอยู่เงียบๆด้านนอกประตูรอคอยการเรียกตัว ที่ยืนถัดไปกับชินหยวนคือเหลียวเหวินถาวและหลิวเซียง ทั้งสามคนได้เดินทางมาถึงค่ายเขี้ยวหมาป่าสองวันแล้ว พวกเขาได้ทำการอาบน้ำทำความสะอาด แม้สภาพของค่ายเขี้ยวหมาป่าจะแย่ แต่อย่างน้อยคนของพวกเขาก็ได้กินและพักเพื่อฟื้นพละกำลัง

 

“สภาพของค่ายเขี้ยวหมาป่านี่…” เหลียวเหวินถาวที่พูดได้แค่ครึ่งประโยคก็นึกขึ้นได้ว่าการพูดคุยตรงนี้มันไม่ดีเท่าไหร่ ดังนั้นเขาจึงกลืนอีกครึ่งประโยคหลังลงคอไป

 

หลิวเซียงเองก็มองไปรอบๆและเอื้อมมือไปสัมผัสกับกำแพงที่ตัวผนังแทบจะหลุดลุ่ยอยู่แล้ว อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวให้กับสภาพของค่าย “สภาพมันแย่เกินไป นี้คือศูนย์บัญชาการสูงที่สุดของค่ายแต่ยังมีสภาพแบบนี้ เทียบกับค่ายเจียนอี๋ไม่ได้เลย”

 

“ใช่” หน้าของเหลียวเหวินถาวแสดงความขมขืน “ที่สำคัญที่สุดก็คือสภาพแวดล้อมภายในค่ายก็แย่มาก ส่วนอื่นๆนี่ไม่อยากจะคิดเลย”

 

ขินหยวนมองไปที่สองคนข้างๆและถอนหายใจ “แต่หลังจากลองคิดดูแล้ว ที่สภาพแวดล้อมของศูนย์บัญชาการระดับสูงสุดแย่แบบนี้ก็เพื่อเป็นตัวอย่างให้ผู้คนกลัว แล้วมันก็ไม่มีความไม่พอใจบนสีหน้าของเหล่าผู้รอดชีวิตในค่ายเลย นี้มันอาจจะเป็นสถานที่ที่น่ากลัวที่สุดที่คนในค่ายไม่อยากมาก็เป็นได้ เพื่อสร้างความกลัวไม่ให้คนทำผิดกฏ”

 

เมื่อได้ยินอย่างนั้น ทั้งเหลียวเหวินถาวและหลิวเซียงก็เหลือบตามองกัน ทั้งคู่ประหลาดใจมาก พวกเขาพึ่งมาถึงค่ายเขี้ยวหมาป่าได้สองวัน พวกเขายังไม่ได้เห็นสภาพแวดล้อมของการใช้ชีวิตของเหล่าผู้รอดชีวิตและกองทัพเลย มีเพียงแค่สภาพแวดล้อมในศูนย์บัญชาการที่เห็น ซึ่งมันก็ยังไม่เพียงพอที่จะตัดสินจริงอย่างที่ชินหยวนบอก

 

“และสำคัญที่สุด…” จู่ๆชินหยวนก็ลดเสียงลงต่ำ น้ำเสียงมีความระมัดระวังและมีร่องรอยของความชื่นชม “เรามีผู้รอดชีวิต 10,000 คน กองกำลังอีก 1,000 คน พวกเขารับพวกเราทั้งหมดและตรวจสอบข้อมูลส่วนบุคคลของทุกคนทั้งหมดได้เสร็จภายในสองวัน”

 

“สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องของยุคศิวิไลซ์ มันจะเอาไปทำไรอะไรได้? มันไม่มีประโยชน์เลยสักนิด?” เหลียวเหวินถาวไม่เข้าใจ “ไม่มีค่ายไหนถามคำถามระเอียดมากขนาดนี้ และนี้มันก็เป็นการเพิ่มภาระงานให้เจ้าหน้าที่เปล่าๆ ผมเห็นว่าพวกเจ้าหน้าที่สำรวจข้อมูลมีเพียงแค่ยี่สิบคน พวกเขาทำงานยุ่งวุ่นวายตลอดเวลาไม่ได้พัก ไม่มีเวลาแม้แต่จะจิบน้ำ”

