ปลายเดือนพฤศจิกายน มันมีเวลามากกว่าหนึ่งเดือนให้ทุกคนเตรียมตัวเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ครั้งแรกของยุคโลกาวินาศ
ณ ค่ายตวน พายุหิมะส่งผลให้ภายนอกของตัวค่ายกลายเป็นสีขาวโพลนทั้งหมด เช่นเดียวกับค่ายซางจิง ห่างออกไปไกลพอสมควรมีเสาหินใหญ่โตอันน่าตกใจตั้งอยู่ หากที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือกระดานรายชื่อที่ฉายอยู่บนนั้น
บนแถวที่ 3 ที่เป็นรายชื่ออันดับของวิวัฒนาการระยะ 3 ซึ่งมีชื่อของชูฮันปรากฏอยู่ด้านบนสุดพร้อมกับตัวอักษรสีทองที่เปล่งประกายสะท้อนจนทำให้ผู้คนที่อยู่ห่างออกไปในค่ายตวนต้องมองมาด้วยสายตาพร่างพรายอย่างเคารพและชื่นชม
ตรงกลางของรายชื่ออันดับ ที่รายชื่อของวิวัฒนาการระยะ 5 มันได้มีชื่อของวิวัฒนาการหลายคนปรากฏขึ้นแล้ว
ป่ายหวีเนอ ตวนเจียงเหว่ย…
มันมีชื่อมากกว่าสิบชื่อปรากฏ ทว่าอันดับนั้นแตกต่างกันอย่างชัดเจน ชื่อของป่ายหวีเนอปราฏอยู่อันดับแรก ส่วนตวนเจียงเหว่ยก็ดูเหมือนพร้อมจะตามขึ้นมาได้ทันได้อยู่ทุกเมื่อ ถึงแม้สีของตัวอักษรที่ปรากฏจะเป็นสีเทาที่ไม่โดดเด่น แต่มันกลับเห็นได้ชัดเจนยิ่งกว่าชื่อของชูฮันที่ได้คะแนน S+ จากผลการประเมิณการต่อสู้โดยรวมซะอีก
อันดับมันชัดเจน
——–
ในตอนนั้นเอง บนถนนแคบๆไปสู่ค่ายตวน มันมีคนสองคนที่หาญกล้าท้าลมหิมะ
รองเท้าบู้ททหารที่การใช้งานมาอย่างตรากตรำได้เหยียบย่ำลงบนหิมะ บางส่วนของรองเท้าเปิดอ้าและเผยให้เห็นนิ้วเท้าที่แดงก่ำจากการโดยหิมะกัด เหอเฟิงและเติงฮ่าวเดินเคียงข้างกัน ทั้งสองมีสภาพทรุดโทรม ผมเผ้ารุงรัง มีสภาพดูดีกว่าผู้ลี้ภัยแค่นิดหน่อยเท่านั้น
“เราหาชูฮันไม่พบ เราควรกลับไปที่ซางจิงก่อนมั้ยครับ?” เติงฮ่าวเอ่ยปากถาม
ถึงแม้ทั้งคู่จะเป็นพลโทและมียศเท่ากัน ทว่าเห็นได้ชัดว่าเหอเฟิงดูเป็นที่น่าเคารพกว่าในทุกด้าน
ตัวตนของเหอเฟิงค่อนข้างพิเศษ
เหอเฟิงและเติงฮ่าวได้วิ่งไปมาแล้วหลายที่ที่มีเสาหินปรากฏอยู่ตามแผนที่ แต่มันกลับเปล่าประโยชน์ พวกเขาไม่รู้เลยว่าชูฮันได้ทำการทดสอบสำเร็จและได้คะแนน S+ มาจากสถานทีไหน โลกมันกว้างใหญ่มาก พวกเขาไม่รู้จริงๆว่าควรจะไปหาตัวชูฮันได้จากที่ไหน
“ด้วยการเดินเท้าแบบนี้ฉันไม่รู้เลยว่ามันต้องใช้เวลากี่ปีกี่เดือน ตวนเจียงเหว่ยก็ไม่สามารถมอบเฮลิคอปเตอร์ให้เราเดินทางไปซางจิงและค่ายตวนได้” เหอเฟิงวิเคราะห์ทีละขั้นตอน คิ้วของเขาเลิกขึ้นเล็กน้อย “มูลค่าของชูฮันได้เพิ่มขึ้นแล้ว และพวกที่ซางจิงจะต้องทำบางอย่างอีกแน่ๆ ดังนั้นเราจะรออยู่ที่นี่”
