Apocalypse Meltdown โลกาวินาศล่มสลาย – ตอนที่ 378

ซางจิ่วตี้และหยางเทียนเดินขนาบคู่กันมา ส่วนเจียงฮงหยูก็เดินตามทั้งคู่มา ทั้งสามคนเดินตรงไปตามโถงทางเดิน

 

หน้าผากของซางจิ่วตี้ชุ่มไปด้วยเหงื่อซึ่งแปลกมากด้วยเพราะอากาศในตอนนี้ค่อนข้างหนาว สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ค่อนข้างยากที่จะอธิบายได้

 

ทันใดนั้นเองหยางเทียนก็ดึงซางจิ่วตี้ที่กำลังจะหมุนตัวผ่านประตูไป หยางเทียนพูดเสียงแผ่วเบา “หัวหน้าพูดบางอย่างกับฉันก่อนที่เขาจะไป”

 

ซางจิ่วตี้ตกใจ ความกังวลในใจที่มีคลายตัวลงเล็กน้อย จากนั้นก็ขมวดคิ้วพร้อมถาม “อะไรล่ะ?”

 

“ถ้าปัญหามันแย่พอแล้ว ก็ทำให้มันแย่ขึ้นไปอีก” หยางเทียนพูดขณะมองหน้าซางจิ่วตี้ “แต่ฉันไม่เคยเข้าใจมันเลย”

 

ซางจิ่วตี้ขมวดคิ้วจากนั้นก็ถาม “มีอะไรอีกมั้ย?”

 

“มี เขายังบอกอีกว่า—” หยางเทียนไม่รู้ว่าประโยคนี้มันจะเหมาะที่จะพูดตอนนี้หรือไม่ แต่เขาก็กัดฟันพูด “เวลาที่มันย่ำแย่มากๆ ใช้วิธีแบบดั้งเดิมที่สุด คือบดขยี้อย่างรุนแรง”

 

“อืม…” ซางจิ่วตี้ไม่คิดว่าจะได้ยินแบบนี้

 

“ซวย…เอ่อท่าน…นี่ผมทำให้มันแย่ลงหรือเปล่า?” หน้าตาหล่อเหลาของหยางเทียนบิดเบี้ยวด้วยความกังวล หน้าตาคิ้วขมวด

 

“เปล่า!” จู่ๆแววตาของซางจิ่วตี้ก็เป็นประกาย เธอดึงตรายศที่ติดอยู่ตรงหน้าอกของเธอออก “ตอนที่นายเข้าไป อย่าเรียกฉันว่าท่าน ทำให้ฉันดูเหมือนคนร้าย ยิ่งดูเหมือนมากเท่าไหร่ยิ่งดี”

 

หยางเทียนอึ้งขณะมองหน้าซางจิ่วตี้ที่ดูเหมือนกำลังเร่งรีบอยู่ ความคิดในหัวของหยางเทียนเริ่มตีวนเวียนกันไปหมด แม้แต่ซางจิวตี้เทพธิดาของจีนก็ยังถูกยาพิษ เธออยู่กับชูฮันมานานขนาดนั้นเลยเหรอ? สามารถกลายเป็นคนที่ร้ายขนาดนี้ได้?

 

ภายในห้องประชุม…มีนายทหารที่อยู่ในชุดเครื่องแบบพิถีพิถัน รองเท้าบู้ทได้รับการขัดเงาเลื่อม ส่วนยศตราพลตรีบนหน้าอกก็ส่องประกายเงาวับ ในตอนนั้น เขากำลังถือถ้วยชาอยู่ขณะที่สายตาก็แสดงออกถึงความรังเกียจ

 

มันเป็นสถานที่ที่ไม่น่ารื่นรมย์ ไม่มีแม้แต่ถ้วยชาดีๆ แถมยังปล่อยให้เขารอตั้งนาน การบริการของค่ายนี้ได้เปิดวิสัยทัศน์ของเขาจริงๆ

 

พลตรีสิงโตนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม แม้มันจะเป็นเรื่องปกติทว่าอารมณ์ร้ายกาจที่แสดงออกมาได้รบกวนสายตาที่อยู่ด้านหลังเลนส์ที่กำลังมองมาราวกับกำลังประเมิณมูลค่าของสินค้าและวิธีที่จะเพิ่มมูลค่าของสินค้าให้ได้มากที่สุด