 

ชินหยวนส่ายหัว “ฉันไม่สามารถคาดเดาจุดประสงค์ได้ แต่ผลงานของ 20 คนนั้นค่อนข้างน่ากลัวและความภักดีต่อพลเอกชูฮันของพวกเขานั้นยิ่งยอดเยี่ยมกว่า”

 

“แต่เราถามแล้ว ไม่มีใครได้เห็นชูฮันเลยตลอดสองวันที่ผ่านมา…” หลิวเซียงอดไม่ได้ที่จะนิ่วหน้าอย่างกังวลและสงสัย

 

และในขณะที่ทั้งสามคนกำลังเป็นกังวล และไม่รู้ว่าพวกเขาทำถูกต้องหรือเปล่าที่จากค่ายเจียนอี๋มา ประตูห้องก็เปิดออกมาอย่างกระทันหัน ก็มีหญิงสาวในชุดเรียบๆเดินออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม

 

รอยยิ้มของติงเซวนั้นใสซื่อ “แค่ชินหยวนที่เข้าไปได้ ส่วนอีกสองคนกรุณาโปรดเข้าใจ”

 

นี่เป็นสถานการณ์ปกติมาก มันเป็นไปไม่ได้ที่ใครก็ได้จะได้เจอและพูดคุยกับซางจิ่วตี้ตัวต่อตัวง่ายๆ เธอมีกิจการมากมายให้ต้องจัดการในแต่ละวัยน ตอนนี้ค่ายเขี้ยวหมาป่ามีผู้รอดชีวิตมาใหม่ทำให้ตอนนี้จำนวนผู้รอดชีวิตในค่ายนั้นพุ่งเกิน 20,000 คนแล้ว การบริโภคประจำวันและการทำงานในชีวิตประจำวันของแต่ละฝ่าย มันเป็นงานที่ใหญ่และหนักมาก

 

ชินหยวนรีบลุกขึ้นยืนและหันไปสบตาอย่างให้ความมั่นใจกับเหลียวเหวินถาวและหลิวเซียง จากนั้นก็ก้าวเข้าไป

 

หลังจากที่ชินหยวนก้าวเข้าไปในห้องและประตูได้ปิดลง ติงเซวก็ขยับเท้าเล็กน้อยไปยืนขนาบด้านข้างของประตูข้างนอก แม้สีหน้าจะยิ้มแต่ร่างกายกลับยืนตรงแด่ว ทันใดนั้นมีก็มีออร่าระเบิดออกมาจากตัวเธอ

 

หลิวเซียงและเหลียวเหวินถาวที่ตอนแรกวางแผนจะนั่งนิ่งๆก็ต้องตกใจจัด ทั้งสองผุดลุกขึ้นยืนพร้อมกัน สีหน้าประหลาดใจที่ไม่สามารถปกปิดได้ปรากฏชัดบนใบหน้าของทั้งคู่

 

“คุณ?” หลิวเซียงเปิดก่อน สายตาจับจ้องไปที่ติงเซวไม่ขยับ “คุณเคยสังกัดหน่วยไหนในกองทัพมาก่อน?”

 

ท่าระเบียบทหารของติงเซวนั้นเป็นระเบียบมากรวมถึงออร่าของความจริงใจที่กระจายออกมาอีก มันไม่ใช่สิ่งที่ผู้หญิงทั่วไปจะมีได้ ดังนั้นเหลียวเหวินถาวและเหอหลิวเซียงจึงคิดในใจว่าหญิงสาวคนนี้จะต้องไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาแน่นอน เธอจะต้องเคยเป็นทหารมาแล้วอย่างน้อยหลายปี

 

ติงเซวยังคงท่าทางนิ่งสงบไว้ “ฉันเคยเป็นนักข่าวชั่วคราว ในยุคศิวิไลซ์ฉันเป็นแค่ศึกษามหาวิทยาลัยธรรมดา”

