“เกิดอะไรขึ้นครับท่าน?” กูเหลียงเฉินที่ถูกเรียกตัวมาหลังจากเข้านอนไปได้แล้วหนึ่งชั่วโมง ตอนนี้ตาของเขาเบิกกว้างโตเท่าไข่ห่าน เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้านนอกที่ยังไม่มีแสงสว่างใดๆ
ชูฮันเดินกลับไปกลับมาทั่วบ้านได้หลายรอบแล้ว เมื่อเขาเห็นกูเหลียงเฉินเขาทำเพียงชี้ไปที่โต๊ะ “ดูเอาเอง”
กูเหลียงเฉินกระพริบตาปริบๆ เขายกมือขึ้นมาขยี้ตาตัวเองอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา “มันเกิดอะไรขึ้นครับ? ซางจิงส่งหนึ่งในคณะเสนาธิการมาที่ค่ายเจียนอี๋ มันต้องมีอะไรแน่ๆ?”
กูเหลียงเฉินคิดไม่ตก ทำไมชูฮันถึงถามเขา เพราะมันมีคนมากมายที่ติดตามชูฮัน แม้ว่าตัวเขาจะเป็นหนึ่งในคณะเจ้าหน้าที่ระดับสูงของชูฮันแต่มีคนมากมายที่ไว้ใจได้รวมถึงซางจิ่วตี้ ตั้งแต่แรกชูฮันเป็นทั้งผู้นำและผู้บัญชาการรบของค่ายเขี้ยวหมาป่า แผนการทุกอย่าง ทุกกลยุทธ์มาจากชูฮันคนเดียว
ชูฮันหยุดฝีเท้าที่เดินย่ำไปมาทันที แสยะยิ้มออกมา “ค่ายเขี้ยวหมาป่าไม่มีเพราะพวกเขาไม่กล้าส่งคนมาที่นี้ และถึงต่อให้คนพวกนั้นจะกล้ามาฉันก็ไม่ปล่อยให้คนของมันมาอยู่ที่นี้ถาวรแน่”
ตัวของกูเหลียงเฉินสั่นเทิ้ม ตะลึงกับคำพูดที่แสนน่ากลัวของชูฮัน “แล้วซางจิงส่งเจ้าหน้าที่ไปหาหลูอี๋ มันมีผลอย่างไรกับเรา?”
มันมีแสงเย็นวาบวิ่งผ่านนัยน์ตาของชูฮันไป “หลูอี๋พึ่งจะส่งเจ้าหน้าที่ในคณะเสนาธิการคนสุดท้ายกลับไปเมื่อสองสามวันก่อน และมันก็ผ่านมาแค่สองสามผ่านซางจิงก็ส่งอีกคนมา เจ้าหน้าพวกนี้ปากพูดว่ามันเป็นเรื่องดีที่ทำการช่วยเหลือกันระหว่างค่าย แต่ที่จริงแล้วผู้นำของพวกเขามีความคิดที่จะยึดอำนาจต่างหาก”
กูเหลียงเฉินคิดตามคำพูดของชูฮัน “ดังนั้น ตอนนี้ค่ายเจียนอี๋ก็รอแผนการอยู่งั้นเหรอครับ? ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหลูอี๋ถึงไม่เคลื่อนไหวอะไรเลยตลอดสองสามวันที่ผ่านมา ถึงโครงสร้างการจัดการภายในของค่ายเจียนอี๋จะพังเละหมดแล้วเมื่อตอนเกิดจลาจล แต่ซางจิงกลับส่งคนเข้ามาเพื่อควบคุมสถานการณ์ทุกอย่าง เพราะอย่างนั้นมันจึงไม่ได้เป็นไปตามที่เราวางแผนไว้เท่าไหร่”
“ซางจิงไม่ใช่ฝ่ายที่มีตัดสินใจอำนาจท้ายสุดฝ่ายเดียว มันมีกองกำลังภายในที่ค้านอำนาจกันมากมาย โดยเฉพาะกองกำลังที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืด” คิ้วของชูฮันเลิกขึ้น “เราไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่คนใหม่ที่ถูกส่งมาจากอำนาจฝ่ายไหนเพื่อช่วยหลูอี๋ แต่ความจริงก็คือพวกมันต้องการควบคุมค่ายเขี้ยวหมาป่าของเราผ่านทางค่ายเจียนอี๋”
กูเหลียงเฉินประหลาดใจกับสิ่งที่ได้ยิน “ท่านหมายถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของพวกเขาคือเราเหรอครับ?”
“ถ้าไม่ใช่?” ชูฮันแสยะยิ้ม “หลูอี๋เข้าใจตำแหน่งของตัวดีอยู่แล้ว แต่อีกฝ่ายก็ยังส่งคนมาเพื่อจัดการค่ายของหลูอี๋ ค่ายเจียนอี๋มันไม่มีค่าอะไรเลยด้วยซ้ำ ชื่อเสียงก็ไม่ได้ดี พื้นที่โดยรอบก็ไม่มีการพัฒนาเลยสักนิด พวกเขาไม่มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาหรือเติบโต ค่ายเจียนอี๋มีหน้าที่แค่ขวางทางค่ายเขี้ยวหมาป่าไม่ให้ก้าวหน้า?”
“นั่นอาจเป็นปัญหาได้” กูเหลียงเฉินขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะคิดถึงมาตรการรับมือในหัวไปด้วย “พลังในที่มืดในซางจิงต้องพยายามทำบางอย่างกับเราแน่ๆ ผู้บัญชาการมู๋และเหลาหมิงก็คงไม่สามารถลงมือจัดการอะไรได้ เราต้องจัดการปัญหานี้ด้วยตัวเราเอง แถมหลูอี๋ก็ยังมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับหัวหน้าอีก ไม่แน่เขาอาจจะทำข้อตกลงกับพวกคนที่ต้องการต่อต้านค่ายเขี้ยวหมาป่าและท่านก็ได้นะครับ!”
ชูฮันเองก็กังวล เขาคาดการณ์ทุกอย่างไว้ก็จริงแต่ไม่คิดว่ามันจะมีเรื่องแบบนี้ ใครกันที่คอยบงการอยู่ในความมืด ใครที่จัดการทุกอย่างได้ขนาดนี้?
ในขณะที่ชูฮันกำลังใช้ความคิดอยู่ จู่ๆสายตาของชูฮันก็จ้องมาที่กูเหลียงเฉินทันทีที่ได้ยินคำพูดของกูเหลียงเฉิน “นายพูดว่าอะไรน่ะ? หลูอี๋และฉันมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดี?”
กูเหลียงเฉินไม่เข้าใจชูฮัน เขาขยี้ตาอย่างมึนงง “ครับ ก็ท่านเอาตัวรักแรกของหลูอี๋มา และยังวางกับดักหลอกเขาถึงสามครั้ง เขาต้องแค้นท่านอยู่แล้วครับ?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” โดยไม่คาดคิด จู่ๆชูฮันก็หัวเราะลั่นออกมา โบกมือตรงหน้ากูเหลียงเฉิน “เร็ว เรียกซูเฟิงมา”
ครั้งนี้หน้าของกูเหลียงเฉินเต็มไปด้วยคำถาม ยิ่งได้เห็นชูฮันหัวเราะใหญ่แบบนี้ แถมยังให้เรียกซูเฟิงมาทันทีอีก? หรือหัวหน้ามีแผนจะอัดหลูอี๋?
ซูเฟิงมีท่าทีซะลึมซะลือเมื่อตอนที่ถูกกูเหลียงเฉินส่งเสียงเรียกอยู่หน้าห้อง ฟ้ายังไม่ทันสว่างเลยด้วยซ้ำ และในขณะที่กูเหลียงเฉินกำลังจะเคาะประตู ซูเฟิงก็เปิดประตูออกมาหยุดกูเหลียงเฉินซะก่อน “นี่มันตีสามเองนะ หัวหน้ามีเรื่องอะไร?”
“ฉันไม่รู้ ฉันเองก็ถูกปลุกตอนกำลังนอนเหมือนกัน” กูเหลียงเฉินอ้าปากหาวอย่างง่วงนอนและโบกมือ “ฉันรู้แค่ว่ามันมีปัญหา หัวหน้าต้องการไอเดียด่วน นายเข้าไปสิ ฉันจะกลับไปนอนต่อ”
ในขณะที่กูเหลียงเฉินกำลังจะเดินจากไป เสียงของชูฮันภายในห้องก็ดังลอดผ่านออมา “ซูเฟิงเข้ามา กูเหลียงเฉินไปเรียกหลูเหวินเฉิงมา!”
