นี่เป็นจุดที่หวังไคคิดไม่ตก “ทำไมนายไม่บอกหนทางที่สุดที่สุดให้เธอได้คิด นายคิดว่าเธอควรจะใช้มาตรการแรก นั่นไม่ใช่การสูญเสียเหรอ?”
“สองเหตุผล” ชูฮันยังคงยืดนิ้วออกมา 2 นิ้ว “ข้อแรก นายเองก็รู้ว่าฉันไม่เหมาะสมอย่างแรงกับการจัดการ ในอนาคตเรื่องต่างๆทั้งหลายในค่ายยังคงขึ้นอยู่กับคนอื่นๆ ถ้าไม่ใช่เช่นนั้น ฉันจะก็ฝึกฝนเก้าตัวน้อยไว้ก่อนล่วงหน้า ซึ่งการปล่อยให้เธอได้แก้ปัญหาต่างๆด้วยตัวเองคือวิธีที่ดีที่สุดในการฝึกฝน สุดท้ายแล้วเธอเป็นคนที่มีพรสวรรค์ที่ดีมากในเรื่องนี้”
“ข้อสอง ซางจิ่วตี้จำเป็นต้องรีบแล้ว และเรื่องต่างๆก็เริ่มไต่ระดับขึ้นไปถึงจุดที่ฉันต้องจัดการด้วยวิธีสุดโต่ง ถึงแม้การแก้ปัญหาแบบครั้งเดียวจะสามารถช่วยจัดการปัญหาได้มากมาย แต่ฉันจะพลาดโอกาสในการฝึกฝนความสามารถของซางจิ่วตี้ให้พัฒนา ฉันเป็นหินลับมีดดีๆนี่แหละ!” ชูฮันถอนหายใจแต่ดูเหมือนเขาจะรู้สึกขอบคุณอีกฝ่ายสำหรับโอกาสนี้
หวังไคหวาดกลัวจนขนหัวลุก ความบ้าคลั่งที่เกินจะพรรณนาได้ของชูฮันทำให้หวังไคพูดอะไรไม่ออกอย่างสิ้นเชิง สถานการณ์มันช่างซับซ้อนและเต็มไปด้วยวิกฤตมากมาย ไม่เพียงแต่ซางจิ่วตี้จะโวยวายที่ต้องรับมือแล้วแต่คาดว่าคนต่างๆที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ก็จะตระหนักกันหมด
หวังไคคิด…นี่นายพึ่งคิดหาโอกาสในการขัดเกลาความสามารถของซางจิ่วตี้ขึ้นมาได้เหรอ?
ช่วยอย่าพูดมันด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายแบบนั้น มันฟังน่าขนลุกมากๆ!
ในตอนนั้นเองชูฮันก็ได้เดินพ้นผ่านกลุ่มผู้รอดชีวิตสิบกว่าคนที่ยืนตะลึงค้างอยู่ ชูฮันเดินผ่านตรงไปทางถนนหลัก หากจู่ๆเขาก็ชะงักฝีเท้าและมองไปที่คนสองคนที่ยืนอยู่ตรงกลางถนนด้วยท่าทางประหลาดใจเล็กน้อย
เด็กชายและเด็กหญิงที่ยังดูอายุน้อยอยู่ คาดว่าพวกเขาน่าจะอายุมากกว่าซงเสี่ยวไม่เยอะ พวกเขาดูสะอาดสะอ้านแถมยังใส่ผ้ารัดรูป มีอุปกรณ์เต็มตัวและถือมีดไว้ในมือ
บังเอิญที่ทั้งสองได้เห็นภาพซากศพที่เกินบรรยายของซอมบี้ด้านหลังชูฮัน แต่ไม่เหมือนกับเหล่าผู้รอดชีวิตทั่วไป พวกเขาไม่มีสีหน้าอะไรมากมายบนใบหน้า และดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบใจกับภาพที่เกิดจากฝีมือชูฮันเท่าไหร่
“ปัญหาซอมบี้ แก้ไขเรียบร้อย” เด็กหนุ่มพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“อืม ภารกิจเราถูกปล้น” เสียงของเด็กสาวที่มีความนิ่งสงบพอๆกัน หากคำพูดของเธอแฝงไปด้วยเล่ห์