 

“คนจากสถาบัน?” อย่างไรก็ตาม พลตรีที่ดูขี้หงุดหงิดก็เป็นคนแรกที่เอ่ยปากพูดก่อน

 

หลงหยวนเจียมองไปที่พลตรีสิงโต หากไม่ได้ตอบอะไรไป เขาเพียงแค่พยักหน้า

 

เมื่อมองไปที่ท่าทางของหลงหยวนเจียที่ดูไม่สนใจอะไรเขาเลย พลตรีสิงโตก็แสยะยิ้มออกมา “ใครเป็นคนจัดตั้งสถานบันของนายขึ้นมา? นายได้รับอนุญาตจากซางจิงหรือเปล่า? แล้วสำนักงานงานใหญ่ของสถาบันอยู่ที่ไหน? ใครเป็นคณบดี?”

 

ชุดคำถามถูกร่ายถามออกมาอย่างไม่มีพิธีรีตอง

 

หลังจากหลงหยวนเจียทำเพียงแค่เหลือบตามอง ท่านพลตรีก็เดือดจัด ผู้ชายคนนี้กล้าเมินใส่เขาต่อหน้าต่อตา เขาจะทำให้ไอ้สถานบันวิจัยของมันหายวับไปในพริบตาเลย!

 

“จะไม่พูด?” อารมณ์ของพลตรีขี้โมโหยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พลังผันผวนของวิวัฒนาการระยะ 3 จู่ๆก็แพร่กระจายออกมา เขารอซางจิ่วตี้มานานจนจะทนไม่ไหวแล้ว

 

และในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาจากตรงทางเข้า เป็นซางจิ่วตี้ที่เดินมาพร้อมกับหยางเทียน ส่วนเจียงฮงหยูนั่นรออยู่ด้านนอกประตู

 

เมื่อเห็นมีคนเข้ามา พลตรีสิงโตผู้คลั่งก็กลับไปวางตัวนิ่งเหมือนเดิม สายตาก็เป็นประกายขณะมองไปที่ซางจิ่วตี้…ช่างเหมาะสมกับชื่อเสียงที่โด่งดังเหลือเกิน ทำไมผู้หญิงที่สวยขนาดนี้ถึงได้มาอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมแบบนี้?

 

ซางจิ่วตี้แสยะยิ้มอยู่ในอก เธอเดินไปที่กลางห้องและนั่งลง ส่วนหยางเทียนก็เดินตามมายืนประกบข้างหลังเธอ

 

“ก่อนอื่น ฉันขอแนะนำตัวก่อน ฉันชื่อซางจิ่วตี้” ซางจิ่วตี้เผยรอยยิ้มที่มีเสน่ห์และอ่อนโยนบนหน้า “พวกคุณต้องการอะไรที่นี่?”

 

ทันทีที่ซางจิ่วตี้พูดออกไป สายตาของพลตรีสิงโตขี้โมโหก็เปล่งประกายความโลภออกมาทันที ผู้หญิงที่แสนอ่อนโยนคนนี้กลายเป็นผู้นำของค่ายนี้ หึ! ชูฮันก็ไม่ใช่ว่าจะสมบูรณ์ขนาดนั้นนี่นา  แม้แต่หาผู้นำที่เหมาะสมดีๆสักคนมาดูแลค่ายยังไม่ได้ ไม่แปลกใจที่ค่ายนี้จะไม่ต่างอะไรกับเขตลี้ภัย!

 

หลงหยวนเจียไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร จุดประสงค์ของเขาคือต้องการพูดกับคนที่ค่ายเพียงลำพัง และจะดีที่สุดถ้าได้เจอชูฮันด้วยตัวเขาเอง

 

เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนต่างกำลังรอใครสักคนเอ่ยปากก่อน พลตรีขี้โมโหที่ทนไม่ไหวก็เปิดก่อน น้ำเสียงของเขาแสดงถึงความดูถูกที่มีต่อซางจิ่วตี้ “ฉันเพิ่งเข้ามาและได้เห็นพลตรีหญิงที่โด่งดังและอายุน้อยที่สุดในจีน ช่างมีสีสันดีเหลือเกิน”

 

“แค่นั้น?” จู่ๆอารมณ์ขอซางจิ่วตี้ก็เปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน สายตาของเธอเต็มไปด้วยความเย็นยะเยือก “ถ้าคุณพอใจแล้ว ก็เชิญเดินไปทางซ้าย เดินช้าๆไม่ต้องรีบ ต่อไป!”

