ในตอนที่หลูอี๋ถูกคนของชูฮันจับตัวมานั้น ตัวชูฮันเองก็เดินทางออกไปจากเมืองอันลูไกลแล้ว พร้อมกับราชานักล่าอย่างฟานเจี้ยน สมาชิกทีมกุ้งเสือดำ 50 คนและหลูปิงเซ่อกัปตันทีมความลับของพระเจ้า
สำหรบการตัดสินใจนี้ ทุกคนที่ต้องตามชูฮันมาไม่ว่าจะฟานเจี้ยน เสี่ยวเคิน หรือหลูปิงเซ่อที่มาจากทีมความลับของพระเจ้าคนเดียว ทุกคนต่างสับสนและไม่เข้าใจการตัดสินใจของชูฮัน
แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขารู้คือ การได้ติดตามชูฮันนั้นคือที่สุด
“หัวหน้า หัวหน้าจะไปไหนครับ?” หลูปิงเซ่อที่เหมือนกับหมาป่าเดียวดายโดดเดี่ยวที่ถูกแยกออกจากฝูงตัวเอง เขากระโดดเด้งดึ่งไปมาด้วยความตื่นเต้นตลอดทาง แน่นอนว่าหัวหน้าต้องมอบหมายภารกิจให้พวกเขาทำแน่ๆ แต่หัวหน้ากลับพาแค่เขาที่เป็นกัปตันทีมความลับของพระเจ้ามาคนเดียว แน่นอนว่าต้องมีงานให้เขาทำแน่นอน!
“เล่น เล่น! เอาแต่สนุก!” ฟานเจี้ยนที่ทนไม่ไหว ตะคอกใส่หลูปิงเซ่ออย่างรำคาญ “เลิกทำตัวเหมือนลิงสักที วิ่งไปมาอยู่ได้ทั้งวัน? เมื่อไหร่จะหยุด!”
หลูปิงเซ่อเชิดคางขึ้น กรอกตาใส่ “อย่าคิดว่านายเป็นวิวัฒนาการระยะ 6 แล้วจะมาทำเบ่งใครก็ได้นะ กระเป๋าของตัวเองยังไม่แบก!”
ฟานเจี้ยนแสยะยิ้ม หัวไปดูข้างหลังและเห็นฝูงกวางที่แบกของบนหลังให้ขบวนเดินทาง เช่นเดียวกับหลูปิงเซ่อที่แบกกระเป๋าของตัวเองเพราะไม่อยากรบกวนเพื่อนสัตว์ของเขา
และเช่นเดิมที่ชูฮันไม่เคยมีกระเป๋าเป้ใดๆเพราะเขาเก็บทุกอย่างในประตูมิติ ชูฮันจึงไม่พูดอะไรทั้งนั้น รีบมุ่งหน้าเดินอย่างเดียว
“เราจะไปไหน?” หลูปิงเซ่อเป็นคนสมาธิสั้นที่ไม่สามารถอยู่เฉยๆได้ เงียบได้ครู่เดียวเขาก็เริ่มเปลี่ยนหัวข้อพูดใหม่อีกครั้ง
“ไปทางทิศใต้” ฟานเจี้ยนเองก็รำคาญจนต้องตอบ
“ทางใต้?” หลูปิงเซ่อเดินไปพร้อมพูดไปด้วย “แต่วัวที่เดินผ่านไปบอกว่านี่ไม่ใช่เส้นทางไปหนานตู้!”
