มันมีแววตาบางอย่างในนัยน์ตาของมู๋เย๋ “แผนการและกับดักในการลอบสังการชูฮันก่อนหน้านี้เป็นหน้าที่ของตระกูลลึกลับ ส่วนซอมบี้และลูกผสมในบริเวณนั้นทั้งหมดฉันก็จัดการส่งไปให้ แต่มันก็เปล่าประโยชน์ ขูฮันก็ยังไม่ตายและใช้ชีวิตดีอยู่”
เหย่จือโปเหงื่อแตก ไม่ค่อยเข้าใจความหมายที่มู๋เย๋กำลังสื่อ
มู๋เย๋หยิบผ้าเช็ดปากขึ้นมาแตะเบาๆที่ปากหลังจากทานเสร็จ น้ำเสียงดูสบายๆหากท่วงท่ากลับเต็มไปด้วยมารยาทชั้นสูง “ฉันอยากฆ่าชูฮัน แต่ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าคุณเป็นกังวลอยากจะให้เขาตายมากกว่าฉันซะอีก?”
เหย่จือโปเริ่มประหม่า เลียริมฝีปากด้วยความกังวลอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดขึ้น “ครับ ผมยอมรับ ผมจะพูดความจริงกับคุณ ตระกูลลึกลับต้องการให้ชูฮันตาย นี่คือภารกิจที่ผมต้องทำให้สำเร็จ ถ้าชูฮันไม่ตายผมนี่แหละที่จะต้องตาย”
มู๋เย๋เลิกคิ้ว นัยน์ตาวาววับ “ถ้างั้น จริงๆแล้วก็คือคุณที่เป็นคนมาหาฉันเพื่อขอความร่วมมือ?”
“ไม่ ไม่” เหย่จือโปส่ายหัวรัวๆ “นั่นเป็นคำสั่งของตระกูลลึกลับครับ แต่ชูฮันจะต้องตาย”
“อ๋อ!” แววตาไม่เชื่อของมู๋เย๋สบตากับเหย่จือโปอย่างชัดเจน “ตระกูลลึกลับนี่มันทรงอำนาจขนาดไหนกันนะ คิดว่ามันเป็นความคิดที่ดีแล้วเหรอที่จะลอบฆ่าวิวัฒนาการระยะ 4 ในพื้นที่ของเขา?”
เหย่จือโปเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “ผมไม่รู้เรื่องนี้ ดูเหมือนพวกเขาจะจำกัดข้อมูลกับผม ดังนั้นผมจึงจำเป็นต้องพึ่งคนอื่นเพื่อช่วยผมให้ทำงานสำเร็จ”
“อืม ขอบคุณสำหรับข่าวจากตระกูลลึกลับ การร่วมมือยังคงดำเนินต่อไป ส่วนสำหรับเรื่องของชูฮัน…” มู๋เย๋แสยะยิ้ม ตามมาด้วยรอยยิ้มลึกลับ “ฉันอยากจะฆ่ามากกว่าชูฮัน”
“อะไรน่ะ คุณหมายความว่ายังไง?” เหย่จือโปตกใจ
“กังวลอะไร? ฉันไม่ได้จะฆ่าตระกูลลึกลับซะหน่อย” มู๋เย๋ไม่ปิดบังเจตนาของตัวเองเลย เขาจ้องเหย่จือโปพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไม่ต้องคิดจะหานักล่าไปลอยสังหารชูฮัน คนพวกนั้นทำอะไรชูฮันไม่ได้หรอก อย่าโง่ไปหน่อยเลย”
ครั้งนี้เหย่จือโปช็อคค้าง เหงื่อแตกพลั่กด้วยความกลัว หน้าขาวซีด “คุณ คุณมีสายอยู่ในเมืองอันลู?”
มู๋เย๋เหลือบมองเหย่จือโป “เมืองอันลูมีค่ายย่อยมากมายรวมถึงกลุ่มผู้อพยพอีกมาก เป็นทรัพยากรชั้นดี ทำไมคุณถึงไม่รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน?”