 

“เธอ!” พลตรีขี้โมโหไม่พอใจอย่างมากกับท่าทางของซางจิ่วตี้ เขาผุดขึ้นยืนด้วยความโกรธสุดขีด “ซางจิ่วตี้! เธอต่อต้านคำสั่งของกองทัพเพื่อมาอันลูด้วยตัวเองและยังเมินเฉยการเรียกตัวกลับของซางจิงอีกหลายต่อหลายครั้ง รู้ตัวรึเปล่าว่าเธอถูกปลดแล้ว?!”

 

ถูกปลดแล้ว? ไม่ใช่อย่างแน่นอน มันก็แค่วิธีที่พลตรีขี้โมโหนี่พยายามจะขู่ให้เธอกลัว การจัดการกับผู้หญิงที่ไม่กลัวอะไรเลยทำให้อีกฝ่ายรู้สึกหวาดกลัวมากพอจะทำเรื่องแบบนี้

 

แต่ที่เหนือความคาดหมายของทุกคนก็คือ จู่ๆซางจิ่วตี้ก็หันหน้ากลับไปจ้องหน้าพลตรีขี้โมโห จากนั้นจู่ๆเธอก็ยกมือขึ้นด้วยสายตาแปลกๆ

 

พ้ะ!

ทันใดนั้นมันก็มีบางอย่างเย็นๆกระแทกลงบนหน้าของพลตรีขี้โมโห!

 

“นั่นคือตรา” เสียงนิ่งเรียบของซางจิ่วตี้ดังขึ้น

 

การกระแทกที่เกิดขึ้นบนหน้าอย่างกระทันหัน ทำให้พลตรีสิงโตมองไปที่ซางจิ่วตี้ด้วยสายตาตะลึงและนิ่งค้าง จากนั้นก็มองไปที่ตราที่ตกลงไปบนโต๊ะ “เธอ? เธอ?”

 

“คุณแค่มาเพื่อจะบอกว่าฉันโดนปลดใช่มั้ย?” รอยยิ้มของซางจิ่วตี้ลึก หยางเทียนสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกที่แผ่เข้าสู่หัวใจเขา หยางเทียนรู้สึกหนาวในใจเขารู้สึกคุ้นเคยกับรอยยิ้มนี่ ทุกครั้งที่หัวหน้าชูฮันต้องการจะจัดการใคร เขาก็มักจะยิ้มแบบนี้เหมือนกัน

 

“เปล่า ไม่ใช่” พลตรีขี้โมโหยังไม่ได้สติกับสถานการณ์ที่พลิกผันไปมาอย่างกระทันหัน สมองของเขาหยุดทำการไปชั่วครู่ ตำแหน่งของซางจิ่วตี้กับเขานั่นเท่ากัน ถ้าพวกตำแหน่งสูงๆทั้งหลายในซางจิงรู้ว่าเขาพูดจาบังคับให้ซางจิ่วตี้ถอนยศออกมาละก็ เขาต้องตายแน่ๆ สาเหตุที่เขามาที่นี้ไม่ใช่เพื่อมาฉีกหน้าของอีกฝ่าย!

 

ความตื่นตระหนกพุ่งพล่านออกจากอกของพลตรีสิงโต เขายังคงคิดอะไรออกไม่ได้มาก จึงได้แต่พูด “ฉันมาเพื่อบอกว่าการแต่งตั้งของชูฮันในฐานะพลเอกได้รับคำสั่งให้กลายเป็นเรื่องเร่งด่วนสุด และนำของต่างๆที่จำเป็นมาชุดใหญ่ให้นายพลชูฮันด้วย ผมหวังว่าชูฮันจะปฏิบัติตามระเบียบการ—–“

 