ทันทีที่หลูปิงเซ่อพูดออกไป เท้าของทุกคนที่กำลังเดินก็หยุดชะงักทันที ความสามารถในการสื่อสารกับสัตว์ของหลูปิงเซ่อนั้นเป็นที่ทราบกันดีและมันก็แท้จริง และหลูปิงเซ่อก็ชื่นชมและภักดีต่อชูฮันมาก เขาไม่มีทางโกหก แต่ตอนนี้เส้นทางนี้มันผิด หลูปิงเซ่อจึงจำเป็นต้องพูด
“หัวหน้า เรามาผิดทางนะครับ” เสี่ยวเคินเดินเข้าไปหาชูฮัน สีหน้ามีความกังวล
ชูฮันยกยิ้มมุมปาก “เดินรอบๆก่อน แล้วค่อยลงใต้”
“ครับ” เสี่ยวเคินตอบ เขาเข้าใจได้ในทันที พวกเขาไม่ได้มาผิดทาง แต่มันเป็นความตั้งใจของหัวหน้าชูฮันดังนั้นมันจึงไม่มีปัญหาอะไร
และในจังหวะนั้นเอง ชูฮันรู้สึกอ่อนแอ มันมีความรู้สึกของการไร้การควบคุมเกิดขึ้นในใจเขา แน่นอนว่าเขาไม่ได้มุ่งหน้าตรงไปที่หนานตู้ กลับกันเขามุ่งหน้าไปตามหาเสาหินสำหรับการประเมิณระยะ 4 ที่มีการประเมิณโดยรวมของโลกคู่ขนาน
เขาต้องหาชิ้นส่วนระบบล่มสลายชิ้นที่ 4 ให้ได้ เขาจะได้ไม่ต้องทนอยู่ในวิวัฒนาการระยะ 4 อีกต่อไป…
“ชูฮัน เสาหินนั้นมันเคลื่อนที่อีกครั้งแล้ว!” หวังไคจู่ๆก็พูดโพล่งขึ้นมาด้วยความกังวล “ซ้าย เลี้ยวซ้ายตรงนี้ ขวาแล้ว มันเคลื่อนไหวเร็วเกินไป ข้างหลัง!”
ชูฮัน “…”
ตอนนี้เขาอยากจะสบถด่าหวังไค
—————
ในขณะเดียวกันที่ค่ายซางจิง เหอเฟิงเข้าไปในห้องทำงานของผู้บัญชาการมู๋เงียบๆ “ตรวจสอบเรียบร้อยแล้วครับ การจัดอันดับการต่อสู้นั้นยังคงเป็นความลับ ก่อนหน้านี้เรายังไม่สามารถไขความลับได้ แต่ตอนนี้มันมีราชานักล่าเพิ่มขึ้นเข้ามาทั้งชื่อและตัวเลขหลังชื่อที่ปรากฏขึ้น มันเป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ตอนนี้เรารู้ว่า 10-1 เราคาดเดาว่ามันน่าจะเป็นระยะของการพัฒนาการ ราชานักล่าสามารถทำการทดสอบสำเร็จได้ดังนั้นข้อมูลของเขาจึงมีการเปิดเผยมากกว่าคนอื่น ส่วน K-0 นั้นเรายังหาคำตอบไม่ได้ครับ”
หลังจากที่ได้ฟัง เลาหมิงก็ตั้งข้อสงสัย “ราชานักล่า มันคือชื่อจริงงั้นเหรอ?”
“ครับ!” เหอเฟิงพยักหน้ารับ “นี่คือจุดที่สองที่ผมอยากจะพูดครับ นี้เป็นอันดับรายชื่อของการประเมิณโดยรวมทั้งหมด เวลาที่เราเข้าไปในเสาหิน เราสามารถใช้นามแฝงเพื่อปิงบังชื่อจริงได้ครับ การตั้งค่านั้นมันน่าเหลือเชื่อ”
“มีคนลองแล้ว?” ผู้บัญชาการมู๋ถามอย่างจริงจัง
“ช่าวหลี่วิวัฒนาการระยะ 5 ที่ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นใหม่ ผมดูเขาเดินเข้าไปทำการทดสอบในเสาหินเอง หลังจากเขาออกมามันไม่มีชื่อของช่าวหลี่ปรากฏบนอันดับ แต่มีชื่อใหม่เกิดขึ้น ซึ่งมันไม่มีทางเป็นชื่อจริงอย่างเห็นได้ชัด แต่ช่าวหลี่ไม่มีทางเลือกนอกจากยอมรับกับเราตรงๆว่าเขาจะไปจากซางจิง”
“ฉันจำได้ว่ามีผู้ชายคนหนึ่งชื่อจางตง เขาไม่ใช่พึ่งจะยกระดับขึ้นมาเป็นวิวัฒนาการระยะ 5 ไม่ใช่หรือไง? ชื่อของเขาก็อยู่บนอันดับรายชื่อของวิวัฒนาการะยะ 5 เหมือนกัน” จู่ๆเลาหมิงพูดขึ้น “ให้เขาลองดู แล้วรอให้เขาออกมาสิ”
เหอเฟิงยิ้มอย่างมีนัยนะบางอย่าง “ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันครับ ผมกำลังจะเอ่ยขออำนาจสั่งการจากท่านผู้บัญชาการมู๋อยู่พอดีครับ”
“อำนาจ?” ผู้บัญชาการมู๋หรี่ตาลง “นายหมายความว่าอะไร?”