เหย่จือโปหมดคำพูด สมองว่างเปล่าอย่างคิดอะไรไม่ออก เขาสูญเสียข้อได้เปรียบทุกอย่าง ไม่เพียงแค่ตระกูลลึกลับที่เริ่มมองว่าเขาไร้ประโยชน์ แต่ตอนนี้มู๋เย๋ยังรู้ทุกอย่างหมดอีก
———–
ขณะที่ทั่วทั้งจีนกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในที่ต่างๆมากมาย ทีมของชูฮันก็เริ่มเข้าไปใกล้เสาหินระยะ 4 ขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งเขารู้ว่าในเสาหินนี้มีโลกคู่ขนาน หัวใจของชูฮันก็ยิ่งสูบฉีดด้วยความตื่นเต้น
ตราบใดที่เขาได้ชิ้นส่วนระบบล่มสลายชิ้นที่ 4 มา แม่ของเขาจะไม่เป็นอะไรและเขาก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปว่าแม่จะไม่รอด ในที่สุดเขาก็จะได้มันมาแล้ว
“พวกกวางบอกผมว่าข้างหน้ามีกำแพงภูเขาสูงชันครับ” หลูปิงเซ่อเข้ามารายงานสถานการณ์ให้ชูฮันฟัง
ถนนข้างหน้ามีป่าลึกที่ล้อมรอบไปด้วยหน้าผาสูงชัน แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเสาหินสามารถเคลื่อนย้ายไปได้อย่างไร แต่ชัดเจนเลยว่ามันกำลังหนีเขาอยู่
ในขณะที่ชูฮันกำลังจะอ้าปากพูด ทันใดนั้นมันก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาจากป่าหนาทึบ ไม่นานก็มีกลุ่มคนปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าชูฮัน
อีกฝ่ายเองก็เป็นกลุ่มมนุษย์สายพันธุ์ใหม่เหมือนกันและท่าทางของอีกฝ่ายก็ดูไม่ธรรมดา เขาจะประมาทไม่ได้ อันดับแรกเสื้อผ้าอีกฝ่ายนั้นดีเกินกว่าชาวบ้านทั่วไปร้อยเท่า ข้อสองพวกเขามีอาวุธอย่างดีในมือทุกคน
เห็นได้ชัดว่า คนกลุ่มนี้น่าจะเป็นกลุ่มผู้รอดชีวิตที่อาศัยอยู่ในป่าและค่อนข้างเก่งกาจในการเอาตัวรอด พวกเขามีพลังพอสมควร อย่างน้อยก็น่าจะมีวิวัฒนาการระยะ 5 อยู่ในทีม
หลังจากการเผชิญหน้ากันและกัน ชูฮันยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เขากำลังวิเคราะห์อีกฝ่ายที่จู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้น กองกำลังนี้อยู่เหนือขอบเขตอำนาจของเขา เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นมิตรหรือเป็นศัตรูกันแน่
ชูฮันเงียบสนิทไม่เปิดปาก ไม่ว่าจะฟานเจี้ยน หรือหลูปิงเซ่อ หรือทีมกุ้งเสือดำ 50 คน ทุกคนเงียบกันหมด ในเมื่อหัวหน้าไม่พูด แน่นอนว่าพวกเขาก็ต้องปิดปากสนิท
ภาพตรงหน้าตกอยู่ในสายตาของกลุ่มที่ปรากฏตัวขึ้น พวกเขาเองก็ตกใจมากเช่นกัน พวกเขาไม่คิดว่าจู่ๆจะต้องมาปะหน้ากับอีกกลุ่มหนึ่งกลางป่าแบบนี้ หลังจากความเงียบระยะหนึ่ง พวกเขาก็เริ่มสังเกตเห็นชูฮันที่โดดเด่นกว่าใครตรงกลางฝูงชน
มันไม่ใช่เพราะเสื้อผ้าที่แตกต่างจากคนอื่น ที่จริงแล้วทุกคนแต่งตัวด้วยชุดปกติเพื่อสะดวกต่อการเคลื่อนไหว
สาเหตุที่ทุกคนในกลุ่มสังเกจเห็นถึงชูฮันเป็นเพราะจิตใต้สำนึกที่รับรู้ได้ว่าคนคนนี้คือหัวหน้าของทุกคน โดยเฉพาะสมาชิกของทีมกุ้งเสือดำที่เอาแต่เหลือบตามองไปที่ชูฮันตลอดเวลา
ดังนั้นหลังจากพักใหญ่ คนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าของอีกฝ่ายก็ตัดสินใจทำลายความเงียบขึ้นก่อน เขาพูดขึ้นด้วยท่าทีภาคภูมิและหยิ่งยโสย “ฉันชื่อเสี่ยวเย่ พวกคุณคือใคร?”
อีกฝ่ายค่อนข้างหยาบคาย ด้วยความรู้สึกภาคภูมิอย่างมั่นใจเต็มที่ ยิ่งจู่ๆก็พูดโพล่งขึ้นมาโดยไม่มีมารยาท มองเหยียดฝ่ายชูฮันราวกับขยะ
สำหรับสถานการณ์เช่นนี้ หลูปิงเซ่อและเสี่ยวเคินเป็นคนแรกที่เลิกคิ้วอย่างไม่พอใจ ส่วนสมาชิกทีมกุ้งเสือดำก็รู้สึกไม่พอใจอยู่ข้างใน ท่านพลเอกชูฮันของพวกเขาไม่ชอบให้ใครมาทำอวดดีใส่แบบนี้ คิดว่าตัวเองเก่งกว่าหัวหน้าพวกเขางั้นเหรอ?
ไม่เพียงแค่คนของชูฮันที่ไม่พอใจทันที แต่คนของอีกฝ่ายเองก็ขมวดคิ้วและดูเหมือนจะไม่ชอบท่าทีของเสี่ยวเย่เหมือนกัน
ภายในสองวินาทีหลังจากได้ยินอีกฝ่ายแนะนำตัว ชูฮันก็ย้อนนึกถึงเสี่ยวเย่จากเมื่อสิบปีที่แล้วได้ทันที
ดังนั้นชูฮันจึงตัดสินใจพูดเบาๆ “แค่คนเดินสวนกัน”
ทันทีที่ชูฮันพูดออกมา หลูปิงเซ่อและคนอื่นๆที่ยืนอยู่ล้อมชูฮันก็อดไม่ได้ที่หัวเราะออกมา คำตอบนี้สมกับเป็นหัวหน้าชูฮันจริงๆ
“แก!” เสี่ยวเย่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะให้คำตอบเชาแบบนี้ เสี่ยวเย่โกรธจัดจนควันออกหู “แกเมินฉัน?”
“ใช่!” ชูฮันยอมรับตรงๆ “ฉันจะไปทางของฉัน คุณก็ไปทางของคุณ เราไม่จำเป็นต้องรู้จักกัน ฉันเป็นแค่คนที่ผ่านไปสำหรับคุณ สำหรับฉันคุณก็เหมือนกัน ในโลกาวินาศเช่นนี้ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายใครจะยอมเปิดเผยชื่อของตัวเองให้คนรู้กันง่ายๆ? โง่ชัดๆ?”