ชูฮันตัดสินใจอย่างชัดเจน เขาเดินผ่านช่องว่างระหว่างสองคนนั้นไป มันดูไม่มีมารยาท หากชูฮันไม่ได้เป็นกังวลอะไร
มันเป็นเรื่องน่าแปลกมากที่คนหนุ่มสาวสองคนนี้มาปรากฏตัวต่อหน้าชูฮันด้วยรูปลักษณ์นี้ แต่หลังจากได้ยินที่ฝ่ายเด็กชายเป็นคนเปิดปากพูดก่อน ชูฮันก็จำได้ทันที
ดำและขาว
จุนจื่อและจุ้ยชู วิวัฒนาการทั้งสองที่แสนจะโด่งดัง มังกรและฟีนิกซ์…สมาชิกของทีมฮูหยา
จุนจื่อและจุ้ยชูถูกแยกออกจากกันด้วยขีดจำกัดพลังการต่อสู้ แต่ไผ่ตายที่ร้ายแรงที่สุดของทั้งคู่คือการร่วมมือกัน บางทีนั่นอาจจะเป็นที่มาของฉายามังกรและฟีนิกซ์ การเข้าใจกันและโดยแค่มองตาของทั้งคู่นั้นสูงถึง 99% และผลลัพธ์ของการปฏิบัติภารกิจก็มักจะเป็นที่น่าพอใจเสมอ พวกเขาคือเขี้ยวหมาป่า ไผ่ไม้ตายของทีม
น่าเสียดายภารกิจของเด็กสองคนนี้ถูกชูฮันที่ผ่านมาพอดีปล้นชิงไปก่อน
“ฉันควรทำอย่างไรดี?” จุนจื่อหันไปถามจุ้ยชูเพื่อถามความเห็น
“ภารกิจถูกปล้น ดำเนินการภารกิจต่อไป” เสียงของจุ้ยชูดังขึ้น ตามมาด้วยข้อสงสัย “คนที่เดินผ่านไปเมื่อกี้ดูเหมือนจะเป็นชูฮัน”
“อายุ 20 ปี ทรงพลัง ไม่สนใครในสายตา อาวุธคือขวานสีดำ” จุนจื่อร่ายข้อมูลส่วนตัวของชูฮันออกมา “ฉันพูดถูกมั้ย?”
ชูฮัยยกยิ้มมุมปากขณะเดินอยู่บนถนน พวกนายช่วยกระซิบเวลาพูดเรื่องคนอื่นได้มั้ย เขายังเดินผ่านไปได้ไม่ไกลเลย!
“ดูเหมือนว่าหลายคนกำลังตามหาตัวเขาอยู่” จุ้ยชูพูดขึ้น
“พันโทตามหาเขามาหลายเดือนแล้ว” จุนจื่อเสริมประโยคขึ้นมา
“เอ่อ” จุ้ยชูกระซิบเบาๆ จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เด็กตัวน้อยชะงักค้างและตกอยู่ในภวังค์ไปพักหนึ่ง
หลังจากประมาณ 5 นาทีผ่านไป จุนจื่อที่ชะงักไปก่อนหน้านี้ก็หันหน้ามากระพริบตาและเอ่ยปากถาม “พี่สาว เราต้องพาชูฮันกลับไปมั้ย?”
จุ้ยชูไม่ได้พูดอะไรตอบ ต้องการพาเขากลับมามั้ย? เธอไม่รู้!
“พี่สาว” จุ้ยชูที่สับสนไม่ต่างกัน “ซางจิงดูเหมือนจะส่งคนออกมากลุ่มใหญ่เพื่อตามหาชูฮัน เราได้เจอกับเขาหรือไม่เมื่อครู่นี้?”
ใบหน้าเล็กๆของจุ้ยชูเริ่มขึ้นสีแดง เธอทำตัวไม่ถูก “แต่—-แต่ภารกิจ?”
ทั้งสองอายุ 14 ปีในปีนี้ ทั้งคู่ยังไม่ได้เรียนรู้เรื่องราวอีกมากมายของโลกนี้ มันสำคัญที่ต้องพาตัวชูฮันกลับไปหรือปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จ ดังนั้นสมาชิกของเขี้ยวหมาป่าที่แข็งแกร่ง 2 คนนี้จึงสับสนว่าควรจะเลือกหนทางไหนดี ทั้งสองยืนอยู่บนถนนกว้างใหญ่เป็นเวลาพักหนึ่ง ท่ามกลางลมที่พัดผ่านไปมา
ปฏิบัติภารกิจและจี้ตัวชูฮัน อันไหนที่พวกเขาควรให้ความสำคัญ?
ชูฮันเดินหายตัวไปนานแล้วในจังหวะที่เด็กสองคนเอาแต่ขบคิดกันอยู่
————–
ในขณะนั้นเอง ณ ค่ายผู้รอดชีวิตซางจิง และรอบๆเมืองใกล้ๆกับตัวค่าย ตราบใดที่มีผู้รอดชีวิต มันก็จะยังคงมีผู้คนมากมายถาเข้ามาถาม—-
“นายเคยเห็นชูฮันมั้ย?”
“รู้จักชูฮันมั้ย?”
“นายรู้มั้ยว่าชูฮันอยู่ไหน?”
“เอ่อ–?ไม่รู้ ไม่รู้อะไรเลย”
“โอเค บาย”
ค่ายผู้รอดชีวิตซางจิง ผู้คนมากมายต่างวุ่นวายกันมาพักหนึ่งแล้ว มันเริ่มใกล้จะปีใหม่แล้ว ค่ายที่ใหญ่ที่สุดของจีนเริ่มมีชีวิตชีวา แต่ไม่ใช่เพราะมันใกล้จะปีใหม่ แต่เป็นเพราะการไล่ตามหาตัวชูฮันกันที่กระตุ้นผู้คน
ในตอนนั้นเอง บนถนนพื้นเรียบในตัวค่ายซางจิง เฮลิคอปเตอร์ค่อยๆลงจอดอย่างช้าๆ หลังจากประตูถูกเปิดออก ผู้ชาย 3 คนก็ลงมาจากเครื่องพร้อมกัน
แม้เหอเฟิงและเติงฮ่าวนั้นจะมีสภาพสมบุกสมบัน แม้แต่รองเท้าบู้ทของทหารยังแตกร้าว หากเนื้อตัวกลับไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร
ตรงกันข้ามกับทั้งคู่ มีกลุ่มคนเดินลงมาจากเฮลิคอปเตอร์อีกลำ พวกเขาต่างประคองและช่วยพยุงตัวกันลงมาจากเครื่อง ใบหน้าและจมูกมีสภาพบวมเฉ่ง พลตรีสิงโตมีสภาพถูกซ้อมจนเละเทะ
พลตรีสิงโตที่ก่อนหน้านี้แหกปากและนอนหลับกรนมาบนเฮลิคอปเตอร์ แต่เมื่อลงมาและได้เห็นเหอเฟิงและคนอื่นที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยความอับอาย “เห็นพลตรีมั้ย ไม่รู้การทำความเคารพหรือไง?!”
เติงฮ่าวและเจิ้งท่าวมองหน้ากันและพร้อมกับถอนหายใจออกมา แม้พวกเขาจะอึ้งกับภาพลักษณ์ที่ปรากฏของพลตรีสิงโต หากพวกเขาก็รีบทำท่าเคารพตามระเบียบทหารทันที
มีเพียงแค่เหอเฟิงที่เหลือบตามองพลตรีสิงโตจากนั้นก็เบนหน้าหนีไปทางอื่นอย่างเมินเฉย
“หยุดอยู่ตรงนั้น!” สิงโตบ้าคลั่งไม่คิดว่าพันโทจะกล้าหยาบคายใส่เขาแบบนี้ ความโกรธที่ได้รับมาจากซางจิ่วตี้ได้ถูกพาลไปลงกับเหอเฟิง “แกเป็นพันโทใช่มั้ย? เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาใคร? เวลาที่เจอพลตรีแกกล้าหยาบคายแบบนี้ ตำแหน่งแกปลิวแน่ เก็บของและออกไปซะภายในวันพรุ่งนี้!”
เหอเฟิงชะงักและหันมาจ้องหน้าสิงโต “นายมาเพื่อทำหน้าที่แทนฉัน?”
“หึ! ใช่! ก็เห็นได้นี่!” ความโกรธของสิงโตคลุ้มคลั่งบิดเบือนไปหมด พฤติกรรมของพันโทแบบนี้ก็สมควรแล้วที่จะโดนปลดตำแหน่ง ถ้าไม่ใช่เพราะที่นี่เป็นซางจิงละก็ เขาจะทำอะไรก็ได้ ป่านนี้เขาคงตัดขาไอ้พันโทนี่ทิ้งไปแล้ว!