กูเหลียงเฉินสำลักทันที จะบ้าตาย นี่เขาเป็นเด็กรับใช้เหรอไง? ให้ตาย เขาอยากจะกลับไปนอนแล้ว!
ซูเฟิงเปิดประตูและเห็นชูฮันนั่งอยู่ภายในห้อง แววตาของชูฮันมีความตื่นเต้นปรากฏชัด
ห้านาทีต่อมา…ซูเฟิงก็เดินออกมาจากห้อง ยังไม่ทันที่จะเขาย่อยข้อมูลในหัวที่พึ่งได้รับมาจากชูฮัน เขาก็บังเอิญสวนกับหลูเหวินเฉิงที่เดินมาคนเดียวพอดี
“มีอะไรกัน? เรียกฉันมาเวลานี้? เกิดอะไรขึ้น? ไอ้ภูเขาน้ำแข็งนั่นไม่อะไรฉันเลย แค่เรียกฉันมานี่ ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดใช่มั้ย?” หลูเหวินเฉิงกำลังตื่นตระหนกใหญ่ หันซ้ายหันขวา สำรวจเสื้อผ้าตัวเอง ผมเผ้ายุ่งเหยิงราวกับรังนก หากสายตากลับจ้องซูเฟิงเขม็งอย่างต้องการคำตอบ
ห้านาทีต่อมา…หลูเหิวนเฉิงที่เหมือนกับพึ่งถูกตบที่มาหน้ามา เขาเดินออกมาจากห้องอย่างเลื่อนลอย พยายามทำความเข้าใขข้อมูลขนาดใหญ่ที่ถูกชูฮันอัดเข้ามาขณะกำลังเดินไปที่แผนกการต่างประเทศ
“หัวหน้า! ในที่สุดหัวหน้าก็จำผมได้!” หยวนหมินแห่งแผนกการต่างประเทศที่ผมเผ้ายุ่งเหยิง และทันทีที่หยวนหมินมาถึง เขาก็เปิดประตูออกอย่างตื่นเต้นจัดที่ถูกชูฮันเรียกตัว
“นั่งสิ” ชูฮันไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ เขาส่งเอกสารบางอย่างให้หยวนหมิน “จำข้อความในนี้เอาไว้ จากนั้นก็กลับไปแล้วย่อยข้อมูลและเริ่มปฏิบัติการทันที นายจำได้ทั้งหมดเมื่อไหร่ค่อยออกไป แล้วไปเรียกหลิวยู่ติงจากแผนกกฏระเบียบมา”
หยวนหมินตะลึงค้าง ก้มลงมองเอกสารในมือ ซึ่งมีข้อมูลอัดแน่นถึงสามแผ่น!
จากนั้นหยวนหมินก็เงยหน้าขึ้นมองชูฮันหากชูฮันกลับไม่คิดจะเงยหน้าขึ้นมามองหยวนหมินเลยด้วยซ้ำ หยวนหมินจึงต้องก้มหน้าลงไปอ่านเอกสารในมือและพยายามจำให้ได้ ท่ามกลางความกลัวและตกใจกับข้อมูลที่อ่านอยู่ ทุกอย่างถูกเขียนด้วยมือของชูฮันเองทั้งหมด
คืนนั้นทั้งคืน เหล่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงของค่ายเขี้ยวหมาป่าถูกเรียกมาทีละคนๆจดหมาย ไม่ว่าจะเป็นกูเหลียงเฉิน หลิวยู่ติง หลูเหวินเฉิง และอีกมากมาย และยังมีคนสำคัญเด่นๆจากแผนกต่างๆทั้งเจียงโจว ซูชิง หลูฮงเชิง…
วันถัดมาเป็นวันแห่งความวุ่นวาย ทหารและเจ้าหน้าที่ทั้งค่ายเขี้ยวหมาป่าตะลึงกับภาพตรงหน้า พวกเขาไม่อยากจะเชื่อ