 

“นั่นเป็นไปไม่ได้!” เหลียวเหวินถาวส่ายหัวปฏิเสธทันที “คุณสามารถหลอกคนอื่นได้แต่หลอกเราไม่ได้ เมื่อคุณเป็นทหารแล้วคุณจะเป็นตลอดไป และทหารด้วยกันสามารถมองออกได้ทันที”

 

ติงเซวยิ้มอีกครั้ง “ถ้าคุณได้เห็นสมาชิกของกองทัพเขี้ยวหมาป่า คุณจะต้องไม่รู้แน่ว่าใครเคยเป็นทหารในยุคศิวิไลซ์และใครเป็นคนที่มาเข้าร่วมกับกองทัพเขี้ยวหมาป่ากลังจากการปะทุ”

 

เหลียวเหวินถาวและเหอหลิวเซียงชะงัด “คุณหมายความว่าอะไร?”

 

“ฉันชื่อติงเซว ไม่มียศทางทหาร เป็นเจ้าหน้าที่จดชวเลขของค่ายเขี้ยวหมาป่า” ติงเซวสบตากับทั้งคู่ น้ำเสียงเรียบนิ่งเช่นเดิม “ฉันเข้าร่วมการต่อสู้กับกองทัพเขี้ยวป่าในปีที่สองของยุคโลกาวินาศ เดือนมกราคมวันที่ 3 หลังจากการฝึกฝนอย่างหนักตลอดสามเดือน ฉันได้เข้าร่วมสงครามกลางภูเขาา หลังจากนั้นไม่นานมานี้ เมษายนวันที่ 2 ฮันได้ออกจากกองทัพเขี้ยวหมาป่า และเข้าร่วมกับแผนกโลจิสติกส์ของค่ายเขี้ยวหมาป่า และถูกย้ายจากแผนกโลจิสติกส์เมื่อเมษายนวันที่ 17 มาทำหน้าที่เจ้าหน้าที่จดชวเลขเพียงคนเดียวของค่ายเขี้ยวหมาป่าในตอนนี้”

 

หลังจากติงเซวพูดจบ เหลียวเหวินถาวและหลิวเซียงก็เหมือนโดนสายฟ้าฟาดที่หู ทั้งคู่นิ่งค้าง มองมาที่ติงเซวด้วยสายตาเหลือเชื่อ

 

กล่าวก็คือ ติงเซวไม่มีประสบการณ์ในการเข้าร่วมกองทัพเลนก่อนการมาถึงของโลกาวินาศ ร่างกายที่แข็งแกร่งที่เต็มไปด้วยมาตรญานของกองทัพนั้นถูกฝึกภายในเวลาสามเดือนของปีที่สองยุคโลกาวินาศ แค่นั้น!

 

และปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ที่ทุกคนไม่สามารถทำความเข้าใจได้ก็คือ ชูฮัน!

 

ติงเซวเป็นหญิงสาว แต่ชูฮันกลับสามารถทำให้คนที่เป็นแค่หญิงสาวธรรมดาเปลี่ยนไปได้อย่างน่าตกใจในเวลาแค่สามเดือน มันน่าตกใจสำหรับทหารผ่านศึกอย่างทั้งคู่ที่เข้าร่วมกับกองทัพมาแล้วหลายปี

 

หลังจากความเงียบพักใหญ่ จู่ๆหลิงเซียงก็ส่ายหัวและยิ้มออกมา สีหน้าแสดงความผิดหวัง “ท่านพลเอกชูฮันไม่รู้วิธีที่จะรักษาพรสวรรค์เอาไว้ เห็นได้ชัดว่าติงเซวนั้นเหมาะสำหรับสนามรบ เขาทำให้คุณกลายเป็นพลเรือน นี้มันเป็นการเสียความสามารถทิ้งเปล่าๆ สับสนชะมัด”

 

เหลียวเหวินถาวเองก็ส่ายหัวเบาๆเช่นกัน ในความคิดของเขา สถานการณ์ของติงเซวนั้นก็เหมือนกับชินหยวนที่ค่ายเจียนอี๋

