อาวุธของโมเซอที่ชูฮันมอบหมายให้หลูฮงเชิงประดิษฐ์ขึ้นมาให้ตามคำสั่งสำเร็จเรียบร้อยอย่างรวดเร็ว โมเซอที่ได้รับอาวุธใหม่อดไม่ได้ที่จะทดลอง ผลลัพธ์คือมันดีเกินกว่าที่คาดไว้มาก โมเซอที่ชื่นชอบและถูกใจอาวุธใหม่อย่างมากรีบเอ่ยกับชูฮันทีว่าถ้าหากต้องการความช่วยเหลือใดให้บอก เขาสามารถช่วยชูฮันได้เสมอ
ซึ่งมีเหรอที่ชูฮันจะปล่อยโอกาสนี้ไป?
“ช่วยไปที่พื้นที่ผู้รอดชีวิตของซางจิงและตามหาคนหนึ่งให้ฉันที!” ชูฮันพูดอย่างตรงไปตรงมา
เมื่อได้เห็นว่าชูฮันต้องการความช่วยเหลือจากตัวเองจริงๆ โมเซอก็ค่อนข้างประหลาดใจมาก และเขาก็ไม่เคยคิดเลยว่าชูฮันจงใจมอบหมายหน้าที่ให้เขาจริงๆ นั่นจึงทำให้โมเซอเกิดความสนใจขึ้นอย่างมาก “ไม่ว่าจะให้ฉันไปตามหาใคร ฮันจะทำให้ดีที่สุด”
“ฉันรู้แค่ชื่อของคนคนนี้เท่านั้น ไม่รู้นามสกุล” ชูฮันเองก็มีสีหน้าจริงจัง เขานิ่วหน้า “พูดตามตรงเลยก็ตคือ คนที่ฉันกำลังตามหาคือพี่ชายคนละแม่ของซางจิ่วตี้”
เมื่อได้ยินชื่อซางจิ่วตี้ โมเซอก็ตะลึงค้างอย่างสิ้นชิง มองมาที่ชูฮันด้วยสายตาแปลกๆ “พี่ถามเธอตรงๆหรือยัง?”
“ถ้ามันง่ายขนาดนั้น ฉันจะต้องให้นายตามหาให้ทำไม?” ชูฮันมองโมเซอด้วยสายตาเอือมระอา “ที่ยากก็คือไม่สามารถให้ใครรู้ได้ว่าฉันกำลังตามหาพี่ชายของซางจิ่วตี้อยู่ โดยเฉพาะตัวซางจิ่วตี้เอง และนอกเหนือจากนั้นแล้วฉันไม่สามารถให้ใครรู้ได้ว่าฉันมีเจตนานี้อยู่ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องให้ใครรู้ว่าฉันเป็นคนอยู่เบื้องหลังภารกิจนี้ของนาย”
โมเซอพยักหน้า “มันจะเป็นความลับสุดยอด มีเพียงแค่ฉันกับพี่ที่รู้ใช่มั้ย?”
“ใช่!” ชูฮันแตะปลายคางตัวเองอย่างใช้ความคิด “และไม่ใช่เพียงแค่นั้น ถ้านายสามารถหาตัวเขาเจอ ถ้าเป็นไปได้ด้วยสุดความสามารถที่นายมี ฉันไม่ต้องการให้ใครรวมถึงตัวเขาเองว่าถูกพามาที่ค่ายเขี้ยวหมาป่า”
โมเซอกลืนน้ำลายอึก พยักหน้าอย่างมึนงง “มีข้อแนะนำอะไรมั้ย?”
ชูฮันเพียงแค่ส่ายหัว ทว่าจู่ๆชูฮันก็ชะงัก มีท่าทางลังเลบางอย่างก่อนจะเอ่ยขึ้น “มันมีพลโทคนหนึ่งในซางจิง ชื่อว่าชาช่าวหน่าน ซึ่งเป็นคนของเลาหมิงและคอยตามดูแลหลานสาวของเลาหมิง…เลาเสี่ยวเสียว”
โมเซอยิ่งมึนหนักกว่าเดิม “ติมตามเลาเสี่ยวเสียว แล้วคนคนนี้มันคือทำไม?”