“เอ่อ…” เติงฮ่าวหมุนตัวกลับมาฟังและเมื่อได้ยินเหอเฟิงพูดถึงชื่อของพลเอกตวนเจียงเหว่ย เติงฮ่าวก็รู้สึกกลัวขึ้นมา
และในตอนนั้นเองมันก็มีชายหนุ่มในชุดผ้าขี้ริ้วที่กำลังดึงมือเด็กคนหนึ่งให้เดินตามมา ทั้ง เดิน 2 คนเดินผ่านหน้าพวกเขาไป เหอเฟิงหยุดเดินทันทีที่ได้สติและมองไปที่รอยฝีเท้า เติงฮ่าวเองก็มองตามสายตาของเหอเฟิงไปที่ผู้ลี้ภัย 2 คนนั่น ใบหน้าของคนที่เป็นผู้ใหญ่นั้นเปรอะเปื้อนสกปรกไปหมดจนไม่สามารถเดาอายุได้ ส่วนเด็กผู้ชายนั้นดูแล้วน่าจะอายุประมาณ 12 ขวบ บนหน้าตาที่เปรอะเปื้อนนั้นมีสีหน้าที่หวาดกลัวฉายอยู่
“เกิดอะไรขึ้น?” เติงฮ่าวอดไม่ได้ที่จะถาม
เหอเฟิงนิ่วหน้า ตาของเขาก็กวาดมองไปรอบๆตัวผู้ลี้ภัยสองคนที่อยู่ตรงหน้า
และในตอนนั้นเองผู้ชายคนนั้นและเด็กชายก็หยุดเดินหลังจากเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยที่มองมา สายตาของเด็กชายตัวน้อยเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดหลังจากเห็นเหอเฟิงและเติงฮ่าว มันเต็มไปด้วยความอิจฉาและกลัว
ส่วนชายคนนั้นก็มีสายตาที่เปลี่ยนไปชั่วคราวเมื่อมองที่หน้าอกของเฟอเฟิงและเติงฮ่าวหลังจากความไม่พอใจและความอับอายในตอนแรก ชายคนนั้นเหลือบมองไปที่ร่างผอมบางของเด็กชายและเดินตรงเข้ามาหาเหอเฟิงและเติงฮ่าว ชายคนนั้นเดินก้มหน้าเข้ามา โค้งตัว จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน
“ให้อะไรพวกเรากินหน่อยได้มั้ย?”
เหอเฟิงและเติงฮ่าวเหลือบตามองกันและกัน ทั้งสองถอนหายใจอยู่ในอก ภายใต้การนำของเหอเฟิง เติงฮ่าวหยิบคริสตัลซอมบี้ระยะ 2 ออกมาจากกระเป๋าและยัดมันเข้าไปในมือของชายคนนั้น “นี่คือคริสตัลของซอมบี้ เอามันไปที่ค่ายแลกเป็นอาหาร”
“ขอบคุณมาก!” ชายคนนั้นรับคริสตัลไปด้วยท่าทางตื่นเต้นสุดขีดพร้อมพูดขอบคุณด้วยน้ำเสียงสั่นเทา
เหอเฟิงและเติงฮ่าวหมุนตัวและเดินจากไป หลังจากทั้งสองคนเดินพ้นไปจากระยะสายตา ชายคนนั้นและเด็กผู้ชายก็เปิดปากพูดขึ้น
“สมบูรณ์แบบ การแสดงของนายนี่มันเกินไปจริงๆ”
“ผมไม่มีพรสวรรค์ในด้านนี้”
“งั้นนายเอาคริสตัลไป แม้อีกคนนั้นจะขี้เหนียวแต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไร”
“นี่นายออกมาจากค่ายนานไปแล้วรึเปล่า?”