พลตรีขี้โมโหก็ยังร่ายยาวต่อไปอีกถึงสนธิสัญญาที่ไม่มีความยุติธรรมต่างๆ ในขณะเดียวกันมันก็บ่งบอกได้ว่าทางซางจิงต้องการให้ทั้งคู่อยู่ที่นี้เพื่อคอยจัดการเรื่องต่างๆ เนื่องจากชูฮันต้องการจะพัฒนาค่ายและทางซางจิงก็ต้องการที่จะยังมีอำนาจควบคุมอยู่ เพราะฉะนั้นไม่ว่าทางค่ายจะพัฒนาอะไรก็ตาม ซางจิงจะไม่ยอมให้ชูฮันเป็นคนเดียวที่เป็นใจกลางควบคุมทุกอย่างเอาไว้

 

รอยยิ้มของซางจิ่วตี้กว้างขึ้นเรื่อยๆ คำพูดของพลตรีขี้โมโหทำให้ทุกคนประหลาดใจกันหมด “ชูฮันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับค่ายแห่งนี้ ทำไมเขาจะต้องมาเกี่ยวข้องกับฉัย? วางของพวกนี้ไว้แล้วคุณก็เชิญกลับไปได้”

 

“อะไร อะไรน่ะ?!” พลตรีขี้โมโหไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน

 

“ไม่เข้าใจตรงไหน?” ซางจิ่วตี้เอียงคอถามพร้อมกับจ้องเขม็งไปที่ตาของพลตรีสิงโต “ฉันถูกปลดแล้ว ถ้าเช่นนั้นฉันก็ไม่ใช่คนของค่ายซางจิงแล้ว แต่เป็นโจรอยู่ที่นี้ และคุณจะไม่มีทางหาชูฮันเจอ” พลตรีขี้โมโหอ้าปากเหวอ “ส่วนของที่คุณนำมาโดนฉันปล้นแล้ว ง่ายๆแบบนี้ เข้าใจมั้ย?”

Apocalypse Meltdown

Apocalypse Meltdown

มันเป็นโลกที่ซอมบี้และมนุษย์อาศัยอยู่ด้วยความสิ้นหวัง สนามแม่เหล็กของโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงและทุกอย่างได้ย้อนกลับมายังจุดเริ่มต้น วันหนึ่ง วีรบุรุษของพวกเรา…ชูฮัน ได้เดินทางย้อนเวลากลับมาสิบปีก่อนโดยไม่รู้ตัว เขาได้ย้อนกลับมาก่อนจุดจบของโลกจะเริ่มต้นขึ้น (โลกาวินาศ) เขาถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยเสียงดังในหอพักในมหาวิทยาลัยหมิงชิว ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาได้กลับชาติมาเกิดใหม่ ชูฮันต่อสู้กับเหล่าซอมบี้นับสิบๆตัวก่อนจะมุ่งหน้าไปที่ลานจอดรถเพื่อขโมยรถยนต์เมอร์ซิเดซ-เบนซ์G55ออกมา เขาตัดสินใจที่จะตามหาพ่อแม่และพี่น้องของเขาด้วยG55คันนี้ ซึ่งนี้เป็นสิ่งที่เขาเสียใจที่ไม่ได้ทำในชาติที่แล้ว ระหว่างทางชูฮันได้พบปะกับคนกลุ่มหนึ่งที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นมีคนที่ติดอันดับ 20 ของโลกาวินาศรวมอยู่ด้วย…เฉินช่าวเย่ พวกเขาพบกับซอมบี้จำนวนมากระหว่างทางบนทางหลวง ซึ่งชูฮันได้ใช้รถ G55 พุ่งชนเหล่าซอมบี้จนเละ และในตอนนั้นเอง ชูฮันถึงตระหนักได้ว่าทั้งหมดนี้คือระบบล่มสลาย และเขาสามารถได้คะแนนจากการฆ่าซอมบี้ทั้งหลาย ซึ่งเขาสามารถเอาคะแนนพวกนี้ไปแลกเปลี่ยนเป็นความสามารถพิเศษอะไรก็ได้ และในตอนนั้นเอง การเดินทางของชูฮันก็ได้เริ่มต้นขึ้นไปพร้อมๆกับระบบล่มสลาย นี่เป็นเรื่องราวของระบบล่มสลาย โดยมีเขา…ชูฮัน เป็นคนดำเนินเรื่องราว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset