กูเหลียงเฉินตกใจจนหัวใจแทบหยุดเต้น เขาอยากจะเกลี้ยกล่อมชูฮันแต่ก็ทำได้แค่กลืนคำพูดของตัวเองลงคอไป
ชูฮันไม่สนใจ เขายังคงพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ใช่ นายรู้สถานการณ์ของพวกเขาหรือยัง?”
“ยังครับ” กูเหลียงเฉินนิ่วหน้าและส่ายหัว “เหย่จือโประวังตัวดีมาก ผมต้องติดต่อผ่านบุคคลที่สามเท่านั้น ผมไม่สามารถแกะรอยได้เลยว่าเหย่จือโปอยู่ที่ไหน คนของเราพยายามไล่รอยร่องรอยที่เจอแต่ผลสุดท้ายก็ไม่สามารถตามไปเจอได้ แต่ที่ได้รับรายงานกลับมาจากคนของเราก็คือ บุคคลที่สามที่เป็นตัวกลางนั่นใช้เฮลิคอปเตอร์ในการเดินทางทำให้เราไม่สามารถแกะรอยได้สักที”
“แม่ง!” ชูฮันสบถอย่างกลั้นอารมณ์ไม่อยู่ “ไอ้กลุ่มคนพวกนี้มันกล้าเหลือเกิน เรารู้แค่ว่ามันน่าจะมีประโยชน์กับอีกฝ่ายมากพอสมควรเพราะได้รับการสนับสนุนทางทรัพยากรและการเงินมากแบบนี้”
กูเหลียงเฉินพยักหน้า “จุดสำคัญคือการถ่ายโอนข่าวสารโดยกลุ่มคนตัวกลาง มันอาจจะเป็นไปได้ทุกรูปแบบ อาจจะเป็นข้อมูลการก่อสร้างของค่ายเขี้ยวหมาป่า เราอยากจะให้มันสำเร็จเร็วขนาดไหนล่ะครับ?”
ชูฮันตาโต “นายกำลังเร่งให้ฉันจัดการปล้นเหย่จือโปงั้นเหรอ?”
“อะไรน่ะครับ? ท่านพลเอก ผมไม่ได้…” คำพูดติดอยู่ที่ปากของกูเหลียงเฉิน
ชูฮันเริ่มวางแผนในหัว สายตาของชูฮันมองทะลุกูเหลียงเฉินอย่างปรุโปร่ง ไม่นานหลังจากผ่านไปแค่ครึ่งนาที ชูฮันก็ออกคำสั่งใหม่ “นายต้องสื่อสารกับพวกมันมากกว่านี้ ป้อนข้อมูลให้พวกมันไปอีก ทำให้เหย่จือโปเชื่อว่านายอยู่ฝั่งมันอย่างแท้จริง เพื่อให้ได้ความเชื่อใจจากพวกมันแล้วเราก็จะได้ที่อยู่ของพวกมันมา”
กูเหลียงเฉินรู้ว่าการตัดสินใจของชูฮันไม่มีทางล้มเลิก ตัวเขาจึงทำได้แค่คิดหนักถึงวิธีการรับมือ “มันยากที่จะเห็นเหย่จือโป เขาเป็นคนร้ายที่ชอบบงการอยู่เบื้องหลัง”
“นายไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้น อันดับแรกนายต้องมั่นใจในความปลอดภัยของตัวเอง จากนั้นก็พยายามเข้าใกล้พวกมันให้ได้ ยิ่งรักษาความสัมพันธ์ของพวกนายไว้ได้มากเท่าไหร่ ตำแห่งของนายก็จะเริ่มเข้าใกล้เหย่จือโปขึ้นเท่านั้น”
บทสนทนาของกูเหลียงเฉินกับชูฮันนั้นจบลงอย่างสั้นๆหากมันกลับอัดแน่นไปด้วยข้อมูลมากมาย และชูฮันก็จากค่ายเขี้ยวหมาป่าไปในคืนนั้น เขาเดินจากไปเงียบๆท่ามกลางความมืดแต่ชูฮันไม่ได้ไปไหนไกล ถึงอย่างไรแล้วช้อตกลงที่มีระยะเวลาจำกัดหนึ่งเดือนกับฟานเจี้ยนนั้นยังไม่จบลง สุดท้ายแล้วชื่อเสียงของราชานักล่ายังไม่ได้เริ่มสร้างเลย และมันยังมีอีกมากมายหลายอย่างที่ยังเหลือให้ชูฮันจัดการ
ซึ่งสถานที่ที่ชูฮันจะไปในครั้งนี้ก็คือค่ายเถาจิน
เรื่องของคราวที่แล้ว เขายังไม่ได้ล้างบัญชีเลย!
————-
ปีที่สองของยุคโลกาวินาศ ท่ามกลางเดือนพฤษภาคม ค่ายเถาจินยังคงวุ่นวายโกลาหลเหมือนเดิมเฉกเช่นทุกวันอย่างตลอดที่ผ่านมา ซึ่งมันกลายเป็นเรื่องปกติของคนที่ค่ายเถาจินไปแล้ว
สิทธิมนุษยชนรูปแบบใหม่นั้นจะขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งและพละกำลังในการต่อสู้ของคนคนนั้น และคนที่แข็งแกร่งได้จะได้ครองทุกอย่างทั้ง ที่พัก ผู้หญิง เงิน และการนำพวกผู้รอดชีวิตมาเป็นทาสรับใช้ ซึ่งท่ามกลางทุกอย่าง ผู้นำของค่ายเถาจินเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดและมีทุกอย่างในมือมากที่สุด เขาอาศัยอยู่ในที่พักที่หรูหราที่สุดในค่ายเถาจินพร้อมกับจำนวนผู้หญิงที่เยอะที่สุดที่ใครจะมีได้
พวกมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ไม่ต้องทำงาน ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารการกินหรือน้ำดื่มเพราะมันมีเหล่าผู้อพยพมากมายที่มีหน้าที่เหมือนกับสุนัขรับใช้ให้พวกเขา คนพวกนี้ต้องทำงานการเกษตร ทำนา หรือแม้กระทั่งตายในขณะล่าสัตว์เพื่อมาทำอาหารให้เหล่ามนุษย์สายพันธุ์ใหม่
ไม่มีใครต่อต้านกฏปฏิบัตินี้เพราะมันคือความแตกต่างในอำนาจอย่างแท้จริงที่ทำให้พวกมนุษย์สายพันธุ์อยู่เหนือทุกอย่าง พวกเขามีชีวืตเทียบเท่ากับจักรพรรดิ และเพราะความสุดโต่งนี้จึงทำให้เหล่ามนุษย์สายพันธุ์ใหม่ส่วนใหญ่เลือกที่จะอาศัยอยู่ที่นี้ ค่ายเถาจินเปรียบเสมือนทรวงสวรรค์สำหรับเหล่ามนุษย์สายพันธุ์ใหม่
นอกจากนั้นแล้ว ค่ายเถาจินยังมีจำนวนคนร้ายอาศัยอยู่มากที่สุดด้วย แถมคนไม่ดีเหล่านี้ยังมีฐานะมียศตำแหน่งในค่ายกันทั้งนั้น ในค่ายเถาจินมีหลายคนที่เริ่มธุรกิจเพื่อหาเงิน ในขณะที่คนปกติในค่ายเถาจินต้องทำงานอย่างหนักเพื่อแลกกับอาหารน้อยนิดประทังชีวิตไปแต่ละวันและมักโดนรังแก ทำร้ายจากเหล่าคนไม่ดี
แน่นอนว่าค่ายเถาจินมีจำนวนผู้ลี้ภัยขนาดมากอาศัยอยู่ มันเป็นค่ายที่รวบรวมความตกต่ำที่สุด มีแต่พวกขี้เกียจไม่ทำอะไร หรือไม่ก็ต้องเป็นทาส บางคนก็ถูกปฏิเสธจากทุกค่ายจนต้องมาที่ค่ายเถาจิน คนพวกนี้ประทังชีวิตจากการเก็บอาหารเหลือทิ้งมากิน บางครั้งก็ต้องสู้กันเองเพื่อแย่งเศษอาหารเหลือ
และนอกจากนั้น ก็ยังมีจำนวนผู้หญิงที่ไม่ใช่มนุษย์สายพันธุ์ใหม่อาศัยอยู่ในค่ายเถาจินเยอะมากเช่นกัน
เหล่าผู้หญิงธรรมดาในค่ายเถาจินเกือบทั้งหมดเป็นผู้หญิงระดับต่ำที่โชคดียังมีชีวิตรอดมาได้ถึงตอนนี้ แต่หนทางเดียวในการมีชีวิตรอดของพวกเธอคือการเป็นโสเภณี
ถนนหลายเส้นในค่ายเถาจินเชื่อมต่อไปที่ซ่อง ไม่ค่อยมีผู้หญิงในค่ายเถาจินอดตายเพราะพวกเธอเพียงแค่ต้องใช้ร่างกายแลกกับการอยู่รอด ซึ่งมันก็เป็นการแลกเปลี่ยนที่ดีกับทั้งสองฝ่าย อีกทั้งเกือบทุกบ้านที่ทำเป็นซ่องนั้นมีมนุษย์สายพันธุ์ใหม่คอยคุมอยู่ ดังนั้นมันจึงไม่มีใครกล้าเบี้ยวไม่จ่ายเงิน ถ้าไม่อยากเจ็บตัว
แน่นอนว่าสำหรับเหล่าโสเภณีพวกนี้พวกเธอก็ใช่จะมีความสุขกัน พวกเธอต้องใช้ชีวิตอยู่ในห้องราวกับรูหนูสกปรกๆ ลำบากลำบน และยังต้องเตรียมพร้อมตลอดเวลา
ในเวลาสั้นๆ ค่ายเถาจินกลายเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความโกลาหลและความเสื่อมโทรม
ช่วงปลายเดือนพฤษภาคมไม่ค่อยหนาวอีกต่อไป เมืองเถาจินมีเขตซ่องที่โด่งดังที่สุด ซึ่งสำหรับถนนเส้นนี้ไม่มีความต่างของกลางวันหรือกลางคืนเลย ไม่มีเวลาจำกัดสำหรับคนที่ต้องการซื้อความสุข ทั่วทั้งถนนเต็มไปด้วยเสียงวุ่นวายตลอดเวลา
ชูฮันกำลังเดินอยู่คนเดียวสบายๆไม่สนใจอะไรกลางถนนซ่อง สายตาเฉยชา ไม่มีท่าทีสนใจเหล่าผู้หญิงที่ยืนเปิดเปลือยอยู่ตามบ้านเพื่อเรียกความสนใจจากเขา
มีคนน้อยมากในเถาจินที่แต่งตัวเหมือนกันชูฮัน เพียงแค่เหลือบมองครั้งแรกก็รู้ได้เลยว่าคนคนนี้จะต้องเป็นมนุษย์สายพันธุ์ใหม่อย่างแน่นอน ทุกคนบนถนนมองเห็นชูฮันกันหมด ทุกคนจับจ้องมาที่ชูฮันอย่างสนใจ เหล่าผู้หญิงยิ่งตาโตด้วยความสนใจอย่างมากทว่าไม่มีกล้าที่จะเดินเข้ามาหาชูฮันเลย เพราะถึงอย่างไรแล้วในค่ายเถาจินสถานะของมนุษย์สายพันธุ์ใหม่นั้นคือคนระดับพิเศษ ถ้าเกิดไปทำอะไรให้ไม่พอใจ พวกเขาอาจตายได้ทุกเมื่อ
ขณะกำลังเดินอยู่ คนรอบๆต่างไม่มีใครกล้าส่งเสียงพูดกันเลย และทันใดนั้นมันก็มีน้ำเสียงเย้ายวนของโสเภณีคนหนึ่งดังขึ้น “พ่อรูปหล่อ อยากให้ฉันช่วยให้มีความสุขมั้ย?”
โสเภณีคนนี้มีใบหน้าสวยงามราวกับเทพธิดา เธอมีท่าทางภาคภูมิใจในตัวเองเหนือกว่าใครทั้งนั้น เธอสวมชุดกระโปรงยาวสีแดง ผ้าพริ้วทิ้งตัว ทุกอย่างดูสวยงามไปหมด ทว่าคำพูดที่ออกจากปากเธอนั้นมันเกินกว่าทนได้
ฝีเท้าของชูฮันหยุดชะงักทันที แววตาเย็นยะเยือก ความตกใจพุ่งทะลุเข้าในอกอย่างแรง…
บูชา?!