“มันจะสายเกินไป นายต้องไปแล้ว”
เด็กผู้ชายถอนหายใจ ขณะที่แววตาของเขาที่ร่องรอยของความไม่เต็มใจ “ฉันจะไปส่งนายที่ประตู”
ชูฮันมองหน้าซงเสี่ยว ด้านหน้าคือประตูทางเข้าของค่าย
ชูฮันยิ้ม หากถอนหายใจอยู่ในอก ซงเสี่ยวซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่สืบราชการลับที่ค่ายตวนด้วยเพราะถ้าเป็นคนอื่นอาจจะถูกจับได้ไปแล้ว ซงเสี่ยวที่อายุแค่ 10 ขวบเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยที่สุด โดยเฉพาะเมื่อเพื่อนตัวน้อยคนนี้เฉลียวฉลาดพอๆกับเขา อีกทั้งชูฮันก็ไม่กล้าที่จะเสี่ยงถ้าคนคนนั้นไม่ซื่อสัตย์กับเขา
สุดท้าย…เขาก็ไว้ใจซงเสี่ยวได้ ชูฮันหมุนตัวและเดินออกไป มุ่งหน้าไปที่ถนนหลวงมุ่งสู่ค่ายซางจิง
ซงเสี่ยวยืนอยู่ตรงประตูเป็นเวลานานจนกระทั่งผู้ดูแลประตูเดินเข้ามาตบไหล่เขา “ลูกผู้ชายไม่ควรมาอาลัยอาวร พ่อของนายออกไปต่อสู้ไม่ใช่เพื่อให้นายมายืนงงอยู่แบบนี้!”
ซงเสี่ยวกลืนน้ำลายอึกและได้แต่พยักหน้าให้กับผู้ดูแลประตูที่แสดงความมีน้ำใจ
ซงเสี่ยวครุ่นคิดถึงแผนการถัดไป…พ่อของเขาคงไม่มีทางหนุ่มแบบนี้ สายตาของผู้ดูแลประตูคนนี้แย่ชะมัด!
———
ขณะนี้เหอเฟิงและเติงฮ่าวที่ยืนอยู่กลางค่ายตวนก็กำลังยืนเผชิญหน้าอยู่กับเจ้าหน้าที่ที่พึ่งเดินลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ อีกฝ่ายมีท่าทางประหลาดใจมากพร้อมกับทำท่าแสดงเคารพเมื่อได้เห็นเหอเฟิง
“พันโทเหอเฟิง!” ปากของเติงฮ่าวเผยอ เขาเองก็เป็นพันโทเหมือนกัน ทำไมคนแปลกหน้าตรงหน้านี้ถึงไม่ทำท่าเคารพเขาด้วย?
“รวดเร็วมาก” หลังจากเหอเฟิงพยักหน้ารับ เขาก็เดินตรงไปที่เฮลิคอปเตอร์ และไปหยุดอยู่ต่อหน้านายทหารที่ทำท่าเคารพเขาและเอ่ยปากถาม “นายชื่ออะไร?”
เจิ้งท่าวประหลาดใจไปครู่หนึ่ง “ผมชื่อเจิ้งท่าว เป็นคำสั่งของซางจิง—“
“ฉันรู้ ไม่ต้องพูดอะไรมากไปกว่านี้” เหอเฟิงพูดแทรกเจิ้งท่าวขึ้นมาและก้าวเท้านำขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไป
เจิ้งท่าวมีสีหน้าประหลาดใจ เขายังไม่ได้พูดอะไรเลย ทำไมเหอเฟิงถึงดูเหมือนจะรูไปหมดทุกอย่าง?
เติงฮ่าวที่ติดตามเหอเฟิงมาระยะหนึ่ง ทำให้เขาพอจะตามทันความคิดของเหอเฟิงได้ทัน การปรากฏตัวของเจิ้งท่าวนั้นเป็นไปได้การคาดเดาของเหอเฟิงเพียงแค่เขาไม่คิดว่ามันจะรวดเร็วแบบนี้ เหมือนว่าค่ายซางจิงน่าจะกำลังตกอยู่ในความวุ่นวาย หรือการได้คะแนนประเมิณ S+ ของชูฮันในครั้งนี้อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งโดยตรงภายในฐานของซางจิง