ชูฮันยิ้มอย่างลึกลับ “ถ้าฉันจำได้ถูกต้อง คนคนนี้ควบคุมแผนกลาดตระเวน และเลาเสี่ยวเสียวน่าจะต้องรู้ข้อมูลของซางจิ่วตี้อยู่แล้ว”
“ฉันเข้าใจว่าเบาะแสนั้นค่อนข้างไม่ครอบคลุมเท่าไหร่ แม้ฉันจะไม่รู้อะไรมากแต่ฉันจะพยายามให้ดีที่สุด” โมเซอถอนหายใจ
ชูฮันยิ้มอย่างน่าหลัว เขาเอื้อมมือสอดลงไปในกระเป๋าตัวเองและถาม “นายคิดค่าจ้างเท่าไหร่? ฉันไม่สามารถให้นายลำบากได้”
“ไม่คิด” โมเซอปฏิเสธทันที “พี่ช่วยชีวิตฉันไว้ ช่วยแก้ปัญหาเรื่องศัตรู และยังทำอาวุธให้อีก แม้ว่าฉันจะไม่เข้าร่วมกับค่ายของพี่แต่ในอนาคตเราอาจได้ร่วมงานกันอีก ฉันจะพยายามทำภารกิจนี้ให้เต็มที่ที่สุดและจะไม่คิดเงินพี่สักแดงเดียว”
หลังจากพูดจบ โมเซอก็หมุนตัวเดินออกไปทันที ไม่ปล่อยโอกาสให้ชูฮันได้แย้งอะไรทั้งนั้น ชูฮันผิวปากและดึงมืออกจากกระเป๋าที่ล้วงไว้
“น่าไม่อาย!” หวังไคตะโกนลั่น “ความจริงนายไม่มีสักแดงเดียวด้วยซ้ำ!”
ชูฮันไม่คิดจะปฏิเสธคำพูดของหวังไค เขาน่าละอายแล้วไง มันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ?
————–
เวลาเดียวกันเองนั้นที่ค่ายเจียนอี๋ภายในห้องทำงานอันหรูหราของหลูอี๋ ประตูด้านนอกยังคงมีเจ้าหน้าคุ้มกันแน่นอนทำหน้าที่เฝ้าระวังอยู่ทั่วบริเวณเต็มไปหมด แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ฟานเจี้ยนกลับเผชิญหน้ากับหลูอี๋อยู่ในตอนนี้โดยที่ไม่มีใครตระหนักเลยสักนิด
ความรู้สึกของการไร้พลังอำนาจในหัวใจของหลูอี๋พุ่งทะลุเพดาน หลังจากรู้สึกว่าชีวิตของตัวเองกำลังไม่ปลอดภัยเป็นครั้งแรก ไม่มีใครสามารถหยุดราชานักล่าได้ ราชานักล่าสามารถวิ่งไปทั่วทั้งค่ายได้สบายๆราวกับเป็นบ้านตัวเอง!
“ตามความต้องการของคุณ ภารกิจสำเร็จเรียบร้อย” ฟานเจี้ยนไม่สนใจสายตาของหลูอี๋ เขาโยนตราพลโทอันแสนสำคัญลงบนโต๊ะทำงานหลูอี๋
หลูอี๋พยายามกดความรู้สึกไม่พอใจในอกลงไปและรีบหยิบตราบนโต๊ะตรงหน้าขึ้นมาดูอย่างละเอียด หลังจากดูอยู่นานหลูอี๋ก็เอ่ยขึ้น “ฉันไม่อยากจะตำหนิราชานักล่าหรอกนะ คุณสามารถนำตรามาคืนฉันได้หลังจากผ่านไปสิบวัน ผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่เล็กๆ ซึ่งมันมีผลอย่างมาก”
หลังจากที่ยืนยันแล้วว่าตรานั้นเป็นของจริง ความกังวลและวิตกของหลูอี๋ก็สลายไป ทว่าความไม่พอใจของฟานเจี้ยนกลับปะทุขึ้นมาแทน
ฟานเจี้ยพยักหน้าและพูดอย่างไม่สนใจ “ฉันไม่ได้พูดถึงระดับอันตรายของภารกิจนี้ ฉันเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด แต่ในเมื่อเราได้ทำการตกลงราคากันไปแล้ว ฉันจะไม่เพิ่มราคา ที่จริงฉันจะควรจะเพิ่มมันขึ้นอีกเท่าด้วยซ้ำ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น ปากของหลูอี๋ก็บิด ในใจกู่ร้องอย่างลิงโลด โชคดีที่ตราสำคัญนี้ได้กลับมาอยู่ในมือเขาแล้ว แต่มันยังมีอย่างหนึ่งที่เขายังอยากจะรู้ ใครที่เป็นคนก่อเหตุอันเป็นการหยามเขาแบบนี้
ดังนั้น หลูอี๋ถือว่าเขาไม่ได้ทำผิดข้อตกลงกับฟานเจี้ยน มันถือเป็นการถือที่เขาไม่ต้องจ่ายอีกเท่าตัวและได้เก็บเงินไว้ โดยที่ตัวหลูอี๋ไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังเดินตามบทที่ชูฮันและฟานเจี้ยนวางไว้ และก็เอ่ยตามประโยคที่ชูฮันบอกกับฟานเจี้ยนไว้อย่างชัดเจน “เอาล่ะ ใครคือคนที่ขโมยตราฉันไป?”
มองไปที่แววตาจริงใจและสุภาพของหลูอี๋ ฟานเจี้ยนอดไม่ได้ที่จะก่นด่าตัวเองในใจ หากเขาก็ทำตามที่ชูฮันวางไว้อย่างไหลรื่น “นั่นไม่ใช่ธุรกิจของฉัน”
“ไม่ ฉันก็แค่ถาม!” หลูอี๋เริ่มเป็นกังวล “คนที่ขโมยตราฉันไป ฉันมั่นใจว่ามันต้องการมีปัญหากับฉัน แน่นอนว่าฉันต้องถามไว้เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง และนายก็ทำตัวแปลกแค่ถามว่าใคร ทำไมถึงพูดไม่ได้?”
ฟานเจี้ยนเหลือบตามองหลูอี๋ และพูดบางอย่างที่ทำให้หลูอี๋แทบจะหงายหลังทันทีที่ได้ยิน “คุณสามารถถามข้อมูลจากฉันได้ แน่นอนว่ามันต้องมีค่าญธรรมเนียมในการบริการ
หน้าของหลูอี๋จากที่ตอนแรกก็เริ่มจะคล้ำ ตอนนี้กลายเป็นดำสนิท กัดฟันอย่างไม่พอใจ เป็นเวลาอยู่พักใหญ่ หลูอี๋ก็พยายามระงับอารมณ์รุนแรงของตัวเองได้สำเร็จและถาม “แล้วราคาของการขอข้อมูลคือเท่าไหร่?”
ฟานเจี้ยนที่แสร้งทำสีหน้าขึงขัง “จ่ายเงินที่เหลือค้างของภารกิจแรกก่อน”
หลูอี๋ “…”
———–
ในขณะเดียวกัน เหย่จือโปที่ซ่อนตัวอยู่สักที่กำลังแทบจะเป็นบ้าเพราะความคลั่ง
“มองหาแม่มึงสิ!” เหย่จือโปที่กำลังคลั่งอย่างรุนแรง หน้าตาแดงก่ำและเลือดสูบฉีด เตะโต๊ะที่อยู่ตรงหน้าจนมันพลิกคว่ำ ข้าวของแตกกระจายเละเทะเต็มไปหมด
ที่ยืนอยู่อีกฝั่งคือ จ่าวฮ่าวฮาว เขาและเหย่จือโปเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ในยุคศิวิไลซ์ ตั้งแต่ที่มันเกิดการปะทุของโลกาวินาศขึ้นมาพวกเขาก็ทำงานด้วยกันมาตลอด แต่เขาเป็นแค่มนุษย์สายพันธุ์ใหม่ธรรมดาที่ไม่ได้เก่งกาจอะไร และไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นทำไมจู่ๆราคามันถึงได้ขึ้นอย่าวกระทันหันแบบนี้ จ่าวฮ่าวฮาวเองก็สงสัยเช่นกัน อีกทั้งตัวตนของเหย่จือโปที่ซางจิงก็แปลกมาก ไม่ใช่ทหารแต่สามารถทำให้พันชางเซียนแห่งแผนกโลจิสติกส์โค้งคำนับได้
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันดูลึกลับไปหมด
เคยมีครั้งหนึ่งที่เหย่จือโปบอกว่าทำงานให้กับตระกูลเกา แต่ไอ้ตระกูลเกาที่ว่านี่มันมาจากไหนและคืออะไร ทำไมถึงดูยิ่งใหญ่ขนาดนั้น?
“ไอ้ชูฮัน! ฆ่ามันตั้งหลายครั้งทำไมไม่ตายสักที มันเป็นงูหรือไง! ครั้งนี้เราซุ่มโจมตีมันเป็นอาทิตย์ ปีศาจชัด!” เหย่จือโปที่ัยงคงโมโหอยู่ ก็โวยวายต่อไปไม่หยุด “ตระกูลป่ายยืนคำขาดกับฉันมาแล้ว ฉันต้องฆ่าชูฮันให้ได้ ไม่งั้นเราจะหมดประโยชน์กับพวกเขาทันที!
จ่าวฮ่าวฮาวตะลึงและตะโกนถามอย่างตกใจ “ตระกูลป่าย?”