“จางตงเป็นวิวัฒนาการระยะ 5 และเขาก็ได้ไปจากค่ายซางจิงแล้วครับ แต่ทีมลาดตระเวนของเราพบร่องรอยของเขา” เหอเฟิงหัวเราะหึและพูดต่อ “ค่ายซางจิงมีเงื่อนไขสำหรับการดูแลนักสู้สิบอันดับแรกของทุกรายชื่อด้วยสิทธิพิเศษ แต่จางตงต้องการไปที่ค่ายเขี้ยวหมาป่า ดังนั้นคำร้องของผมก็คือการใช้มาตรการที่รุนแรงขึ้นหน่อยเพื่อทำการจับกุมเขากลับมาที่ซางจิงครับ”
ทั้งผู้บัญชาการมู๋และเลาหมิงตะลึงค้าง หลังจากผ่านไปสักพัก เลาหมิงก็พูดขึ้น “เหอเฟิง นายเคยเป็นชายหนุ่มที่ใสซื่อไร้เดียงสา นายไปเรียนรู้การคิดแบบนี้มาจากใคร?”
เหอเฟิงตอบคำถามอย่างไม่สนใจ “จากเลาหมิงครับ ผมได้เรียนรู้อะไรมากมายจากท่านครับ”ฃ
ทันใดนั้นหน้าของเลาหมิงก็ขึ้นสีแดงอย่างอับอายกับความจริงที่ได้รับ เขาตัวแข็งค้างไปแล้ว…
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน” ผู้บัญชาการมู๋ยิ้มเยาะขณะมองไปที่รายชื่อทั้งหลายของเสาหิน
————
ในขณะที่ค่ายซางจิงกำลังอยู่ในช่วงสืบสวยเสาหินอย่างเต็มรูปแบบ มู๋เย๋ที่อยู่ไกลออกไปอย่างมากที่เมืองหยินของลูกผสมก็พึ่งจะได้รับข้อมูลสำคัญ
ยังคงเป็นห้องโถงหรูหราเช่นเดิม มู๋เย๋และเหย่จือโปนั่งอยู่คนละฝั่งบนโต๊ะอาหารยาวที่มีอาหารวางเรียงเต็มไปหมด
“คุณกำลังพูดเรื่องอะไร?” มู๋เย๋กำลังกินหัวใจมนุษย์ที่ถูกปรุงอย่างอาหารชั้นเลิศ เขาจ้องไปที่เหย่จือโปที่นั่งตรงข้ามด้วยสายตาดุดัน
เหย่จือโปพยายามจะฝืนความรู้สึกตัวเองไม่ให้ขย้อนอ้วกออกมา มองไปที่จานอาหารตรงหน้ามู๋เย๋และกลิ่นที่โชยมา เขาพูดขึ้น “ครับ รายชื่อของเสาหินเกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่แค่มนุษย์เท่านั้นแค่สิ่งมีชีวิตทุกขนิดสามารถเข้าร่วมการประเมิณได้หมด แต่ต้องจำเอาไว้ว่าเวลาที่เข้าไปจะต้องใช้นามแฝงแทนชื่อจริง ซึ่งมันก็คือหนึ่งในความลับเกี่ยวกับอันดับทั้งหมด”
มู๋เย๋กลืนหัวใจคำสุดท้ายลงคอไป “ฉันว่าแล้ว นี้คือข้อความทั้งหลายจากตระกูลลึกลับมาจาก แล้วฉันจะไปตรวจสอบคนทั่วไปได้ยังไง?”
มู๋เย๋นิ้มกว้าง เผยให้เห็นฟันที่แหลมคมเรียงยาวอย่างน่าเกลียด “ดีมาก ฉันพอใจกับข่าวนี้! พูดสิ่งที่คุณอยากจะถามมาสิ?”
มีความตื่นเต้นฉายผ่านนัยน์ตาของเหย่จือโป “ฆ่าชูฮันอีกครั้งครับ”