 

เมื่อได้เห็นท่าทางตึงเครียดของทั้งคู่ ติงเซวก็ยิ้มออกมาเพียงเสี้ยววินาที “สาเหตุที่ฉันไม่ได้ทำการต่อสู้กับซอมบี้ร่วมกับกองทัพเขี้ยวหมาป่าต่อเป็นเพราะฉันเหมาะสมกับการสนับสนุนอยู่ด้านหลังมากกว่าเป็นทหาร มีนักรบของกองทัพเขี้ยวหมาป่าที่เหมาะสมและเก่งกว่าฉันมากมาย และฉันจะทำงานรับใช้ค่ายเขี้ยวหมาป่าและเหล่าผู้รอดชีวิตจำนวนมากได้ดีกว่า”

 

หลิวเซียงและเหลียวเหวินถาวสบตากันและกันและมองไปที่ติงเซวที่มีสายตาแน่วแน่มั่นคงอย่างยืนยันคำพูดของตัวเอง ทั้งคู่ก็เกิดความสับสนอยู่ในหัว

 

“การก่อตั้งค่ายหรือองค์กรใดๆ มันไม่ได้พึ่งแค่การฆ่าซอมบี้อย่างเดียวเท่านั้น” เสียงติงเซวไม่ได้เข้ม แต่มันกลับเหมือนกับสายฟ้าที่ฟาดเข้าทั้งคู่อย่างแรงจนจุก “ท่านพลเอกชูฮันไม่ได้ทำให้ความสามารถของใครเสียเปล่าทั้งนั้น”

 

Apocalypse Meltdown

Apocalypse Meltdown

มันเป็นโลกที่ซอมบี้และมนุษย์อาศัยอยู่ด้วยความสิ้นหวัง สนามแม่เหล็กของโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงและทุกอย่างได้ย้อนกลับมายังจุดเริ่มต้น วันหนึ่ง วีรบุรุษของพวกเรา…ชูฮัน ได้เดินทางย้อนเวลากลับมาสิบปีก่อนโดยไม่รู้ตัว เขาได้ย้อนกลับมาก่อนจุดจบของโลกจะเริ่มต้นขึ้น (โลกาวินาศ) เขาถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยเสียงดังในหอพักในมหาวิทยาลัยหมิงชิว ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาได้กลับชาติมาเกิดใหม่ ชูฮันต่อสู้กับเหล่าซอมบี้นับสิบๆตัวก่อนจะมุ่งหน้าไปที่ลานจอดรถเพื่อขโมยรถยนต์เมอร์ซิเดซ-เบนซ์G55ออกมา เขาตัดสินใจที่จะตามหาพ่อแม่และพี่น้องของเขาด้วยG55คันนี้ ซึ่งนี้เป็นสิ่งที่เขาเสียใจที่ไม่ได้ทำในชาติที่แล้ว ระหว่างทางชูฮันได้พบปะกับคนกลุ่มหนึ่งที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นมีคนที่ติดอันดับ 20 ของโลกาวินาศรวมอยู่ด้วย…เฉินช่าวเย่ พวกเขาพบกับซอมบี้จำนวนมากระหว่างทางบนทางหลวง ซึ่งชูฮันได้ใช้รถ G55 พุ่งชนเหล่าซอมบี้จนเละ และในตอนนั้นเอง ชูฮันถึงตระหนักได้ว่าทั้งหมดนี้คือระบบล่มสลาย และเขาสามารถได้คะแนนจากการฆ่าซอมบี้ทั้งหลาย ซึ่งเขาสามารถเอาคะแนนพวกนี้ไปแลกเปลี่ยนเป็นความสามารถพิเศษอะไรก็ได้ และในตอนนั้นเอง การเดินทางของชูฮันก็ได้เริ่มต้นขึ้นไปพร้อมๆกับระบบล่มสลาย นี่เป็นเรื่องราวของระบบล่มสลาย โดยมีเขา…ชูฮัน เป็นคนดำเนินเรื่องราว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset