APOCALYPSE MELTDOWN 362-379
ตอนที่ 362
ใช้ปลาตัวเล็กล่อปลาตัวใหญ่
ชูฮันและกลุ่มวิวัฒนาการ 30 คนรวมถึงหลูปิงเซ่อที่เป็นคนนำทางได้มาถึงเสาหิน
ผู้คนต่างต้องการมาที่เสาหินเพื่อทำการทดสอบและไต่ระดับขึ้นไปอย่างสิ้นหวัง ทุกคนต่างตะเกียจตะกายหวังไม่ให้ตัวเองตกอันดับลงไป
“ใช่อันนี้มั้ย” ชูฮันไม่ได้เข้าไปในเสาหินตรงหน้าเพื่อทำการทดสอบทันทีเหมือนวิวัฒนาการคนอื่นๆ ทว่าเขากลับยืนมองอยู่จากด้านหลังและคุยกับหวังไคในหัว
“ใช่ ฉันเดาว่าน่าจะใช่” หวังไคตอบ “เห็นได้ชัดว่าอีกอันน่าจะอยู่ข้างหลัง”
ชูฮันก้าวเท้าออกเดินผ่านเสาหินที่อยู่ตรงหน้าไป
“พี่จะไปไหน?” หลูปิงเซ่อพยายามจะเรียกชูฮันไว้และมองเสาหินตรงหน้าตัวเอง ทำไมชูฮันถึงไปอีกทาง? ตรงนั้นมันมีหมอกและเหมือนจะมีทะเลสาบอยู่ด้วย มองอะไรไม่เห็นเลย!
“เอ่อ…” มันมีคำเตือนมากมายวนอยู่ในหัวหลูปิงเซ่อ ชูฮันคงไม่รู้ว่ามันต้องใช้เวลานานมาก เขาควรจะไปก่อนมั้ย?
อย่างไรก็ตาม ประโยคต่อมาของชูฮันได้ทำลายความคิดก่อนหน้านี้ของหลูปิงเซ่อลง และสร้างความหวังขึ้นมาแทน “ถ้านายยังอยู่ที่นี้หลังจากฉันออกมา ฉันจะคืนคริสตัล 70 อันก่อนหน้านี้ให้”
“จริงเหรอ?” แววตาของหลูปิงเซ่อเปล่งประกาย
“แน่นอน” ชูฮันยิ้มกว้างและหมุนตัวกลับเดินเข้าฝ่าเข้าไปในหมอก ทุกคนรู้แค่ว่ามันมีเสาหิน แต่ไม่มีใครรู้ว่ามันมีหมอกหรือทะเลสาบที่ซ่อนเสาหินอีกอันไว้อยู่!
ทะเลสาบเย็นเฉียบ ชูฮันต้องว่ายน้ำเพื่อที่จะไปที่ทางเข้าของเสาหินที่จมอยู่ใต้ทะเลสาบ เสาหินตั้งอยู่กลางทะเลสาบ ส่วนทางเข้าจมอยู่ใต้น้ำ แต่เนื่องจากเหนือทะเลสาบเป็นทะเลหมอกหนา ทำให้วิสัยทัศน์นั้นต่ำมาก จึงทำให้หลายคนไม่รู้ว่ามีเสาหินอยู่ตรงนี้ ขณะที่ในที่สุดชูฮันก็รู้แล้วว่าทำไมเสาหินทดสอบของระยะ 3 ถึงหาเจอได้ยากขนาดนี้ ก็เพราะว่าเสาหินนี้เป็นประเภทเคลื่อนที่ไปมา และที่เหนือกว่านั้นก็คือมันมาปรากฏในทะเลสาบที่เหนือความคิดของทุกคน
ในตอนนั้นเอง หวังไคก็พูดขึ้น “นายโกหกเขา?”
“เปล่า” น้ำเสียงของชูฮันดูลึกแฝงไปด้วยนัยน์บางอย่าง ทำให้คนที่ได้ยินไม่สามารถเดาทางความคิดของเขาได้ “ฉันตั้งใจจะคืนคริสตัลให้เขาจริงๆ”
หวังไคประหลาดใจอย่างมากกับสิ่งที่ได้ยิน “นายใช่ชูฮันที่ฉันรู้จักรึเปล่า?”
แมงป่องตัวนี้จะยอมคืนคะแนนที่กินไปแล้วเหรอ? นี่มันน่าขันยิ่งกว่าการย้อนกลับพันธุกรรมของซอมบี้ซะอีก! มันไม่ใช่รูปแบบพฤติกรรมปกติของชูฮันเลย!
ชูฮันขี้เกียจเกินกว่าจะมานั่งอธิบายกับหวังไคเรื่องการใช้ปลาเล็กเป็นเหยื่อเพื่อล่อปลาตัวใหญ่กว่า เขาตัดสินใจเข้าไปในเสาหินและในตอนนั้นเองการทดสอบของระยะ 3 ของเขาก็เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ ครั้งนี้ชูฮันระมัดระวังมากกว่าครั้งไหนๆ
ชิ้นส่วนระบบล่มสลาย เขาจะต้องได้มันมาให้ได้!
——–
ขณะนั้น ณ ชั้นใต้ดินของคฤหาสน์ของเหย่โม่ พื้นดินได้ถูกปกคลุมได้ด้วยหิมะและน้ำแข็งของเดือนพฤศจิกายนไปแล้วเรียบร้อย หลูฮงเชิงยืนอยู่ที่ชั้นใต้ดิน ข้างๆเขาเป็นซูชิง
“ถ้านายอยากจะพูดอะไร ก็พูดมาได้เลย” เห็นได้ชัดว่าน้ำเสียงของซูชิงดูเหมือนหมดความอดทน
“เหอซางไปแล้ว” หลูฮงเชิงพูดขึ้นมาทันทีที่ซูชิงพูดจบ
“ใช่ เขาไปได้ 3 วันแล้ว” ซูชิงวางภาพวาดของโครงร่างบางอย่างที่ซับซ้อนที่เขาวาดไว้ในมือลง และเดินเข้าไปหาหลูฮงเชิงที่ตัวสูงใหญ่กว่า “ฉันรู้ว่าเขาไปแล้ว หลังจากนั้น 3 วัน นายทำสำเร็จแล้วใช่มั้ย?”
หลังจากอาศัยอยู่ที่นี้มาไม่กี่เดือน เหอซาง ซูชิง และหลูฮงเชิงกลายเป็นสนิทสนมกันดี พวกเขาต่างเข้าใจบุคลิกลักษณะนิสัยของแต่ละฝ่ายเป็นอย่างดี การร่วมมือในการทำงานกันก็สมบูรณ์แบบ แต่มันก็ทำให้ทั้ง 3 คนต่างรู้จุดอ่อนซึ่งกันและกันเช่นกัน
เช่นเดียวกับหลูฮงเชิงที่เป็นคนพลังล้นหลาม ตอนนี้ด้วยความช่วยเหลือของเหย่โม่ทำให้เขามีแรงบันดาลใจในการสร้างพรสวรรค์ที่หาได้ยากนั้นก็คือการเสริมสร้างกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งสำหรับการตีเหล็ก ถึงแม้หลูฮงเชิงจะยังเป็นเพียงแค่วิวัฒนาการระยะ 1 ในตอนนี้ ทว่าหลายโครงการที่เหย่โม่ไม่สามารถทำได้หลูฮงเชิงกลับทำได้สำเร็จ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ากล้ามเนื้อของหลูฮงเชิงนั้นมีประสิทธิภาพมากขนาดไหน
เพียงแต่ว่า…
หลูฮงเชิงมีขีดความสามารถในการคิด ในการที่จะตีเหล็กให้ได้ตามแบบที่วาดไว้ มันก็ยังมีปัจจัยอื่นที่กดเขาไว้…เหอซางและซูชิงนั่นเอง มันไม่ใช่ว่าหลูฮงเชิงเป็นคนโง่เง่า แต่ 2 คนนัั้นฉลาดมากเกินไปต่างหาก เหมือนกับตอนนี้ ซูชิงกล้าที่จะตะคอกใส่หลูฮงเชิงที่ร่างกายสูงใหญ่อย่างไม่เกรงกลัว
“เหอซางออกจากโรงเรียนไปก่อน แต่ยังไงเราก็ต้องเรียนต่อให้จบ” หลูฮงเชิงหยิบจดหมายที่เขียนด้วยลายมือของเหอซางขึ้นมาและพับเก็บ ขณะเดียวกันก็รู้สึกหดหู่
“พ้ะ!” ซูชิงตบหัวหลูฮงเชิง “อย่าท้อใจ!”
“โอ้ะ” หลูฮงเชิงยกมือขึ้นจับหัวตัวเองและหยุดร้องไห้ทันที
แม้ซูชิงจะพูดแบบนั้น แต่เขาก็ยังเชื่อมั่นอยู่เต็มหัวใจ เหอซางหยิ่งยโสเกินไป เหอซางมักจะคิดว่าตัวเองฉลาดที่สุด การทดสอบล่าสุดเผยว่าไอคิวของเหอซางสูงถึง 250และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นไปอีก…ผู้ชายคนนี้โตขึ้นมาด้วยการกินอะไรกัน?
ซูชิงไม่ค่อยกังวลมาก เหอซางสนใจเพียงแค่ด้านเทคโนโลยีเท่านั้น แต่โครงการที่เขารับผิดชอบอยู่มันยิ่งใหญ่กว่านั้น
และในขณะที่จู่ๆชั้นใต้ดินตกอยู่ในความเงียบ ทันใดนั้นมันก็มีเสียงดังมาจากลำโพงตรงประตูขึ้นทำให้ซูชิงตกใจ ส่วนหลูฮงเชิงก็ยืนนิ่งไม่ตอบสนองอะไรอยู่พักใหญ่
เสียงเย็นยะเยือกของผู้หญิงดังขึ้น “เปิดประตู”
พรึบ!
ภาพวาดในมือซูชิงร่วงลงพื้นทันที เขาไม่มีวันลืมเสียงนี้ไปตลอดชีวิต ทันทีที่ได้ยินเสียงนี้เขาก็จะนึกถึงซุปเปอมาร์เก็ตและไฟสลัวๆที่เกิดขึ้นไม่กี่เดือนก่อนในหัวทันที
ทำไมจู่ๆป่ายหวีเนอถึงมาที่นี้ได้!
ซูชิงไม่มีเวลาคิดอะไรมาก เขารีบเปิดประตูชั้นใต้ดินออกอย่างรวดเร็ว และทันใดนั้นเองป่ายหวีเนอที่อยู่ในชุดกระโปรงสีขาวก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าทั้งสอง ผมยาวสลวยสีดำสนิทยังคงอยู่ที่ระดับสะโพก ส่วนสีหน้าก็ยังคงเย็นชาราวกับมีหิมะตกอยู่ในชั้นใต้ดิน
“คุณป่าย คุณป่าย” ซูชิงพูดจาตะกุกตะกักด้วยความกลัวต่อป่ายหวีเนอจนแทบจะหมดสติ จนลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าอากาศภายนอกนั้นหนาวถึงศูนย์องศา แต่ป่านหวีเนอตรงหน้าเขากลับสวมเพียงชุดกระโปรงสีขาว
หลูฮงเชิงไม่กล้าจะพูดอะไรออกมา
หลังจากป่ายหวีเนอเข้ามาข้างในและมองไปรอบๆ เธอก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ยังคงเย็นชาและไร้อารมณ์เหมือนเดิม “เหอซางและเหย่โม่?”
“เหอซางออกไปแล้ว เขาบอกว่าเขาจะไปตามหาชูฮัน” ซูซิงตอบอย่างรวดเร็ว ทว่าประโยคต่อมาน้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนเป็นแผ่วเบา “ส่วนอาจารย์เหย่โม่ ท่านเสียไปแล้ว”
มีแสงบางอย่างปรากฏผ่านนัยน์ตาของป่ายหวีเนอ ตามด้วยเสียงถอนหายใจเล็กน้อย “ไม่น่าล่ะ”
ไม่แปลกใจที่ทำไมครั้งสุดท้ายที่ชูฮันมาที่นี้ เหย่โม่ถึงยอมรับลูกศิษย์ได้อย่างง่ายๆ ชายชรารู้ว่าตัวเองมีเวลาเหลืออีกไม่มากแล้วนั่เอง
จากนั้นป่ายหวีเนอก็กระพริบตาอีกครั้ง “เสี่ยวชีและลี่ชื่อหรง?”
ตอนที่ 363
พักช่วง
เสี่ยวชีและลี่ชื่อหลงทำไม?
คำถามที่ป่ายหวีเนอถามเขามันไม่ใช่อาการเสียดายหรือความสงสัย แต่มันดูน่ากลัวและเต็มไปด้วยจิตสังหารที่แฝงอยู่ และชื่อเสี่ยวชีที่ผุดขึ้นมาก็ทำให้หัวใจของซูชิงและหลูฮงเชิงแทบกระโดดออกจากอก
ซูชิงถึงกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนจะเอ่ยปากตอบ “ความจริงแล้วหลังจากเมื่อครึ่งเดือนที่แล้วที่ท่านอาจารย์เสียไป คฤหาสน์นี้ก็เหลือแค่ผมกับหลูฮงเชิง”
นัยน์ตาของป่ายหวีเนอเป็นประกายวาบ เธอหยุดหัวข้อแปลกๆนี้ในเวลาที่เหมาะสมพอดี ป่ายหวีเนอพูดขึ้น “ฉันมีข้อความจากชูฮันมาบอก”
ทันใดนั้นซูชิงและหลูฮงเชิงก็เปลี่ยนท่าทีเป็นขึงขังทันทีที่ได้ยินชื่อของชูฮัน “คุณพูดว่า—-“
สำหรับทั้งคู่การปฏิบัติตัวกับเหย่โม่นั้นก็เพราะรู้สึกขอบคุณสำหรับคำสอนที่หนักแน่นของท่านก่อนตาย การปฏิบัติกับป่ายหวีเนอนั้นเป็นเพราะความกลัวของความแตกต่างในพละกำลัง แต่การปฏิบัติต่อชูฮันนั้น ทั้งซูชิงและหลูฮงเชิงทำมันด้วยความเคารพบูชาจากใจ
พวกเขาไม่มีความลังเลแม้แต่น้อยถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับชูฮัน
แววตาของป่ายหวีเนอเปล่งประกาย ทว่าน้ำเสียงที่เปล่งออกมายังคงเรียบเฉยเหมือนกับหุ่นยนต์ “หลังจากมีนาคม ฉันจะรวมอันลูเป็นหนึ่งเดียว”
ซูชิงรีบคว้ากระดาษข้างป่ายหวีเนอมาเปิดดูทันที
“นายทำได้มั้ย?” หลูฮงเชิงค่อนข้างไม่แน่ใจ เขาและซูชิงไม่จองหองเหมือนกับเหอซาง พวกเขาต้องค่อยๆเรียนรู้ไปทีละขั้น
ซูชิงไม่ได้ตอบ เพียงพลิกกระดาษในมือขึ้น “ฉันไม่คิดว่าฉันจะทำที่เหลือเสร็จได้ทันเวลาที่กำหนด”
“อ่า…” หลูฮงเชิงถามต่อ “นายหมายถึง?—-”
ตาของซูชิงเป็นประกาย “ฉันกำลังคิดถึงสิ่งที่เราสามารถทำได้พร้อมๆกัน”
กริ๊ง!
ค้อนขนาดใหญ่ในมือหลูฮงเชิงร่วงกระแทกพื้นทันทีพร้อมกับจ้องซูชิงด้วยสายตาอึ้ง ที่น่าแปลกใจสำหรับหลูฮงเชิงมากที่สุดก็คือการที่ซูชิงสามารถข้ามกระโดดไปได้ถึงระดับนั้นแล้ว เขามองทุกอย่างทะลุปรุโปร่งหมดเลยเหรอ?
———-
บริเวณโดยรอบต่างเป็นสีขาวโพลนเหมือนกันหมด การมาถึงของพายุหิมะทำให้หลายคนลดการระวังตัวลงเนื่องจากหิมะสีขาวทำให้ท้องฟ้าที่เดิมทีเป็นสีดำสว่างขึ้นเล็กน้อย ส่งผลให้ผู้คนรู้สึกสบายขึ้นเล็กน้อยจากความกดดันของโลกาวินาศอันมืดมนอย่างที่ผ่านมา
ฟึบ! ฟึบ!
มีเสียงจังหวะเดินของฝีเท้าที่เฉพาะเจาะจงท่ามกลางหิมะดังขึ้น และร่างคนที่สวมชุดเกราะป้องกันก็เดินอย่างสบายๆท่ามกลางหิมะที่โปรยปราย ถึงแม้ท่าเดินจะดูสบายๆทว่าความเร็วนั่นไม่ได้ช้าเลย โดยเฉพาะแผ่นเหล็กคู่ที่ดูเหมือนเป็นอุปกรณ์ตรงรองเท้าของคนคนนี้ แสดงให้ถึงอารมณ์ของแนวคิดหลังสมัยใหม่ที่แท้จริงและโลกาวินาศที่ล้าสมัยก็ไม่ได้เป็นปัจจัยใดๆ
ในตอนนี้ถ้าชูฮันได้เจอเหอซาง ก็คงจะต้องตกใจอย่างแน่นอนด้วยเพราะมันมีความต่างระหว่างชุดเกราะของเหอซางกับเมื่อ 10 ปีที่แล้ว แต่มีข้อต่อมากมายที่ต่ออยู่บนชุดเกราะ ทั้งตรงลำคอ แขน เท้า และแว่นอีกหนึ่งคู่ที่ไม่ได้มีหน้าที่เพียงป้องกันเท่านั้น แต่ใครจะรู้ว่ามันมีเทคโนโลยีขั้นสูงอะไรซ่อนไว้อยู่
ถึงแม้เหอซางจะมีชุดเกราะปกป้องตามส่วนต่างๆของร่างกาย ทว่าส่วนหัวที่สำคัญที่สุดของเหอซางยังคงเปิดโล่งอยู่ หัวล้านของเขายังคงสะท้อนกับแสง ถ้ามองจากไกลๆก็จะดูเหมือนกับเปลือกไข่ที่มีผิวเรียบนวล
เหอซางที่กำลังเดินอยู่ จู่ๆก็หยุดฝีเท้าพลางมองไปที่เท้าข้างหนึ่งของเขาที่ยกค้างไว้อยู่ด้วยสายตาแปลกๆ เท้าซ้ายของเหอซางที่กำลังจะเหยียบลงพื้นถูกเหยุดชะงักไว้ ด้วยเพราะมันมีหินก้อนใหญ่ถูกหิมะฝังกลบไว้และเหอซางก็เกือบจะเหยียบมันเข้า
เมื่อมองไปที่หินก้อนใหญ่ที่มีผิวเรียบ เหอซางก็เงื้อมมือข้างซ้ายของเขาไปกดปุ่มบนแว่นอย่างไม่รู้ตัวตามสัญชาตญาณ ไม่นานภาพที่ฉายผ่านเลนส์แว่นตาก็เปลี่ยนไป มันไม่มีอะไรพิเศษหรือแปลกๆรอบบริเวณ มีเพียงแค่หินก้อนใหญ่ที่มีผิวเรียบอย่างที่เห็น
“ไม่อยากจะเชื่อ?” เหอซางตะลึง “หัวล้านมันสว่างยิ่งกว่ากูอีก!”
ฟึบ!
มีเสียงแปลกๆดังมาจากตรงพื้น ทำให้เห็นว่าหินก้อนใหญ่ที่มีผิวเรียบค่อยๆไต่ระดับขึ้นสูงเรื่อยๆ เผยให้เห็นใบหน้าที่ถูกแช่แข็งอยู่ น้ำเสียงของผู้ชายคนนี้ต็มไปด้วยความไม่พอใจ “อย่าเรียกฉันว่าหัวล้าน”
ครึ่งชั่วโมงต่อมา หิมะได้ตกลงไปกลบหลุมขนาดใหญ่ ผู้ชายคนนั้นที่เกือบจะตายจากการถูกแช่แข็งถูกเหอซางดึงตัวขึ้นมา ที่เหอซางมองไม่เห็นตอนแรกเพราะผู้ชายคนนี้ถูกหิมะปกคลุมไปหมด ทว่าหัวที่สะท้อนแสงของเขานั่นเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจน
เหอซางยกมือขึ้นจับหัวล้านของตัวเองและอยากจะสัมผัสหัวล้านของอีกฝ่าย “หัวล้าน นายชื่ออะไร?”
“อย่าเรียกฉันว่าหัวล้าน!” เสียงของผู้ชายคนนั้นเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “ฉันชื่อ เสี่ยติง”
“โอ้” เหอซางพยักหน้าเขา “ขอบคุณสำหรับข้อแนะนำ…ไม่ใช่คนหัวล้านด้าน!”
“อย่าเรียกฉันว่าหัวล้าน!”
“หัวล้าน ขี้โวยวาย ที่ไม่มีการวางแผนในการรับมือกับหิมะ”
“…นายกินอะไรหรือยัง?” เสี่ยติงตัดสินใจที่จะไม่สานความยาวต่อความยือเรื่องหัวล้านต่อ
“ฉันมีไข่”
เหอซางที่ยังไม่ได้รับข้อความจากป่ายหวีเนอก็อยู่บนถนนตามหาชูฮันพร้อมกับผู้ช่วยคนใหม่
———-
ขณะนี้ ภายในเสาหิน ในโลกคู่ขนาน แผ่นหลังของชูฮันชุ่มไปด้วยเหงื่อโชก ครั้งนี้การทดสอบของระยะ 3 รุนแรงเกินปกติหากชูฮันก็ยังคงควบคุมช่วงจังหวะได้อยู่ แต่มันก็แตกต่างไปในจุดพื้นที่ของการเดินทาง ทว่าหัวใจของชูฮันก็ยังคงนิ่งสงบได้เมื่อมันเกี่ยวข้องกับชิ้นส่วนระบบล่มสลายที่เกี่ยวพันกับชีวิตของแม่เขาอยู่ แต่ถึงแม้ชูฮันจะสั่งตัวเองให้สงบนิ่งหากมันก็เป็นเรื่องยากที่จะไม่วิตกภายใต้สถานการณ์เช่นนี้
เสียงเครื่องกลของเสาหินดังขึ้นทันทีที่ชูฮันปรากฏ “เป็นไปได้ไหมที่จะเข้าไปในโลกคู่ขนาน ถ้าได้คะแนน S จากการทดสอบ?”
ชูฮันสูดลมหายใจเข้าลึก หัวใจของเขาสูบฉีดอย่างรุนแรง “ฉันขอพักไว้ก่อนแล้วค่อยสู้ต่อทีหลังได้มั้ย?”
เพราะมันสำคัญมากๆชูฮันถึงต้องระมัดระวังอย่างสูง
“แน่นอน” เสียงของเครื่องกลตอบชูฮัน “คุณผ่านการประเมิณด้วยคะแนน S คุณสามารถบันทึกข้อมูลไว้ก่อน ด้วยคะแนน S ที่มีและตราบใดที่คุณยังอยู่ในระยะ 3 คุณสามารถดำเนินการต่อได้ทันทีที่มา”
“เข้าใจแล้ว บันทึกข้อมูล” ชูฮันเข้าใจถึงความสัมพันธ์ทั้งหมด หลังจากได้รับคะแนน S เขาสามารถหยุดพักระหว่างกลางได้ เพราะสุดท้ายแล้วเขาก็ยังเป็นมนุษย์และการทำการทดสอบต่อเนื่องไปเรื่อยๆก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี แถมการฝ่าเข้าไปในโลกคู่ขนานโดยตรงเลยทันทีก็เป็นเรื่องที่อันตรายมากๆ
ไม่นานหลังจากการบันทึกเสร็จสิ้น ชูฮันก็ปรากฏตัวขึ้นทันทีท่ามกลางทะเลสาบที่หนาวเหน็บ และในขณะเดียวกันนั่นเอง ข้อมูลที่ปรากฏบนผลการประเมิณของระยะ 3 ก็ได้เปลี่ยนไป
ตอนที่ 364
เข้ารับการทดสอบใหม่
ในเวลาเดียวกัน ณ ที่อีกที่หนึ่งห่างจากทะเลสาบหนาวเหน็บที่ชูฮันอยู่ เสาหินอีกจุดหนึ่งที่มีวิวัฒนาการระยะ 2 ออกมาจากการทดสอบพร้อมกับอาการสำลัก ที่ฝ่ามือของเขายังคงมีความรู้สึกผิดคาอยู่
“ออกมาแล้ว?” หลูปิงเซ่อรีบถามวิวัฒนาการระยะ 2 ที่พึ่งออกมาทันที “นายเป็นคนแรก เป็นยังไงบ้าง? นายออกมาเร็วมาก?”
“ไม่ๆ” วิวัฒนาการระยะ 2 ยิ้มออกมาพร้อมกับส่ายหน้า “ฉันสอบไม่ผ่านและถูกเตะออกมาก่อน”
หลูปิงเซ่อไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เขาได้แต่ยิ้มและพูดปลอบ “ไม่เป็นไร พยายามต่อไป นายยังดีกว่าฉัน ถึงฉันจะเป็นพรสวรรค์แต่ความสามารถในด้านพละกำลังของฉันน่าตลกชะมัด ฉันอิจฉาพวกนายที่สามารถเข้าไปทำการทดสอบได้”
วิวัฒนาการระยะ 2 คนนั้นรู้สึกดีขึ้นมาทันที ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าหลูปิงเซ่อยังคงรออยู่ด้านนอก ไม่ได้หลบหนีไป แต่มันไม่สำคัญอะไรเพราะเขาไม่ผ่านการประเมิณของเสาหินทำให้เขาไม่มีอารมณ์จะมาคิดอะไรมาก เพียงแต่ถอนหายใจออกมา “มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าพวกคนที่อยู่บนรายชื่อเข้าถึงมาตรฐานที่สูงขนาดนั้นได้ยังไง เป็นการทดสอบที่ยากชะมัด แต่เหนือความคาดหมายมีคนได้คะแนน s+ จากการประเมิณการต่อสู้โดยรวม”
“นายหมายถึงชูฮัน?” แววตาของหลูปิงเซ่อเป็นประกายทันทีและพูดไม่หยุด “เขาเป็นคนที่น่าอัศจรรย์มาก ฉันอยากจะรู้ชะมัดว่าเขาเป็นคนแบบไหน คนแรกที่ได้คะแนนสูงสุดของการประเมิณทั้ง 2 ระยะ ที่ไม่มีใครทำได้”
“ใช่มั้ยล่ะ!” วิวัฒนาการระยะ 2 คนเดิมพยักหน้าพร้อมยิ้ม ตามด้วยสายตาบางอย่างขณะจองไปที่เสาหิน ทว่าครั้งนี้เขากลับตะโกนขึ้นมา “แล้วคนอื่นล่ะ?!”
หลูปิงเซ่อเงยหน้าขึ้นมองตามสายตาตะลึงของวิวัฒนาการระยะ 2 คนนั้นไป และเขาก็ต้องประหลาดใจขึ้นมา “ชื่อของชูฮันหายไปไหน?”
จากนั้นวิวัฒนาการระยะ 2 คนเดิมก็แหกปากขึ้นมา “รายชื่อของระยะ 3 ชื่อเขาไปปรากฏอยู่ในรายชื่อของวิวัฒนาการระยะ 3!”
ในขณะนี้ ข้อมูลที่ปรากฏอยู่บนรายชื่อของวิวัฒนาการระยะ 3 ได้มีการเปลี่ยนแปง ตัวอักษรที่เรียงกันอยู่แถวแรกได้พุ่งเข้าสู่สายตาของทั้งคู่
ชื่อ: ชูฮัน
อายุ: 20
การประเมิณโดยรวม: S
อันดับ: อันดับ 1
นี่เป็นข่าวใหญ่ ชื่อของชูฮันคาอยู่ที่รายชื่อประเมิณของระยะ 2 มาเป็นเวลานาน และมีหลายคนพูดกันว่าชูฮันกลัวที่จะเข้าไปทำการทดสอบของระยะ 3 ทว่าสุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครทำคะแนนเทียบเท่าชูฮันได้ การเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันของอันดับที่หนึ่งของชูฮันจากรายชื่อของระยะ 2 ทำให้ทั้งคู่ตกใจอย่างมาก
“พูดเป็นเล่น ระยะ 3! พระเจ้า…เขาเป็นคนแรกเลย!” หลูปิงเซ่อกระโดดโลดเต้นเสียงดัง “มหัศจรรย์มาก!” วิวัฒนาการระยะ 2 เองก็ตื่นเต้น “แม้แต่การทดสอบของระยะ 2 ฉันยังไม่ผ่านเลย ชูฮันทรงพลังสุดๆ! เป็นครั้งแรกที่ชูฮันได้คะแนนเสมอกับเฉินช่าวเย่!”
“ใช่” หลูปิงเซ่อรีบตอบอย่างรวดเร็ว “เฉินช่าวเย่ทำการทดสอบ 2 ครั้งเพื่อจะได้คะแนน S มาครอง แต่ฉันไม่คิดเลยว่าชูฮันก็จะได้คะแนน S เหมือนกันและปัดเฉินช่าวเย่ตกอันดับไปอีก แถมยังเป็นวันนี้อีกและเป็นเวลาเดียวกันที่เข้าไปทำการประเมิณ คนของพวกเราส่วนใหญ่เป็นวิวัฒนาการระยะ 1 และมีวิวัฒนาการระยะ 2 แค่ไม่กี่คน และ—–“
เมื่อพูดถึงตรงนี้ หลูปิงเซ่อก็เหมือนกับโดนฟ้าผ่าลงมา ตาของเขาเบิ่งกว้าง หัวใจเต้นรัวแทบจะหลุดออกมาจากอก ถ้างั้นใครกัน? ผู้ชายลึกลับที่ไม่มีใครรู้ชื่อ ยึดคริสตัลเขาไป 70 ชิ้น และเข้าไปอีกสถานที่หนึ่ง แถมยังเป็นวิวัฒนาการระยะ 3
เรื่องบังเอิญ—–
หลูปิงเซ่อไม่กล้าจะคิดต่อ
——-
ในขณะเดียวกัน ณ ค่ายซางจิง กลุ่มผู้มีอำนาจทั้งหลายรวมตัวกันอยู่ในห้องประชุม แต่ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้นั่งหรือพูดหรือมีท่าทางเหมือนแต่ก่อน แต่บรรยากาศมันเหมือนกับอยู่ท่ามกลางสนามรบ เสียงดังเซ็งแซ่และอารมณ์โกรธถูกระบายออกมาไม่หยุด
“ไอ้ชูฮันคนนี้! มันจองหองนัก!”
“ทำไมเราต้องเสียเวลาและความพยายามในการตามหาตัวคนที่อยากจะหายหน้าไป?”
“หึ หึ หึ! คนนอกคอก! นอกคอก!”
“นี่มันหนึ่งเดือนเต็มๆแล้ว มันกล้าดีชะมัด!”
“เราต้องลดตำแหน่งคนแบบนี้ลง หรือไม่ก็ยึดยศคืนซะ!”
ผู้บัญชาการมู๋ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่สบายยใจ ถึงอย่างไรแล้ว ชูฮันก็เป็นพลเอกที่เขาแต่งตั้งขึ้นมาเอง และสถานการณ์ของตำแหน่งทางทหารของทั้งค่ายซางจิงเหมือนกับถูกหยามหน้า พร้อมกับที่ชูฮันหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเป็นเวลาหนึ่งเดือน มันจึงยิ่มกระตุ้นอารมณ์ของทุกคนให้ปะทุไปอีก!
เลาหมิงมองซ้ายขวาสลับไปมาและในที่สุดเขาก็ตัดสินใจที่จะไม่พูดอะไรในตอนนี้ มันจะง่ายที่จะดึงความเกลียดชังและครั้งนี้ชูฮันก็ทำมากเกินไปจริงๆ
“ข่าวดี!” ทันใดนั้นก็มีคนคนหนึ่งวิ่งเข้ามาในห้องประชุมและพูดประโยคที่ทำให้ห้องประชุมที่เสียงดังก้องกลายเป็นเงียบสงบภายในพริบตา “มีการเปลี่ยนแปลงในรายชื่อการประเมิณของเสาหิน ตอนนี้ชูฮันเป็นอันดับที่หนึ่งของวิวัฒนาการระยะ 3 คะแนนต่อสู้โดยรวมคือ S เสมอกับเฉินช่าวเย่ แต่ชื่อของชูฮันนำหน้าเฉินช่าวเย่”
ทั้งห้องประชุมเงียบกริบ ทุกคนตกใจกับข่าวใหม่ที่ได้ยิน ชูฮันเข้าทำการทดสอบของเสาหินสำเร็จและได้คะแนน S มาครอง?
หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง ผู้บัญชาการมู๋ก็ค่อยๆพูดทำลายความเงียบขึ้นมา “เฉินช่าวเย่ได้ทำการทดสอบวิวัฒนาการระยะ 3 ถึงสองครั้ง ครั้งแรกเขาได้คะแนน A ครั้งที่สอง S แต่ชูฮันกลับสามารถทำคะแนน S ได้เพียงแค่การทดสอบครั้งเดียว มันจึงไม่แปลกอะไรที่ชื่อของชูฮันจะนำหน้าเฉินช่าวเย่”
“แต่มันก็พิสูจน์ให้เห็นว่าตำแหน่งพลเอกที่ชูฮันได้นั้นไม่เหมาะสม” ฝ่ายที่คัดค้านชูฮันพูดโพล่งขึ้นมาและชี้ปัญหาออกมา
“จริง” อีกคนที่คัดค้านชูฮันก็พูดขึ้น “เฉินช่าวเย่เป็นเพียงแค่พันโท ส่วนชูฮันที่เป็นถึงพลเอกกลับไม่ได้มีความต่างอะไรกันมากเลย? ยศที่ห่างกันถึง 3 ระดับ คนแบบนี้ควรจะได้ยศถึงระดับพลเอกงั้นเหรอ?”
“ตลกชะมัด!”
“เหอะ!”
คำพูดถากถางมากมายหลุดออกจากปากคนเหล่านี้ แต่กระนั้นที่พวกเขาพูดก็เป็นเรื่องจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ แม้แต่พันโทยังสามารถเข้าถึงเขตคะแนนระดับ S ได้และเหมาะสมกับการตั้งแต่เป็นพลเอกมากกว่าชูฮันที่ไม่มีคุณสมบัติกับการเป็นพลเอกแม้แต่น้อย นี่มันไม่ถูกต้อง!
เลาหมิงและผู้บัญชาการมู๋ไม่ได้พูดอะไรตอบไปพักใหญ่ ถ้าผลการประเมิณของชูฮันอยู่เหนือคนอื่นนั้นมันก็ยังเป็นไปได้ แต่น่าเสียดายที่มีเฉินช่าวเย่ ทำให้คนอื่นๆไม่เห็นด้วยที่จะให้ชูฮันเป็นถึงพลเอก!
———
เสียงเครื่องกลภายในเสาหินที่กำลังตรวจสอบข้อมูลของชูฮันพูดขึ้น “ชื่อ…ชูฮัน การประเมิณโดยรวม S ต้องการเชื่อมต่อกับโลกคู่ขนาน?”
“ใช่” ชูฮันตอบรับด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ
ตอนที่ 365
ใช่แล้ว คือ S+
ไม่มีใครรู้ว่าชูฮันกลับเข้าไปทำการทดสอบอีกครั้งและขณะที่ทุกคนคิดว่าชูฮันได้ทำการทดสอบของระยะ 3 เสร็จสิ้นจนได้คะแนน S มาครองนั้น ชูฮันก็ได้เข้าไปในโลกคู่ขนานแล้วเรียบร้อย
ขณะที่ค่ายซางจิงยังคงว้าวุ่นเกี่ยวกับประเด็นของชูฮันอยู่
“ปัง!”
ทหารยศสูงวัยกลางคนตบโต๊ะเสียงดังลั่นด้วยความโกรธ “วิวัฒนาการระยะ 3 เป็นถึงพลเอก? จีนออกจะยิ่งใหญ่ มันไม่มีคนอื่นแล้วเหรอไง? ชูฮันเป็นฮีโร่หรือทำอะไรเพื่อจีนเหรอไง? ทั้งยังเด็กและจองหอง ชูฮันไม่แม้แต่จะเห็นค่ายซางจิงในสายตาด้วยซ้ำ เขาไม่สมควรจะได้ตำแหน่งพลเอกเลยสักนิด!”
“เห็นด้วย” นายทหารอีกนายหนึ่งที่เต็มไปด้วยยศตราประดับอยู่บนชุดเครื่องแบบก็ผุดขึ้นยืน “การปะทุของโลกาวินาศทำให้เราเหลือพลเอกอยู่เพียงแค่ 4 คน ก็จริง มันไม่มีข้อกังขาสำหรับพลเอกจวงฮงที่สร้างชัยชนะมาเป็นสิบครั้ง เช่นเดียวกับพลเอกฉางกวงหลง และการเลื่อนขั้นล่าสุดของตวนเจียงเหว่ยที่เป็นถึงวิวัฒนาการระยะ 5 เมื่อเทียบกับชูฮันที่เป็นแค่วิวัฒนาการระยะ 3 เขาเหมาะสมตรงไหนกันกับตำแหน่งนี้?”
“ฉันคิดว่าเราถูกชูฮันปั่นหัวอยู่” มีคนหนึ่งพูดโพล่งขึ้นมา “มันไม่ถูกต้องซะทีเดียว ชูฮันยังไม่ได้รับตำแหน่งพลเอก และเนื่องจากตำแหน่งยังไม่ถูกรับ ทำไมเราต้องเกรงใจเขาด้วย?”
“ฉันเห็นด้วย!” มีคนเห็นด้วยขึ้นมาทันที “เราควรปลดชูฮัน”
ผู้บัญชาการมู๋มองไปที่พวกคนที่เข้าใจอะไรได้ยากตรงหน้าและอดไม่ได้ที่จะถอนหายออกมา เขาเองก็รู้สึกโมโหชูฮันเช่นกัน เมื่อมองไปที่เลาหมิงที่ก็กำลังนิ่วหน้าอยู่ ผู้บัญชาการมู๋ก็ถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นเราลงเสียงกันเถอะ ถ้าคำตัดสินมากกว่าครึ่ง ชูฮันจะไม่ใช่พลเอกอีกต่อไปและเราจะส่งข้อความป่าวประกาศอย่างเป็นทางการออกไป”
หลายคนต่างมีรอยยิ้มพึงพอใจปรากฏบนใบหน้า พวกเขาส่วนใหญ่ไม่ใช่พลเอกและมีอายุเยอะ ตวนเจียงเหว่ยที่เป็นถึงวิวัฒนาการระยะ 5 ก็เคารพต่อชูฮัน มันเป็นการเสียหน้าสำหรับพวกเขา
“ในกรณีนั้น เรามาเริ่มกันเถอะ”
การออกเสียงเริ่มขึ้นทันที ฝูงชนต่างลงเสียงกันอย่างเข้มงวดและจบทุกอย่างลงภายในเวลาหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น เลาหมิงมองไปที่กองกระดาษที่มีหลายเซ็นท์ แต่ละใบนอกเหนือจากจะลงเสียงว่าจะยอมรับหรือปลดชูฮันแล้ว ยังเต็มไปด้วยเหตุผลและการโจมตีซึ่งง่ายๆก็คือพวกที่ต้องการจะปลดชูฮันอยู่แล้ว
นอกจากนี้ การลงคะแนนก็เป็นแบบการเปิดเผยแต่ดูเหมือนว่าคนพวกนี้ได้ตัดสินใจที่จะเผชิญหน้ากับชูฮันไว้แล้ว
“เริ่มได้!” ผู้บัญชาการมู๋ถอยหายใจใส่เลาหมิง
“ครับ!” เลาหมิงพยักหน้า จากนั้นก็หยิบกระดาษแผ่นแรกขึ้นมา “ซันเพิ่งเทียน สนับสนุนการปลด!”
ขณะที่เสียงของเลาหมิงเริ่มจางลง คนที่อยู่ข้างๆก็เริ่มทำการจดบันทึกตัวเลขทันที เมื่อเวลาผ่านไปข้อมูลของทั้งสองฝ่ายที่ปรากฏบนกระดานคะแนนก็สามารถมองเห็นถึงความแตกต่างได้อย่างชัดเจน นอกเหนือจากคนไม่กี่คนที่ยังคงสนับสนุนชูฮันต่อไป กว่า10คนได้ลงเสียงให้กับแผนการการปลดชูฮันออก
“บันทึกเสร็จสมบูรณ์”
เมื่อบันทึกข้อมูลของกระดาษแผ่นสุดท้ายเสร็จสิ้นลง เลาหมิงและผู้บัญชาการมู๋ก็มองหน้ากันและกันทันทีอย่างไร้หนทาง หลังจากผ่านวันนี้ไป ชูฮันจะไม่มีตำแหน่งพลเอกอีกแล้วและเขากลัวว่ามันจะเป็นเรื่องยากขึ้นไปอีกในอนาคต
“ดังนั้น…” ผู้บัญชาการมู๋พูดขึ้นท่ามกลางความคาดหวังของทุกคน และในขณะที่ผู้บัญชาการมู๋กำลังจะเปิดปากพูดต่อนั่นเอง
“มีการเปลี่ยนแปลงในรายชื่อการต่อสู้ครับ!” จู่ๆก็มีนายทหารคนที่รายงานข่าวก่อนหน้านี้ก็วิ่งเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง ทว่าครั้งนี้เขากลับดูวิตกมากกว่าครั้งก่อน น้ำเสียงสั่นเทา แถมยังลืมแสดงความเคารพหลังจากเข้ามาอีกต่างหาก
“มันเกิดอะไรขึ้นในซางจิงถึงทำให้แกกล้าเข้ามาขัดการประกาศปลดชูฮัน” จวงฮงตัวสั่นด้วยความโกรธ “แกรู้กฎมั้ย? รายชื่อการต่อสู้มีการเปลี่ยนแปลงแล้วแกจำเป็นต้องวิ่งเข้ามารายงานด้วยหรือไง? ที่นี้มันดูเหมือนหน่วยข่าวกรองเหรอไง?”
“เปล่าครับท่าน ไม่ใช่” นายทหารคนนั้นมีท่าทีกังวล ไม่สนใจท่าทางการนับถือยศของพลเอกจวงฮงและรายงาน “ชูฮัน!”
“ชูฮัน?” จวงฮงพูดทวน จากนั้นก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย “เกิดอะไรขึ้นกับเขา? หรือจะบอกว่าจู่ๆมันก็ได้คะแนน S+ ?”
“ครับท่าน” แววตาของนายทหารเปล่งประกายทันที “เขาได้คะแนน S+!”
ปึก!
เสียงของเก้าอี้คว่ำเนื่องจากอาการตกใจจนหงายหลังของบางคนดังขึ้นในห้องประชุม
กลายเป็น S+ ? นี่มันเป็นไปได้ยังไง?
“อะไรน่ะ” จวงฮงคว้าปกเสื้อของนายทหารที่รายงานข่าวขึ้นมาพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อ “ทำไมคะแนนของชูฮันถึงกลายเป็น S+ ได้? แกโกหกใช่มั้ย?”
“ไม่ใช่อย่างแน่นอนครับท่าน ผมอ่านมันสองครั้งแล้วถึงได้มารายงานให้ทราบ!” นายทหารรีบอธิบายทันที “แม้ว่าผมจะไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง แต่คะแนนของชูฮันก็กลายเป็น S+ จริงๆครับ และก่อนหน้านั้นมันยังเป็น S อยู่เลย จู่ๆมันก็เปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน แม้แต่สีตัวและขนาดตัวอักษรก็เปลี่ยนไปด้วย ถ้าไม่เชื่อท่านไปดูเองได้เลยครับ!”
ผู้บัญชาการมู๋เหลือบมองไปที่กระดาษรวมคะแนนในมือของเลาหมิงและเอ่ยปากถามนายทหารหนุ่มด้วยน้ำเสียงจริงจัง “นายแน่ใจนะว่าจู่ๆคะแนนของชูฮันก็เปลี่ยนเป็น S+?”
นายทหารหนุ่มพยักหน้าทันที “รายชื่อของวิวัฒนาการระยะ 3 ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาเป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วโมง จนกระทั่งจู่ๆ มันก็มีแสงสีทองปรากฏขึ้น จากนั้นข้อมูลของชูฮันก็กลายเป็น S+”
ห้ะ!
นายทหารยศสูงหลายท่านต่างนั่งลงเก้าอี้ทันที พวกเขาทั้งตกใจและมึนงง…ชูฮันที่ก่อนหน้านี้ได้รับการประเมิณของการต่อสู้โดยรวมที่ S จู่ๆความสามารถของเขาก็เปลี่ยนไปเป็น S+
ถึง S และ S+ ต่างกันเพียงคำต่อท้ายตัวเดียว แต่มันต่างกันละเรื่องเลย
มีคนมากมายสามารถทำคะแนนระดับ S ได้ ทว่าผลการประเมิณคะแนนที่ระดับ S+ นั้นตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงปัจจุบัน มีเพียงแค่ชูฮันคนเดียวเท่านั้นที่ทำได้
ครั้งแรกคือโชคช่วย ครั้งที่สองคือเรื่องบังเอิญ แล้วครั้งที่สามล่ะ?
มันเป็นไปไม่ได้ที่จะรวมทั้งโชคช่วยและความบังเอิญ นี่มันคือความสามารถที่แท้จริงต่างหาก!
การจะได้คะแนน S มาครองนั้นแสนจะยากลำบาก แม้แต่เฉินช่าวเย่ยังต้องเข้าทดสอบถึง 2 ครั้งกว่าจะได้มันมา และก่อนหน้านั้นมีเพียงแค่ชื่อของเฉินช่าวเย่คนเดียวเท่านั้น และจู่ๆชูฮันที่ทำการทดสอบของระยะ 3 ครั้งแรกกลับได้คะแนน S เลยทันที แถมไม่มีการหยุดพักร่างกาย เพียงแค่หนึ่งชั่วโมงต่อมาเท่านั้นเอง S กลายเป็น S+ ทั้งๆที่ช่วงเวลาที่เฉินช่าวเย่ใช้ในการเปลี่ยนจาก A เป็น S นั่นแค่หนึ่งอาทิตย์เท่านั้น เนื่องจากมันเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะฟื้นพละกำลังมาได้หลังจากการทดสอบที่แสนโหด
ทว่า….ตรงกันข้าม ความสามารถของชูฮันได้บดขยี้เฉินช่าวเย่ไปไกลกว่าเป็นสิบเท่าเลย!
“หึ” เลาหมิงไม่คิดจะอดกลั้น เขาพยายามแสร้งทำสีหน้าจริงจัง “ฉันไม่ได้หัวเราะน่ะ”
“ฉันจะออกไปดู!” จวงฮงไม่อยากจะยอมรับและทนไม่ไหวจนต้องรีบออกไปด้านนอก เขาต้องการเห็นด้วยตาตัวเอง
พ้ะ พ้ะ พ้ะ——-
กลุ่มคนต่างพูดอะไรไม่ออก และรีบวิ่งตามจวงฮงออกไปดู จู่ๆทั้งห้องประชุมก็เหลือเพียงแค่ผู้บัญชาการมู๋ เลาหมิง และนายทหารหนุ่มที่มารายงานข่าว
เป็นอีกครั้งที่ผู้บัญชาการมู๋มองกระดาษในมือเลาหมิง “ฉันเริ่มจะแก่แล้ว ฉันกลัวว่าเราจะต้องเจอกับอีกหลายอย่างที่อาจทำให้หัวใจเต้นเร็วเกินจะรับไม่ไหว”
เลาหมิงเอากระดาษเก็บไปในกระเป๋าในเสื้อ แววตาเป็นประกายขณะมองหน้าผู้บัญชาการมู๋ และรอคอยคำพูดต่อไป
ตอนที่ 366
ข้อพิพาท
“พวกคนหนุ่มสาว มักจะชอบทำอะไรเกินหน้าเกินตาเสมอ” ผู้บัญชาการมู๋พูดขึ้น “ไอ้หนุ่ม นายช่วยชีวิตฉันไว้อย่างน้อย 10 ปี”
เลาหมิงไม่ได้พูดอะไรตอบ เขาเพียงแต่ขยับลูกตาจากนั้นก็มองไปที่ผู้บัญชาการมู๋ เลาหมิงสะบัดมือจากนั้นก็คว้าถ้วยชาขึ้นมาจิบ จากนั้นก็วางมือด้านขวาขึ้นมาบนโต๊ะและใช้นิ้วเคาะโต๊ะไปเรื่อยๆระหว่างจิบชา
นายทหารหนุ่มตรงเริ่มหน้าตาซีดขาว ยืนตัวแข็งอยู่กลางห้องโถงที่ว่างเปล่า และท่าทางหวาดกลัวจนตัวสั่น หัวใจเต้นระรัวขณะคิดในใจ…ที่เขาพึ่งได้ยินไปมันเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะได้ยินรึเป่า? เขาจะถูกฆ่าตายวินาทีต่อไปมั้ยเพราะไปได้ยินความลับสำคัญ?
“นายชื่ออะไร?” ผู้บัญชาการมู๋มองไปที่นายทหารหนุ่ม
“ผม—ผมชื่อเจิ้งท่าว ครับท่าน” นายทหารหนุ่มรีบแสดงความเคารพพร้อมตอบคำถามออกไป
“เจิ้งท่าว ฉันจะมอบภารกิจพิเศษให้ ฉันจะให้นายขึ้นเฮลิคอปเตอร์ นายเต็มใจปฏิบัติภารกิจมั้ย?” ทันใดนั้นผู้บัญชาการมู๋ก็พูดขึ้นมา
“ครับท่าน ผมรับรองว่าจะทำภารกิจให้สำเร็จครับ!” เจิ้งท่าวรีบตอบรับเสียงดังฟังชัด
“ไปพาตัวเหอเฟิงกลับมา” ประโยคถัดมาของผู้บัญชาการมู๋ทำให้เจิ้งท่าวต้องเหลือบตามอง
“เท่านั้นเหรอครับ?” เจิ้งท่าวหลุดปากถามออกไปอย่างไม่รู้ตัว จากนั้นเขาก็รีบยกมือขึ้นมาปิดปากทันทีที่รู้ตัวด้วยความกลัว มันอาจจะดูเป็นภารกิจธรรมดาทว่าบริบทที่เกิดขึ้นในยุคโลกาวินาศไม่มีอะไรธรรมดา ทุกอย่างเริ่มถอยหลังลง มันมีเฮลิคอปเตอร์ที่ใช้การได้เหลือไม่มากแล้ว และการส่งมันออกไปโดยเฉพาะเพื่อรับคนกลับมานั้นเห็นชัดได้ว่ามันต้องเป็นภารกิจที่สำคัญอย่างมากแน่นอน
“ให้แน่ใจว่าต้องพาเขากลับมาให้ได้ ตรงมาที่ซางจิงทันที เมื่อมาถึงให้มาหาเลาหมิงโดยตรง” ผู้บัญชาการมู๋ไม่ได้สนใจอะไรกับคำพูดหลุดปากของเจิ้งท่าวก่อนหน้านี้ หลังจากนั้นก็โบกมือให้เจิ้งท่าวไปได้ พลางหันไปหน้าเลาหมิงพร้อมพูด “ไปกันเถอะ ไปดูการเติบโตของคนรุ่นใหม่กัน”
ในขณะนี้ ณ กำแพงที่สูงที่สุดของค่ายซางจิง มีผู้คนมากมายมารวมตัวกันอยู่ตรงที่มีการฉายรายชื่อของวิวัฒนาการระยะ 3 ของการประเมิณผลโดยรวมของเสาหิน มันมีแถวของอักษรสีทองปรากฏอยู่บนแถวแรกสุด
ชื่อ: ชูฮัน
อายุ: 20
การประเมินผลโดยรวม: S+
อันดับ: อันดับ 1
จริงๆงั้นเหรอการประเมิณผลโดยรวมของชูฮันคือ S+!
ในขณะที่พวกกลุ่มทหารที่มียศสูงที่สุดในค่ายซางจิงก็ต่างพูดอะไรไม่ออกกันอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะพวกที่ก่อนหน้านี้สนับสนุนให้ทำการปลดชูฮันออกจากตำแหน่ง หากตอนนี้พวกเขากลับยืนแทบไม่อยู่…เพียงแค่ชั่วโมงเดียว ทุกอย่างกลับเปลี่ยนไป
ความแข็งแกร่งของชูฮันที่ครอบครองอันดับ 1 บนรายชื่อไว้เสมอ…ไม่มีใครหยุดเขาได้
ความเจ็บปวดและความเสียใจต่างผุดขึ้นในหัวใจของพวกเขา พวกเขาต่างอยากจะย้อนเวลากลับไปที่หนึ่งชั่วโมงก่อนและอยากจะตบหน้าตัวเองให้กับความโง่เขลาของตน ฝ่ายไหนดี? พวกเขาอยู่ฝ่ายชูฮันได้ใช่มั้ย?
การได้ผลประเมิณการต่อสู้โดยรวมที่คะแนน S+ ติดต่อกันสามครั้ง!
แม้แต่ครั้งเดียวก็ยังไม่มีใครทำได้ด้วยซ้ำ ชูฮันได้พิสูจน์ความน่ากลัวของเขาด้วยการกระทำที่ชัดเจนและนั่นคือสิ่งที่พวกเขาเป็นกังวลมาตลอด อะไรคือสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ระหว่าง S+ และ S? ทว่ามีเพียงชูฮันคนเดียวเท่านั้นที่รู้ความลับนี้ตั้งแต่แรกเริ่มจนจบ
ทั้งค่ายซางจิงเริ่มลุกเป็นไฟเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของอันดับที่หนึ่งในรายชื่ออันดับของวิวัฒนาการระยะ 3 หลายคนต่างจ้องไปที่กระดานและอีกหลายคนที่ส่งเสียงเฮ ราวกับตัวเองได้คะแนน S+ อย่างไรอย่างนั้น มันคือความสุขของพวกเขา เสียงดังสนั่นไปทั่วทุกส่วนของตัวค่ายผสมปนเปกับเสียงตื่นเต้นของคนอื่นๆ
“ชูฮันนั่นเอง!”
“ได้คะแนน S+ ติดต่อกันสามครั้ง และยังได้ครองตำแหน่งที่หนึ่งติดต่อกันทั้ง 3 ระยะอีก!”
“ฉันไม่รู้เลยว่าเขาจะสานต่อปฏิหาริย์นี้ไปได้ต่ออีกมั้ย?”
“มันต้องได้ ถึงแม้ตัวฉันจะทำไม่ได้ แต่ฉันชื่นชมเขา!”
“แม้ว่าความถี่ในการยกระดับของเขาจะช้ามาก แต่คนอื่นในระดับเดียวกันกลับไม่สามารถเอาชนะเขาได้!”
“ใช่ ไม่แน่แม้แต่วิวัฒนาการระยะ 4 ก็อาจจะยังไม่สามารถเอาชนะชูฮันได้!”
ถึงแม้ชูฮันจะยังไม่เคยปรากฏตัวที่ค่ายซางจิง ทว่าทุกคนกลับรู้จักเขากันเป็นอย่างดีพร้อมกับคลื่นแห่งความบูชาที่ได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งค่าย
“เอ่อ…นั่นใช่หัวหน้ามั้ย?!” ในขณะที่ทุกคนกำลังยืนอยู่จ้องไปที่กำแพง จู่ๆน้ำเสียงของเฉินช่าวเย่ก็ดังขึ้นมาจากทางหัวมุมพร้อมกับน่องไก่ที่ถือคาอยู่ในมือซ้าย
“หัวหน้าได้ผลการประเมิณการต่อสู้โดยรวมที่ S+!” เฉินช่าวเย่ที่ดูเหมือนจะไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าของผู้คนรอบๆเลยแม้แต่น้อย และเป็นอีกครั้งที่เหมือนเฉินช่าวเย่ได้โรยเกลือลงไปบนปากแผล “เฮ้ หัวหน้ามักจะได้คะแนนประเมิณการต่อสู้โดยรวมที่ S+ ทุกครั้งเลย แถมยังดีกว่าฉันตั้งเยอะ”
“ก็ ฉันแค่จะบอกว่าชูฮันกำลังมา?” เฉินช่าวเย่พูด
และในตอนนั้นเอง จู่ๆเสียงของเลาหมิงก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง เขาแกล้งทำท่าแคะหูเหมือนไม่ได้ยิน “ฉันไม่ค่อยเข้าใจ นายช่วยพูดอีกทีได้มั้ย?”
หน้าของนายทหารยศสูงหลายคนขึ้นสี บางคนจ้องไปที่จมูกของเลาหมิงและได้แต่พูดอะไรไม่ออก นี่เลาหมิงตั้งใจออกมาโดยเฉพาะเพื่อหักหน้าพวกเขา!
พวกเขาจะพูดอย่างไรได้อีก?
เฉินช่าวเย่รู้สึกกลัวอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อมองไปที่สีหน้ายิ้มแย้มที่ดูแฝงไปด้วยยาพิษของเลาหมิงและสายตาที่เต็มไปด้วยอาการล้อเลียน เขาใช่คุณปู่ของเลาเสี่ยวเสียวจริงๆ ทั้งบุคลิกและลักษณะของปู่กับหลานช่างเหมือนกันมากจริงๆ แม้แต่คำพูดก็ยังเหมือนกัน
———
“ถุย—” ชูฮันถุยเลือดออกมาจากปากทันทีที่ออกมาจากเสาหิน
โลกคู่ขนานของระยะ 3 นั่นยากกว่าของระยะ 2 ประมาณสิบเท่าได้ สัตว์ประหลาดที่แสนอันตรายอยู่ทั่วทุกจุด พวกมันดูน่าสยดสยอง สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือการฆ่าต่อไปไม่หยุด
อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่สามารถหนีไปได้ก็จะไม่สามารถสำรวจพื้นที่ต่างๆของโลกคู่ขนานได้อย่างสมบูรณ์
ตอนที่ 367
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเขาได้ชิ้นส่วนของระบบล่มสลายชิ้นที่สามมาแล้ว ดังนั้นสถานการณ์ของแม่เขาก็เริ่มจะดีขึ้นมาและก็เริ่มเข้าใกล้การปลุกแม่เขาขึ้นมาไปอีกก้าวหนึ่ง!
ในขณะที่เสาหินอีกเสาหินหนึ่งอยู่ห่างไป เหล่าวิวัฒนาการทั้งหมดได้ออกมาจากเสาหินแล้ว บางคนได้รับผลลัพธ์ที่ดีพอสมควร บางคนที่เป็นวิวัฒนาการระยะ 1 และทำการทดสอบครั้งแรกก็ได้คะแนนก้าวกระโดดไปถึง B หากวิวัฒนาการระยะ 2 บางคนก็โดนฆ่าตายในการทดสอบ พวกเขาต่างเสียหน้าและอับอายที่พวกเขาส่วนใหญ่ไม่ผ่านการทดสอบกัน มีเพียงแค่ไม่กี่คนที่ได้คะแนน F ขณะที่คนอื่นๆตกการทดสอบ
ทว่าคนพวกนี้ก็ไม่ได้รู้สึกแย่ไปนานเท่าไหร่ ด้วยเพราะหลังจากนั้นพวกเขาก็ต่างรู้สึกช็อคขณะมองไปที่รายชื่ออันดับของระยะ 3 สายตาของทุกคนเต็มไปด้วยความประหลาดใจและตกใจพร้อมกับอารมณ์ซับซ้อนมากมายที่แฝงอยู่
ชื่อของชูฮันปรากฏอยู่บนสุดแถมยังเปล่งประกายอย่างโดดเด่น
หลูปิงเซ่อและวิวัฒนาการระยะ 2 ที่ออกมาก่อนได้แต่ยืนช็อค คะแนน S ในครั้งแรกนั่นก็ทำให้พวกเขาตกใจอยู่แล้ว แต่มันก็ไม่นานหลังจากนั้นเท่าไหร่ที่จู่ๆคะแนนของชูฮันก็เปลี่ยนเป็น S+ เรื่องที่น่าเหลือเชื่อได้ปรากฏต่อหน้าต่อตาพวกเขา ทำให้พวกเขาตอบสนองอะไรไม่ถูกไปครู่หนึ่ง
ใครๆก็สามารถทำการประเมิณการต่อสู้โดยรวมได้ทุกเมื่อ การตกการทดสอบก็สามารถทำใหม่ได้เช่นกัน อย่างเช่นเฉินช่าวเย่ที่ใช้เวลาหนึ่งอาทิตย์เพื่อทำการครั้งทดสอบครั้งที่สองจนได้คะแนน S ไปครอง ใครก็ตามที่อยากจะไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆสามารถทำได้เสมอ ท้ายที่สุดแล้วผลการทดสอบก็คือความสามารถทางกายภาพของแต่ละคน
ในระยะที่ 1 และ 2 มันมีจำนวนวิวัฒนาการอยู่มากเกินไป และมันก็เป็นเรื่องยากที่จะเดินทางไปค่ายผู้รอดชีวิตขนาดใหญ่ แต่วิวัฒนาการที่มีชื่อเสียงในระยะ 1 และ 2 จะแตกต่างออกไป ทางกองทัพจะเสนออาหารและที่พักให้ โดยไม่ต้องกังวลอะไร และที่สำคัญกว่านั้นคือจการได้รับความเคารพจากเหล่าผู้รอดชีวิตและเหล่าวิวัฒนาการทั่วไปที่อันดับต่ำกว่า
การมีอันดับสูงๆคือสิ่งที่วิวัฒนาการและพรสวรรค์ทุกคนต่างใฝ่ฝัน ที่จะมีเพียงแค่เมื่ออันดับของพวกเขาได้มาถึงระดับที่พวกเขาเริ่มมีตัวตนและสถานะในสังคม
เหมือนกับชูฮันที่เมื่อชั่วโมงก่อนคะแนนเป็น S และพอชั่วโมงถัดมาก็เปลี่ยนเป็น S+ นี่มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อน
โดยปกติหลังจากการทดสอบ ร่างกายของทุกคนมักจะเหนื่อยล้าและบอบช้ำ จำเป็นต้องได้รับการพักผ่อนและถึงแม้หลังจากออกมาจากการทดสอบด้วยร่างหายปกติทว่าร่างกายก็จะเหนื่อยล้าเกินกว่าจะทำอะไรได้ ทว่าชูฮันกลับเข้าไปทำการทดสอบต่อทันที เขาแกร่งกว่าคนธรรมดาไปแล้ว
เขาไม่เหนื่อยเลยเหรอไง?
นอกเหนือจากอาการช็อคและไม่อยากจะเชื่อของทุกคนแล้ว หลูปิงเซ่อก็ยิ่งแทบจะเป็นลมกับความคิดของตัวเอง การประจวบเหมาะของเวลาเป็นอะไรที่แย่มาก ถ้ามันมีเสาหินบริเวณนี้อยู่เพียงแค่อันเดียว แล้วที่ก่อนหน้านี้ืั้วิวัฒนาการระยะ 3 คนนั้นเข้าๆไปคืออะไรกัน ตอนนี้หลูปิงเซ่อคิดว่าคนที่ฆ่างูของเขาก็คือ ชูฮัน นั่นเอง!
มันเป็นไปไม่ได้ใช่มั้ย? ไม่มีเหตุผล? มันมีช่องโหว่มากเกินไป!
ขณะที่หลูปิงเซ่อยังคงใช้สัญชาตญาณของตัวเองขบคิดสถานการ์ตรงหน้าอยู่ในหัวกลับไปกลับมาจนแทบจะไม่ไหว
และตอนนั้นเอง——
“โอ้ะ เป็นไง!” ชูฮันเดินฝ่าหมอกออกมา สีหน้าเขามีเลศนัย รอยยิ้มแฝงไปด้วยเล่ห์บางอย่าง
เมื่อได้เห็นชูฮันเดินออกมาจากอีกที่หนึ่ง วิวัฒนาการหลายคนก็มีท่าทีเอะใจ
“ฉันจำได้ว่านายก็เป็นวิวัฒนาการระยะ 3 เหมือนกัน?” วิวัฒนาการระยะ 2 คนหนึ่งพูดขึ้นมา
หากชูฮันตอบกลับเพียง “แล้วไง?”
“ชูฮันก็เป็นวิวัฒนาการระยะ 3 เหมือนกันไง!” มีคนตอบโต้ทันที
“ใช่ ชูฮันได้คะแนนการประเมิณ S+ อันดับที่หนึ่งของวิวัฒนาการระยะ 3 และพลังของนายก็แข็งแกร่งมากเหมือนกัน”
มันเกิดปัญหาขึ้น เนื่องจากหมอกและเสาหินอันที่สองที่อยู่ในทะเลสาบ ทุกคนจึงไม่รู้ว่าคนที่พวกเขากำลังพูดถึงกันอยู่กำลังยืนอยู่ต่อหน้าพวกเขานั่นเอง พวกเขาได้แค่สงสัยเท่านั้น ส่วนหลูปิงเซ่อเองก็จ้องไปที่ชูฮันอย่างรอคอยคำตอบ
“ฉัน…” ชูฮันเว้นจังหวะเพราะหวังไคกำลังกลิ้งไปมาอยู่ในกระเป๋าเขา “ชื่อคือหวังไค และฉันไม่ได้เข้าร่วมการทดสอบ”
เมื่อชูฮันพูดแบบนั้นออกมา หลายคนต่างประหลาดใจจนอ้าปากกว้าง
“หวัง หวังไค?” หลูปิงเซ่อมองไปที่ชูฮันอย่างไม่อยากจะเชื่อ เขาไม่คิดว่าชื่อของผู้ชายที่ทรงพลังจนน่าหวาดกลัวจะตลกได้ถึงขนาดนี้ แถมคำตอบก็ยังเหนือความคาดหมายอีก
คนที่เหลือต่างสนใจประเด็นที่ชูฮันบอกว่าไม่ได้เข้าร่วมการทดสอบ
“ทำไมนายไม่เข้าไปในเสาหิน?”
“นายแข็งแรงจะตาย รับรองนายจะต้องได้อันดับที่ดีแน่ๆ”
“ใช่! และถ้านายไปที่ค่ายใหญ่ๆหรือซางจิง นายจะได้รับการปฏิบัติอย่างดีทันทีที่ไปถึง”
ชูฮันได้แต่เพียงยิ้มให้กับคำพูดของทุกคนและถามคำถามออกไป “ค่ายซางจิงสามารถมอบคริสตัลของซอมบี้ระยะ 2 ให้ฉันร้อยๆชิ้นต่อวันได้มั้ย?”
เฮือก—–
ทุกคนตกใจจนอ้าปากค้างกว้างทันทีที่ได้ยินคำพูดที่ทำให้แทบสำลักของชูฮัน แน่นอนว่ามันไม่มีทางที่ค่ายผู้รอดชีวิตจะสามารถหาคริสตัลจำนวนมากขนาดนั้นต่อวันได้ นอกเหนือจากอาหาร ที่พักและผู้หญิง ของพิเศษอย่างเช่นคริสตัลจำเป็นต้องนำไปเก็บไว้ ค่ายทั้งหลายไม่เคยใช้คริสตัลเป็นรางวัลมอบหมายให้ใคร อีกทั้งเหล่าผู้รอดชีวิตธรรมดาก็ไม่รู้ด้วยคริสตัลมีไว้ทำอะไร
ผู้คนในกลุ่มต่างรู้ดีว่าชูฮันสามารถหาคริสตัลได้จำนวนมากขนาดไหนต่อวัน ไม่ว่าคริสตัลพวกนี้จะเป็นอะไร แต่ค่ายใหญ่ๆทั้งหลายต่างกำลังเก็บรวบรวมมันเป็นจำนวนใหญ่ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี
“นาย นายนี่มัน!” หลูปิงเซ่อพูดอะไรไม่ออกอย่างสิ้นเชิง มันเป็นครั้งแรกที่เขาเคยเห็นคนแบบนี้ และเพราะเช่นนั้นหลูปิงเซ่อจึงตัดชูฮันออกจากคนที่น่าสงสัยทันที ด้วยเพราะคนแบบนี้ไม่น่าจะเป็นคนที่มีชื่อเสียงอย่างชูฮันได้
กลุ่มคนเดินย้อนกลับไป หวังไคก็ตะโกนขึ้นในหัวชูฮัน “นายขโมยชื่อฉัน ไอ้คนโกหก!”
“ไม่มีอะไรต้องโกหก” ชูฮันพูดน้ำเสียงจริงจัง “ฉันบอกว่าชื่อหวังไค ไม่ได้บอกว่ามันคือชื่อฉัน ฉันบอกว่าฉันไม่ได้เข้าร่วมการทดสอบ ก็นายก็ไม่ได้เข้าร่วมการทดสอบจริงๆ เพราะคนที่เข้าร่วมการทดสอบคือพ่อมึงไง”
หวังไคถึงกับตะลึงงัน ทำไมชูฮันถึงใช้ช่องโหว่ทางภาษามาพูดแบบนี้?
และในขณะที่ผู้คนเริ่มสัมผัสได้ถึงลมเย็นของฤดูใบไม้ผลิ บางคนก็กลับไปอย่างขื่นขมกับความผิดหวัง หากหมู่บ้านที่พวกเขาออกเดินทางจากมาในตอนนี้กำลังจะเผชิญหน้ากับแขกที่ไม่ได้รับเชิญ
ตอนที่ 368
บี๋เทียนยิ้มพลางมองไปที่หมู่บ้านเล็กๆตรงหน้าที่มีทิวทัศน์สวยงามและไม่ได้สลายหายไปตามวันสิ้นโลก แถมยังมีมนุษย์มากหน้าหลายตาอยู่ในหมู่ล้านและก็ไม่ได้มีวิวัฒนาการมากนัก ถือเป็นร้านอาหารขนาดใหญ่ที่เหมาะสำหรับเขา…
มนุษย์คืออาหารสำหรับบี๋เทียน ยาชูกำลังที่ดีที่สุดที่จะเพิ่มพละกำลังในการต่อสู้ให้ร่างกายเขา แม้มันจะไม่รวดเร็วและโดยตรงเหมือนกับลูกผสมก็ตาม
บี๋เทียนมองตัวเองที่ไม่ได้จัดอยู่ในหมวดหมู่ของมนุษย์และก็ไม่ใช่ลูกผสมเช่นกัน นิ้วของเขาทั้งแห้งและเหี่ยวติดกระดูก ส่วนแขนก็ยาวเหยียวและบางอย่างสีดำที่คลานอยู่ใต้ผิวหนังของเขาที่ดูพร้อมจะปะทุออกมา
บี๋เทียนค่อนข้างไม่เข้าใจ คนที่กินเนื้อคนจะกลายเป็นลูกผสม ความกลัวที่มีต่อลูกผสมของบี๋เทียนลดลงไปเยอะ เขารู้แล้วว่าลูกผสมคือชื่อของสายพันธุ์ ก็เหมือนกับมนุษย์ พวกมันมีความคิด ยกเว้นที่ว่ามนุษย์คือเหยื่อในปากของลูกผสม เพียงแค่สวมชุดคลุมสีดำลูกผสมก็จะดูไม่ต่างอะไรจากมนุษย์
แต่การกินเนื้อลูกผสม บี๋เทียนไม่รู้เลยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น รอยโป่งตรงมือและแขนของเขาและอาการครั่นเนื้อครั่นเนื้อทำให้เขารู้สึกกลัว
วร๊าก!
วร๊าก!
ซอมบี้พวกนี้กำลังมาหาเขา พวกมันเป็นเพียงซอมบี้ระยะ 1 ความสามารถดั้งเดิมของลูกผสมในการควบคุมซอมบี้ทำให้เขารู้สึกดีมาก พวกซอมบี้เป็นเหมือนกับลูกหมาในกำมือ พวกมันไม่สามารถขัดความต้องการของเขาได้ แม้ในตอนนี้ที่พึ่งแรกเริ่มเขาจะสามารถควบคุมได้เพียงแค่ซอมบี้ระยะ 1 แต่พลังของเขาก็มากกว่าลูกผสมตัวอื่นที่ระยะเดียวกัน
ใครจะรู้ว่าเขาจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน!
ที่สำคัญก็คือ เขาสามารถใช้ซอมบี้กลุ่มแรกนี้ล่อให้ซอมบี้ตัวอื่นตามมาร่วมมือด้วยได้ ความโน้มเอียงของมนุษย์ยังคงมีหลงเหลืออยู่ในตัวซอมบี้ ซึ่งในขณะนี้มันมีฝูงซอมบี้มากกว่า 500 ตัวกำลังมุ่งหน้าไปที่หมู่บ้าน
ฝูงซอมบี้ นี้มันฝูงซอมบี้!
แววตาของบี๋เทียนเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง พวกซอมบี้จะไม่โจมตีลูกผสม มันเป็นความรู้สึกที่ดีชะมัด!
การมาถึงของฝูงซอมบี้ทำให้ผู้คนต่างรู้สึกกระวนกระวาย ในไม่ช้าหมู่บ้านขนาดเล็กก็เต็มไปด้วยซอมบี้จำนวนมาก เสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวและสิ้นหวังดังขึ้นมาเรื่อยๆไล่ตามบ้านทีละหลัง มีแขนขาฉีกขาดกระจายไปทั่วทุกที่และเลือดที่เจิ่งนองอยู่บนพื้น
มันเหมือนกับมีความบ้าคลั่งได้แวะเข้ามาทำลายล้างทั้งสถานที่นี้จนไม่เหลือซาก
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” บี๋เทียนหัวเราะและวิ่งเข้าไปในหมู่บ้าน เขาคว้าแขนของเด็กชายตัวน้อยขึ้นมาและฉีกออก มันดูบ้าคลั่งราวกับซอมบี้ แม้แต่ความเร็วของบี๋เทียนยังรวดเร็วกว่าซอมบี้ด้วยซ้ำ เขาสะบัดเนื้อมนุษย์ในมือตัวเองจากนั้นก็ยกขึ้นกิน
รอยโป่งตรงแขนของบี๋เทียนนั่นเกิดจากการกินไม่หยุดและความถี่ของการกินของเขาทำให้มันมีแนวโน้มที่จะระเบิดออกมา
ภายในร้านอาหาร เด็กชายหูหนวกไม่ได้รับรู้เลยว่าตอนนี้ทั้งหมู่บ้านเต็มไปด้วยเลือดและความสยดสยอง ไม่มีใครนึกมาก่อนว่าหลังจากวันนี้หมู่บ้านจะไม่เหลืออีกต่อไปแล้ว เด็กน้อยยังคงนั่งอมลูกอมพร้อมกับตาโตแป๋วที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย
กองซากศพด้านนอกอยู่ห่างออกไปจากตัวร้านเพียงแค่สิบกว่าเมตรเท่านั้น ซึ่งเห็นได้ชัดว่าคงจะเป็นศพของบ้านที่อยู่ข้างๆ พวกซอมบี้ยังคงไม่หยุดอาละวาด รวมถึงบี๋เทียนที่เดินผ่านร้านที่ประตูปิดสนิทไปมาหลายครั้งแล้ว เขาสัมผัสได้ถึงผู้หญิงและเด็กที่ยังเหลืออยู่
แต่เหมือนว่าพวกเขาจะหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ?
จางโบฮั่นจ้องไปที่เจิ่งเทียนอี้ท่ามกลางความเงียบที่รอคอยให้คลื่นลูกนี้พัดผ่านพ้นไป หน้าผากของเธอเริ่มมีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อยด้วยความกดดันและกังวลที่ล้นอก หากท่าทางที่แสดงออกมากลับนิ่งเฉย ราวกับไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น
พ้ะ! พ้ะ!
ทันใดนั้นมันก็มีเสียงบางอย่างดังขึ้น จางโบฮั่นตกใจพลางหันกลับไปมองด้านหลัง และก็ได้เห็นร่างโอนเอียงไปมาของคนหนึ่งเดินออกมาจากทางประตูด้านหลังพร้อมกับถือขวดขวดหนึ่งในมือ
“ไอ้หัวขโมย นี่แกกล้าขโมยไวน์ของฉันงั้นเหรอ?” จางโบฮั่นเนื้อตัวสั่นเทิ้ม ไวน์ขวดนี้มีมูลค่าถึงคริสตัล 2 อันเชียวนะ!
แม้จะตกใจแต่อีกใจหนึ่งจางโบฮั่นก็ประหลาดใจพอกัน เธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามีคนอื่นอยู่ในบ้านเธอ
คนขี้เมาสะบัดหัวหลังจากคิดว่ามันจะช่วยให้รู้สึกตัวขึ้นนิดหน่อยและก็มองเห็นสถานการณ์ด้านนอกร้าน ชายคนนั้นมีท่าทางช็อคและหวาด เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงกระซิบและงุนงง “เกิดอะไรขึ้น? ฝูงซอมบี้?”
“ป้าป” จางโบฮั่นตีเข้าที่ปากของชายคนนั้น
ชายขี้เมาดูภายนอกแล้วน่าจะอายุประมาณ 30 ปีได้ เขานั่งลงบนโต๊ะเอนตัวพิงจางโบฮั่น เนื้อตัวสั่นเทิ้มพร้อมตะโกน “ฉันอยากจะบ้าตาย ฉันวิ่งหนีมาที่นี้เพื่อลี้ภัย แต่ที่นี้ก็มีหายนะตามมาอีก!”
สีหน้าของขางโบฮั่นเริ่มแย่ ไอ้ผู้ชายบ้าคนนี้มันคือใครกัน!
“มันแย่มาก มันอันตรายมาก ทุกอย่างมันคือความเศร้าโศก!” ชายคนนั้นไม่ได้สนใจสีหน้าของจางโบฮั่นและพิงน้ำหนักลงบนขาของเธอหนักขึ้น แถมยังยกไวน์ขึ้นดื่มอีก “แม่งเอ๊ย!”
“แม่งเอ๊ยผีมึงสิ!” ขางโบฮั่นเตะชายคนนั้นออกไป “โรคประสาท? อยู่ให้ห่างจากฉัน!”
หลังจากนั้น ไม่เพียงแต่ชายคนนั้นจะไม่จากไป แต่เขากลับดูหวาดกลัวมากกว่าเดิม เขานั่งคุกเข่ากอดเท้าจางโบฮั่นแน่นอยู่ที่พื้น “ไม่ ฉันไม่ไป บอกฉันที ฝั่งนี้ปลอดภัยที่สุดแล้ว พวกมันล้อมเราไว้ระยะ 2 เมตรโดยรอบ”
หลังจากได้ยินคำพูดที่พ่นออกมา ทันใดนั้นจางโบฮั่นก็เบิกตากว้างและมองไปที่แผ่นหลังของผู้ชายที่คุกเข่าอยู่ที่บ้านและจับข้อเท้าเธอ “แกเป็นใคร?”
มันรู้ได้ยังไงว่ามันปลอดภัยที่สุด? ผู้ชายคนนี้รู้อะไรมา?
“ฉันเป็นผีเร่ร่อน” ชายคนนั้นแสดงฟันเหลืองอ๋อยและปากที่เต็มไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอร์ให้จางโบฮั่นดู จากนั้นก็ยิ้มและพูด “ฉันเป็นหมอดู อยากจะลองดูมั้ยล่ะ? แค่คริสตัลหนึ่งชิ้น ฉันเห็นว่าหน้าผากของคุณเนี่ย—–“
“ปัง!”
จางโบฮั่นเตะผู้ชายคนนั้นเข้าอีกครั้ง พร้อมสบถออกมาอย่างโมโหร้าย “ลองอีกครั้งสิ!”
“ไม่กล้าแล้ว” ชายคนนั้นรีบพาตัวกลับมานั่งข้างจางโบฮั่นอีกครั้งพลางคิด…แม้ผู้หญิงตรงหน้าเขาไม่ค่อยน่าคบหาเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยก็เป็นผู้ช่วยชีวิตเขา
เสียงของพวกซอมบี้เริ่มไปอีกเส้นทางหนึ่งแทน ในที่สุดจางโบฮั่นก็หายใจได้อย่างโล่งอก เธอพยายามกลั้นหายใจไว้ให้ได้นานที่สุดก่อนที่คลื่นซอมบี้จะพัดผ่านไป เธอเคยประสบกับสถานการณ์ที่เจอกับฝูงซอมบี้แบบนี้มาหลายครั้งแล้ว ทำให้เธอเริ่มเข้าใจว่าพวกมันจะเคลื่อนที่ตลอดเวลาและไม่นานพวกมันก็จะจากไปหลังจากฆ่าเรียบร้อย
เพียงแค่
ทันใดนั้นจางโบฮั่นก็มองไปที่เจ้าผีเร่ร่อนตรงเท้าเธออีกครั้ง ความสงสัยในนัยน์ตาของเริ่มจริงจังมากขึ้นเรื่อยๆ ไอ้ผู้ชายประหลาดคนนี้มาจากไหนกัน? มันพึ่งเป็นเวลา 5 เดือนเองหลังจากการปะทุ มันเป็นไปได้แล้วเหรอที่จะเริ่มมีคนบ้าออกมาเพ่นพ่าน?
หรือว่า เขาจะเป็นเหมือนกับเธอ?!
ตอนที่ 369
ขณะที่เจ้าผีเร่ร่อนมีสีหน้ากังวลและขยับปากเหมือนกำลังพูดกับตัวเองอยู่ ทันใดนั้นเขาก็จ้องไปที่มือที่สั่นๆดูตระหนกของจางโบฮั่น
“แกจะทำอะไรอีก” จางโบฮั่นปวดหัวกับผู้ชายบ้าข้างๆนี่มานานแล้ว และตอนนี้เธอก็มองว่าเขาเป็นศัตรูและรอไม่ไหวที่จะอัดเขา
“อันตราย——” เสียงของายหนุ่มแผ่วลง
“ปัง!”
จู่ๆประตูของร้านก็ถูกเตะเปิดออก ตามมาด้วยร่างที่ดูโหดร้ายเดินเข้ามา
จางโบฮั่นช็อค เธอกอดเจิ้งเทียนอี้ไว้แน่นพร้อมกับปิดตาเขาไว้ ไม่ปล่อยให้เด็กน้อยเห็นภาพอะไร ตราบใดที่พวกมันเป็นซอมบี้ แต่ให้มันจะพัฒนาไปมากแค่ไหน ซอมบี้ก็ไม่มีทางหาพวกเธอเจอเพราะพวกมันมองไม่เห็น
ส่วนเจ้าผีเร่ร่อนนั้นต่างจากจางโบฮั่นโดยสิ้นเชิง เขากำลังกำมือของจางโบฮั่นไว้ด้วยความกลัวและอยากจะดึงเธอออกไป
อย่างไรก็ตาม จางโบฮั่นแทบรอไม่ไหวที่จะได้ฆ่าไอ้ผีเร่ร่อนนี้ทิ้งซะ โชคร้ายที่เธอไม่สามารถส่งเสียงได้ในตอนนี้ ไม่เช่นนั้นเธอจะถูกพบตัว ความสามารถของเธอไม่เกี่ยวข้องกับพละกำลังใดๆ เธอทำได้แต่หลบเลี่ยง
ขนะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังเล่นสงครามประสาทกันไปมา บี๋เทียนก็หมุนตัวและ “พวกแกกำลังทำอะไร?”
เฮือก!
ทั้งชายหนุ่มและจางโบฮั่นต่างยืนชะงักพร้อมกัน ทั้งคู่จ้องไปที่ภาพตรงหน้าด้วยปากอ้ากว้าง
“แก? แกพูดได้?” จางโบฮั่นที่ก่อนหน้านี้ยืนนิ่งไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองตกใจอย่างมาก เธอมักจะพึ่งความสามารถในการหลีกเลี่ยงซอมบี้ของเธอเสมอ เธอไม่เคยต่อสู้มาก่อน หลังจากที่ได้เจอกับหลูปิงเซ่อพวกเขาร่วมมือกันและเริ่มสร้างเรื่องราวเพื่อหลอกเอาคริสตัลจากเหล่าวิวัฒนาการ พวกเขายังไม่เคยต้องเผชิญหน้ากับลูกผสมเลยสักครั้ง ดังนั้นในตอนแรกจางโบฮั่นจึงคิดว่าทั้งหมดเป็นซอมบี้เหมือนกัน แต่เมื่อได้รู้ว่ามีลูกผสม ปฏิกิริยาตอบสนองของเธอจึงตกใจอย่างมากเมื่อมันแทบไม่มีความต่างเลยที่บ่งชี้
ชายหนุ่มหันหน้าขวับไปจ้องจางโบฮั่น “บอกให้หนีไป”
บี๋เทียนแสยะยิ้ม มันอ้าปากพร้อมกับกลิ่นเหม็นเน่าอันน่ารังเกียจก็โชยตามออกมา แสดงให้เห็นฟันสีขาวและเขี้ยวที่ชุ่มไปด้วยเลือด “ฉันไม่คิดเลยว่าจะได้เจอกับคนพิเศษ แม้แต่พวกซอมบี้ก็ยังหาตัวพวกแกไม่เจอ ความสามารถนี้พิเศษชะมัด!”
ก่อนหน้านี้บี๋เทียนก็ได้แต่สงสัย ทั้งๆที่ฝูงซอมบี้ออกอาละวาดอย่างบ้าคลั่งทั้งหมู่บ้าน ทว่าร้านอาหารนี้กลับยังอยู่ในสภาพที่ดีปกติ ไม่มีซอมบี้เข้าไปในร้านสักตัว บี๋เทียนเองในตอนแรกก็เลือกที่จะเชื่อสัมผัสของซอมบี้ก่อนเหมือนกัน ทว่าโชคร้ายที่ทั้งหมู่บ้านโดยสังหารจนหมดและตัวบี๋เทียนก็ได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นระยะ 2 สำเร็จ ผลจากการกินอย่างต่อเนื่อง และทันใดนั้นเองมันก็รู้สึกว่าบางอย่างไม่ถูกต้อง
ร้านนี้มันดูสะอาดเกินไป และปกติถึงแม้ซอมบี้จะเดินผ่านไปโดยไม่เข้าไปข้างใน แต่อย่างน้อยมันก็ต้องทำท่าสูดดมกลิ่นและอย่างน้อยก็ต้องสัมผัสได้ถึงร่องรอยบางอย่าง…แต่นี้มันสะอาดเกินไป
เห็นได้ชัดว่ามันมีอะไรบางอย่าง!
แน่นอนว่ามันไม่คิดเลยว่าเมื่อเข้ามา จะได้เจอกับเนื้อสดๆ 3 ตัวตรงหน้า
“แกพูดได้อย่างไร?” จางโบฮั่นยังคงตกใจอยู่
“ป้า! อย่าไปคุยกับมัน! มันเป็นลูกผสม!” ชายขี้เมาอยากจะร้องไห้ ให้ตายเถอะ! ป้านี้ไม่แม้แต่จะรู้จักลูกผสม ป้านี่มีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้ยังไงกัน?
บี๋เทียนแสยะยิ้มและแลบลิ้นของมันออกมาเลียริมฝีปาก ซอมบี้ไม่กี่สิบตัวถูกบี๋เทียนสั่งให้รวมตัวกันอยู่ด้านหลัง พวกมันอ้าปากแยกเขี้ยวและส่งเสียงคำรามตื่นเต้นกันใหญ่
“หุบปาก! พวกมันเป็นของกู” บี๋เทียนพุ่งตัวไปทางพวกซอมบี้ที่อยู่ด้านหลังจากนั้นก็ควบคุมพวกมันให้ยืนกั้นทางเข้าจากซอมบี้ที่เหลือไว้ เพราะสุดท้ายแล้ว เขาสามารถควบคุมได้แค่ซอมบี้ไม่กี่สิบตัวเท่านั้น แต่ซอมบี้ที่บุกเข้ามาในหมู่บ้านนี้มีจำนวนถึง 500 ตัว
—————-
กลุ่มวิวัฒนาการรีบวิ่งฝ่าภูเขาและป่า ความเร็วนั้นยิ่งกว่าเมื่อตอนขามา ด้วยเพราะหนึ่งมันเป็นถนนที่เต็มไปด้วยแสงสว่าง และสองเพราะมันมีการพัฒนาการด้านการต่อสู้เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ทว่าเมื่อพวกเขาเริ่มเข้าใกล้เขตหมู่บ้าน พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ผิดปกติ
“พระเจ้า! กลิ่นเลือด!” หลูปิงเซ่อโพล่งขึ้นมาพร้อมกับคิ้วที่ขมวดย่น
“มันเกิดอะไรขึ้น มีฝูงซอมบี้บุกมาเหรอ?”
“ฝูงซอมบี้?” อีกคนรีบตอบทันที “มันมีฝูงซอมบี้ผ่านหมู่บ้านไป 3 ครั้งแล้ว มันน่าจะปลอดภัยแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“ทุกครั้งที่เราโดนโจมตี เราก็จะฟื้นฟูหมู่บ้านขึ้นมาใหม่” วิวัฒนาการระยะ 2 มีสีหน้าเคร่งเครียด มันยากที่จะจินตนาการว่าเขาได้พบเจออะไรมาบ้างตลอดเวลาที่ผ่านมา
ในขณะนั้นเอง ภาพของหมู่บ้านข้างหน้าก็สะท้อนอยู่ในแววตาของทุกคน ซากปรักหักพัง รอยเลือด แอ่งเลือด ชิ้นส่วนกระดูก ทั้งหมู่บ้านเหลือเพียงแต่ซากศพ
“ตอนนี้ฝูงซอมบี้ยังไม่ผ่านไป พวกเราทำได้แค่รออยู่ที่นี้ มันอันตรายมากเกินไปที่จะเข้าไป”
“ใช่ เราควรรอจนกว่าฝูงซอมบี้จะกระจายตัวไป”
“โชคดีที่หลูปิงเซ่อฝากเจิ้งเทียนอี้ไว้กับป้าจางโบฮั่น”
“พวกเขา…” หลูปิงเซ่อที่กำลงจะตอบ ทว่าทันใดนั้นเขาก็ต้องหันหน้ากลับไปและตะโกน “หวังไค พี่จะทำอะไร?”
จู่ๆร่างของชูฮันก็อยู่ห่างออกไปหลายร้อยเมตรแล้วก่อนที่ทุกคนจะรู้ตัว เขาไม่ได้หยุดรอเหมือนวิวัฒนาการคนอื่น ชูฮันไม่ลังเลสักนิดที่จะออกไป การเจอซอมบี้ไม่ได้ทำให้ชูฮันรู้สึกกลัวเลยสักนิด หากเขาถือว่าเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำเพราะเขาจะได้เก็บคะแนน!
“เขาบ้าเหรอไง?” วิวัฒนาการหลายคนตะโกนเสียงดัง
“อย่าคิดว่าพวกมันจะไม่ฆ่าเพราะนายเป็นวิวัฒนาการระยะ 3”
“กล้าพุ่งเข้าไปท่ามกลางฝูงซอมบี้ นี่เรากำลังต้องมองภาพเขากลายเป็นเหลือแต่กองกระดูกเหรอ”
ทว่าขณะที่กลุ่มวิวัฒนาการกำลังพูดจาดูถูกชูฮันอยู่นั้น ภาพข้างหน้าที่เกิดขึ้นก็ทำให้พวกช็อคจนหยุดหายใจ
พัฟ! พัฟ!
หัวของซอมบี้ถูกขาดทันที จากนั้นก็ร่วงลงกระแทกพื้น และเมื่อชูฮันพุ่งตัวเข้าไปกลางวงล้อมของซอมบี้ มันก็มีร่างซอมบี้ปลิวลอยออกมาไม่หยุด แต่ละตัวกระโหลกจะถูกเปิดออก
และด้วยจำนวนซอมบี้ที่ลดลงอย่างรวดเร็ว จุดดำของฝูงซอมบี้ที่เมื่อมองจากระยะไกลก็ลดขนาดลงอย่างรวดเร็ว
“นี่มัน—-?” หลูปิงเซ่อพูดออกมาอย่างไม่รู้ตัว สติของเขาได้หลุดไปหมดแล้วขณะจ้องไปที่ภาพเบื้องหน้า เขาเห็นแต่เพียงภาพที่หวังไคควงขวานในมือไปมา ซอมบี้พวกนั้นตายไปหมดแล้ว?
ส่วนวิวัฒนาการที่เหลือก็ต่างตะลึงค้าง นี่มันมากเกินกว่าความเป็นจริงจะรับได้ เป็นไปได้อย่างไรที่ซอมบี้จำนวนมากขนาดนี้จะถูกเปิดกระโหลดได้หมด ยังไม่พูดถึงความเร็ว หรือแม้แต่มุมโจมตีที่เกินจะเชื่อได้ทั้งหมดอีก?
“มันเกินขีดจำกัดการจับภาพของฉันไปแล้ว” วิวัฒนาการระยะ 2 หรี่ตาลง ตาของเขาแดงก่ำขณะพยายามเพ่งสายตามองตามการเคลื่อนไหวของชูฮันอย่างสิ้นหวัง
“นายหมายถึงอะไร?” หลูปิงเซ่อที่อ่อนไหวมากอยู่แล้ว เพราะกลัวชูฮันเป็นทุนเดิมถามขึ้นทันที
“เราต้องอัดวิดิโอการเคลื่อนไหวของหวังไคไว้ จากนั้นก็นำมาลดความเร็วลงไปอีกหลายเท่า ถึงจะมองเห็นว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ชายคนนั้นยังคงอธิบายต่อ “มันเร็วเกินไป มันเร็วเกินกว่าที่สายตาของคนจะจับได้”
“มันเป็นไปได้อย่างไร? มุนษย์ไม่สามารถทำแบบนั้นได้!” วิวัฒนาการคนหนึ่งแย้งขึ้นอย่างไม่เชื่อ
“งั้นนายจะอธิบายภาพตรงหน้าอย่างไร?” วิวัฒนาการระยะ 2 คนเดิมเองก็ตกใจเหมือนกัน อัตราการเต้นหัวใจของเขาเต้นอย่างรุนแรง “ผู้ชายคนนี้น่าจะไม่ใช่วิวัฒนาการระยะ 3 แต่น่าจะเป็นระยะ 4! เขาไม่ได้อยู่กับพวกเราก่อนหน้านี้ เขาไปไหนมา?”
เมื่อวิวัฒนาการระยะ 2 คนนั้นพูดจบ ทันใดนั้นหลายคนก็นึกถึงบางอย่างขึ้นได้ โดยเฉพาะแววตาของหลูปิงเซ่อที่เป็นประกายจ้า มันมีอะไรดีๆในหมอกก่อนหน้านี้หรือเปล่า เพราะงั้นหวังไคถึงสามารถยกระดับได้อย่างรวดเร็วภายในเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง?
ตอนที่ 370
พรึบ!
หลูปิงเซ่อวิ่งตรงไปทางด้านหลัง ไม่สนใจสัญญาที่ชูฮันบอกว่าจะให้คริสตัล 70 อันคืนเขา สำหรับจางโบฮั่นและเจิ้งเทียนอี้ หลูปิงเซ่อเชื่อมั่นในความสามารถของจางโบฮั่นอย่างเต็มร้อยว่าพวกเขาจะสามารถรอดพ้นจากฝูงซอมบี้ได้ ก่อนหน้าก็เคยมีฝูงซอมบี้โจมตีที่หมู่บ้านนี้หลายครั้ง แต่ซอมบี้พวกนั้นก็ไม่สามารถสัมผัสการมีอยู่ของจางโบฮั่นได้
แต่ตอนนี้…
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการยกระดับ!
เมื่อเขาได้เห็นว่าพละกำลังมีความสำคัญมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตระหนักได้ถึงความสำคัญของความแข็งแกร่ง ถ้าเขาไม่ได้อยู่ในระยะที่ 2 แต่เป็น 3 หรือ 4 เขาคงสามารถควบคุมสัตว์ได้มากกว่านี้และก็คงจะจัดการชูฮันได้ด้วย ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างเมื่อตอนเรื่องงูพวกนั้นก็คงจะไม่เกิดขึ้นอีก ความสามารถในการพึ่งพาคลื่นความถี่สมองและการสื่อสารกับสัตว์อาจฟังดูไก่อ่อน แต่ตราบใดที่มันมีการฝึกฝน มันก็ยังมีพื้นที่ให้เขาได้พัฒนาอยู่
และถึงแม้เขาจะไม่มีพลังเป็นของตัวเอง แต่เขาก็ยังได้รับการขนานนามว่าราชาได้
เมื่อได้เห็นหลูปิงเซ่อวิ่งออกไป หลายคนก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป บางคนก็เริ่มขยับตัวออกวิ่ง คนส่วนใหญ่เลือกตามหลูปิงเซ่อไปแถมบางส่วนก็ยังเป็นวิวัฒนาการระยะ 2 ด้วย ขณะที่วิวัฒนาการบางคนก็ไม่สนใจที่จะตามไป พวกเขายิ่งสงสัยสถานการณ์ตรงหน้ามากขึ้นไปอีก…หวังไคที่พุ่งเข้าไปท่ามกลางฝูงซอมบี้ช่างทรงพลังเหลือเกิน
ถ้าคนที่มีความสามารถขนาดนี้ มันน่าจะเป็นเรื่องง่ายมากที่จะเลื่อนอันดับในเสาหิน?
ทุกคนต่างมีความคิดในหัวตัวเองแย้งกันไปคนละทาง
ในตอนนี้ภายในร้านของจางโบฮั่น พวกเขาตกอยู่ในสภาวะที่แปลกประหลาด บี๋เทียนไม่ได้ฆ่าพวกเขาทันที ด้วยเพราะเขาชอบเกมเล่นไล่จับหนูให้เหยื่อหวาดกลัวก่อน
“ฮ่าฮ่าฮ่า! พวกขยะ!” บี๋เทียนหัวเราะปากกว้าง ที่ผ่านมาตลอดชีวิตเขามักจะเป็นฝ่ายที่โดนทรมานและกลั่นแกล้งมาตลอด ในที่สุดตอนนี้เขาก็ได้ลิ้มรสชาติความรู้สึกของการเป็นฝ่ายล่า
เจิ้งเทียนอี้หน้าซีดหดด้วยความหวาดกลัวขณะซุกตัวซ่อนอยู่ในอ้อมแขนของจางโบฮั่น
“ไหนบอกสิ” ในตอนนั้นเองจู่ๆบี๋เทียนก็นั่งลงบนเก้าอี้ พร้อมกับใบหน้าน่าเกลียดที่เผยรอยยิ้มน่าสยองขนออกมา “มันคือความสามารถอะไรที่พวกแกใช้กันก่อนหน้านี้? และในพวกแก 3 คนใครคือคนที่มีความสามารถนั้น?”
บี๋เทียนไม่ใช่คนโง่ ไม่อย่างเขาคงไม่มีชีวิตรอดมาได้จนถึงตอนนี้ เขาแฝงตัวติดตามอยู่ในกลุ่มผู้รอดชีวิตและหนีมาจากลูกผสม เพราะฉะนั้นไม่เพียงแต่เขาจะสนใจในความสามารถนี้เท่านั้น แต่สาเหตุหลักก็คือเขารู้สึกว่าความสามารถนี้จะมีประโยชน์ต่อเขา
เมื่อได้ยินคำถามของบี๋เทียน จางโบฮั่นที่หวาดกลัวก็แทบอยากตอบรับออกมาทันที
“บอกให้ลูกป้าร้องไห้ได้มั้ย?” ชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆจู่ๆก็เปิดปากถามขึ้น เพื่อทำให้จางโบฮั่นและบี๋เทียนเสียสมาธิ มีเพียงเจิ้งเทียนอี้ที่ไม่สามารถได้ยิน ยังคงมีท่าทางหวาดกลัวและวิตกอยู่
“นี่ไม่ใช่ลูกฉัน!” จางโบฮั่นกรีดร้อง “ฉันอายุแค่ 18 เท่านั้น ฉันไม่สามารถจะมีลูกโตขนาดนี้ได้!”
“งันก็คลอดก่อนกำหนดหรือเรียนจบไว?” ชายหนุ่มรีบถามต่อทันที ทำให้หัวข้อการสนทนาไปคนละทาง ความจริงแล้วเจิ้งเทียนอี้อายุเพียงแค่ 5 ขวบเท่านั้น เพราะฉะนั้นหัวข้อการสนทนาระหว่างทั้งสองจึงไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด
สีหน้าของบี๋เทียนเริ่มครึ้มขณะมองไปที่ 2 คนตรงหน้าที่ยังไม่หยุดเถียงกัน ไอ้สองคนนี้มันทำบ้าอะไรกัน? พวกมันไม่กลัวเขาเลยเหรอไง?
ถึงแม้ต่อหน้า ชายหนุ่มและจางโบฮั่นจะดูเหมือนไม่กลัวและไม่สนใจ ทว่าความจริงแล้วข้างในนั้นหัวใจของคู่เต้นระรัวด้วยความหวาดกลัว ความจริงแล้วชายหนุ่มต้องการแค่ถ่วงเวลา ตัวเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะถ่วงเวลาไปเพื่ออะไร แต่สัญชาตญาณของเขาบอกเขาว่าเขาต้องทำ ยิ่งเขาลากเวลาไปได้มากเท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งมีกำลังใจรอดมากขึ้นเท่านั้น
จางโบฮั่นและหลูปิงเซ่อใช้เล่ห์กลมากมายหลอกล่อคริสตัลมาจากวิวัฒนาการได้เป็นจำนวนมาก โดยธรรมชาติจางโบฮั่นเป็นคนฉลาดและหัวใจ แม้เธอจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรกับขึ้นกับไอ้ผีเร่ร่อนนี่ แต่เธอก็ยอมตามน้ำไปเพื่อถ่วงเวลา
“ใครๆก็พูดแบบนี้ทั้งนั้น! ยังไม่มีลูก? ใครจะไปเชื่อ!”
“คนอย่างแกไม่มีวันมีเมียได้!”
ในขณะที่ชายหนุ่มและจางโบฮั่นเริ่มส่งเสียงดังขึ้นเรื่อยๆและเริ่มจะลงไม้ลงมือ ทั้งคู่เกือบจะหาสิ่งของข้างๆขึ้นมาโยนใส่กันแล้ว ในที่สุดนั่นเองบี๋เทียนก็ทนไม่ไหวและตะคอกขึ้นมา “หุบปาก!”
ทว่ายังไม่ทันที่เสียงของบี๋เทียนจะจางหายไป——
“ปัง!”
ร่างของบี๋เทียนถูกโจมตีอย่างแรงด้วยแรงบางอย่างที่รุนแรงมาก จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงที่ร่างของบี๋เทียนกระแทกเข้ากับกำแพงดังขึ้น จนผนังสีขาวเกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่และตามมาด้วยเศษผนังสีขาวและอิฐปูนที่ตกร่วงลงมาทับร่างบี๋เทียน
เสียงถกเถียงของจางโบฮั่นและชายหนุ่มหยุดชะงักทันทีที่หันไปเจอชูฮันที่ยืนอยู่ตรงประตูทางเข้า
“พี่ใหญ่! ในที่สุดพี่ก็มา!”
ชายหนุ่มรีบพุ่งตัวเข้ามาหาชูฮัน ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าสัญชาตญาณของเขาจริงๆแล้วคืออะไร!
“นายรู้จักเหรอ?” จางโบฮั่นมองไปที่ชายหนุ่มตรงประตูด้วยสายตาอึ้ง…ผู้ชายคนตรงประตูไอ้ผีเร่รอนน่าสมเพชเมื่อวันก่อนที่ไม่สามารถจะจ่ายคริสตัลที่ร้านของเธอได้ จนเธอต้องยอมรับกระสุนสองนัดเพื่อด้วยความสมเพช
ชายหนุ่มส่ายหน้า “ฉันไม่รู้จัก”
“แต่แกเรียกเขาว่าพี่ใหญ่?” จางโบฮั่นรู้สึกกลัว
“ใครก็ตามที่ช่วยชีวิตฉัน ฉันจะเรียกเขาว่าพี่ใหญ่ของฉัน” แน่นอนว่าคำตอบของชายหนุ่มไม่ได้ผิดสักนิด
“ค่อก ค่อก ค่อก!” ในตอนนั้นเองบี๋เทียนก็ปีนขึ้นมาจากกองอิฐที่พังลงมาพร้อมกับจ้องไปที่ชูฮันด้วยสายตาพร่ามัว ทว่าไม่นานเขาก็ต้องตกใจช็อคขึ้นมา “ทำไมแกถึงมาอยู่ที่นี้ได้? แกไปทางซ้ายไม่ใช่เหรอไง?”
หลังจากนั้นบี๋เทียนก็รีบหุบปากสนิททันที
ชูฮันนิ่วหน้าใส่บี๋เทียน นี่มันใครกัน?
“อ่าาา! คู่สามีภรรยาปลอมๆที่หนีไป จำได้มั้ยชูฮัน?” หวังไคพูดเตือนขึ้นในหัวชูฮัน “ดูเหมือนจะเป็นคนผู้ชาย ทำไมเขาถึงกลายมาเป็นสภาพแบบนี้?!”
“สายพันธุ์แตกแยกของลูกผสม…สายพันธุ์ปีศาจ”
“สายพันธุ์ปีศาจ?” หวังไคถามด้วยเสียงแหลมสูงตามมาด้วยเสียงถอนหายใจ “พวกมนุษย์ของนายช่างเป็นเผ่าพันธุ์ที่ซับซ้อนเหลือเกิน มันควรจะมีแค่ 2 เผ่าพันธุ์ระหว่างซอมบี้และมนุษยชาติบนโลกนี้ แต่มันกลับมีการกลายพันธุ์ไปถึงลูกผสม แถมยังมีสายพันธุ์ปีศาจแตกออกมาจากลูกผสมอีก แต่สายพันธุ์ปีศาจนี่มันคืออะไรกันแน่?”
“กินเนื้อของลูกผสม” ชูฮันอธิบายอย่างสบายๆ สายตาของเขาจับจ้องไปที่เส้นสีดำบนท้องฟ้า “ซึ่งมันก่อให้เกิดสายพันธุ์ใหม่ขึ้นมา และในที่สุดก็จะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ารังเกียจยิ่งกว่าซอมบี้”
หวังไคต้องการจะถามต่ออีก ทว่าบี๋เทียนที่อยู่ตรงข้ามก็ยิงคำถามใส่ชูฮันมาอีกครั้ง “แกเข้ามาในนี้ได้ยังไง? มันมีซอมบี้ตั้งมากมายในหมู่บ้าน? นี่แกกำลังซุ่มโจมตีฉันร่วมมือกับใครหรือเปล่า?”
“ไม่จำเป็นต้องซุ่มโจมตีสำหรับลูกผสม” ชูฮันแสยะยิ้ม จากนั้นก็ชี้ออกไปด้านนอก “พวกซอมบี้…แกหมายถึง…พวกนั้น?”
ด้านนอกร้าน เลือดที่ไหลนองรวมกันจนแทบจะเป็นแม่น้ำ พื้นดินที่ควรจะแดงสดไปด้วยเลือดของผู้คนในหมู่บ้านที่ถูกฆ่า ในตอนนี้กลับกลายเป็นสีดำแทน เป็นผลมาจากเลือดของซอมบี้จำนวนมากรวมถึงซอมบี้หลายสิบตัวที่บี๋เทียนควบคุมไว้ก่อนหน้านี้ด้วย
“ไม่มีทาง?” บี๋เทียนอุทานร้อง “แกทำไม่ได้ ฉันไม่ได้เสียงอะไรเลย!”
ชูอันกรอกตา สำหรับเขาแล้วมันใช้เวลาแค่ครู่เดียวเขาก็จัดการซอมบี้พวกนี้ได้หมดแล้ว
ตอนที่ 371
และในขณะที่ชูฮันเหลือบสายตาไปด้านหลัง บี๋เทียนที่ยืนอยู่ตรงหน้าชูฮันก็ได้เห็นภาพและแหกปากขึ้นมาทันที
“อ๊ากกก—-“
ฟิ้ว—-
ฟิ้ว—-
จากนั้นมันก็มีเสียงแปลกๆดังขึ้นมาสองครั้งพร้อมๆกับเสียงแหกปากของบี๋เทียนที่ตระหนกและหวาดกลัว ปุ่มนูนบนแขนของทั้งสองฝั่งของบี๋เทียนจู่ๆก็แตกออก ตามมาด้วยเส้นสีดำพุ่งกระจายออกมาจากแขนของบี๋เทียน
มันเป็นสิ่งมีชีวิตสีดำลักษณะเรียวยาวคล้ายกับงูแต่ไม่มีส่วนหัว มีเพียงปากพร้อมกับเขี้ยว ลำตัวของมันที่โผล่ออกมาจากแขนของบี๋เทียนก็คือเส้นเลือดในแขนของบี๋เทียนที่กลายพันธุ์เป็นปรสิตบนตัวที่ดูดเลือดจากร่างบี๋เทียนไปหล่อเลี้ยง
“อ๊ากกก!” บี๋เทียนได้แต่แหกปากร้องและหมุนตัววนไปรอบๆด้วยความตระหนก พยายามจะเอาไอ้สิ่งน่ารังเกียจทั้งสองตัวนี้ออกไปจากตัวเขาอย่างสิ้นหวัง
เส้นสีดำทั้งสองเส้นแยกเขี้ยวและสยายตัวไปมาอยู่บนตัวบี๋เทียนที่เอาแต่แหกปากร้องเสียงแหบแห้งต่อหน้าชูฮัน
จางโบฮั่นและชายหนุ่มที่ชื่อว่าเฟิงจื่อจือไม่เคยเห็นภาพอะไรแบบนี้มาก่อนก็ได้แต่กรีดร้องด้วยความตกใจ พวกเขากลัวจนแทบจะวิ่งหนี ส่วนเจิ้งเทียนอี้ที่หดตัวซ่อนด้วยความกลัวตั้งแต่แรกก็มีสีหน้าซีดขาวพร้อมกับเนื้อตัวสั่นเทิ้ม ทว่าภายในปากของเขายังมีอมยิ้มที่ยังไม่ได้เอาออกไปตั้งแต่แรกยังคาอยู่ในปากเหมือนเดิม
ทันใดนั้นทั้งร้านอาหารก็ตกอยู่ในความวุ่นวายสุดขีด ยกเว้นชูฮันและเจิ้งเทียนอี้ที่หูหนวก ส่วนจางโบฮั่น เฟิงจื่อจือ ก็เอาแต่แหกปากร้องไม่หยุดราวกับถูกวิญญาณไล่ร้ายตามอย่างไรอย่างนั้น รวมถึงบี๋เทียนที่ก็หวาดกลัวกับเส้นสีดำสองเส้นบนร่างตัวเอง เขาเอาแต่เดินถอยหลังหนีอย่างสิ้นหวัง ปากก็เอาแต่ร้องใส่เส้นสีดำ มันมีแต่เสียงคำว่า ‘ถอยออกไป’ และ ‘อย่าเข้ามา’ ให้ได้ยิน
“นี่…นี่คือสายพันธุ์ปีศาจหรอกเหรอ?” หวังไคเองก็รู้สึกกลัวเช่นกัน ทว่าไม่นานน้ำเสียงมันก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา “ฉันเข้าใจแล้ว นี่คือบทลงโทษ!”
ชูฮันงงงวยกับคำพูดที่ไม่สามารถอธิบายได้ของหวังไค ชูฮันได้แต่มองบี๋เทียนที่หวาดกลัวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองและไม่สามารถช่วยเหลืออะไรตัวเองได้เลย…ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเพราะอะไร?
ลูกผสมเป็นสายพันธุ์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการอยู่รอดท่ามกลางเมืองที่เต็มไปด้วยซอมบี้ นอกเหนือจากเรื่องการควบคุมซอมบี้ และในกรณีนี้ในเมืองก็เต็มไปด้วยเลือดมากมาย และอาหารมากมายที่ถูกเหลือทิ้งจากยุคศิวิไลซ์ ถ้าใครอยากจะแข็งแกร่งและสามารถทำใจได้ก็สามารถกินเนื้อมนุษย์ได้
แต่การกินเนื้อลูกผสม?
มันเป็นอะไรที่มีโอกาสน้อยมาก นอกเหนือจากว่าคนคนนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านสภาพจิตหรือยากเค้นอย่างมาก ลูกผสมทั้งน่าเกลียดและแข็งแกร่งมาก มันจึงเป็นไปได้ยากที่จะถูกใครกิน?
“ทำไมแกถึงกินเนื้อลูกผสม?” ทันใดนั้นเสียงของชูฮันก็แทรกเสียงแหกปากของบี๋เทียนขึ้นมา
บี๋เทียนที่เต็มไปด้วยความสยองพร้อมก็หยุดเสียงแหกปากของตัวเองลงทันที ร่างของบี๋เทียนยังคงยืนอยู่ที่เดิมแต่เส้นสีดำบนแขนของเขายังคงเคลื่อนไหวไปมาอยู่
ใช่! ทำไมเขาถึงกินเนื้อลูกผสม และไอ้สัตว์ประหลาดที่โตมาในร่างเขานี้เเกิดจากเพราะเขากินลูกผสมงั้นเหรอ?
ความเสียใจได้แพร่ไปทั่วหัวใจของบี๋เทียน ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกโศกเศร้าอย่างมาก ชีวิตของเขาปกติธรรมดามาตลอด เขาต้องการมีชีวิตธรรมดาในโลกาวินาศแต่กลับถูกบังคับให้ก้าวเข้าไปในนรกทีละก้าวๆ และในที่สุดมันก็เปลี่ยนให้เขาเป็นเหมือนกับผีที่มีชีวิต
จางโบฮั่นและเฟิงจื่อจือรีบถอนหายใจ ฟังจากคำพูดชูฮันทำให้ทั้งคู่โล่งใจเมื่อรู้สาเหตุทั้งหมดพลางมองไปที่บี๋เทียนด้วยสายตาสยอง ผู้ชายคนนี้ไม่เพียงแต่จะกินเนื้อคนด้วยกันแต่ยังกินลูกผสมอีก?
อี๋! น่าขยะแขยง!
เฟิงจื่อจืออยากจะอ้วกออกมา เขาไม่ใช่จางโบฮั่น เขาไม่เคยเห็นลูกผสม ที่สำคัญก็คือลูกผสมเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ารังเกียจพอๆกับซอมบี้เลย ไอ้ลูกผสมกลายพันธุ์นี้กินเนื้อลูกผสมไปจริงๆงั้นเหรอ?
“ฉันขี้เกียจเกินกว่าจะถามแล้ว ช่างเถอะ ไม่ว่ามันจะกินเพราะอะไร ยังไงก็ต้องตายอยู่ดี” จู่ๆชูฮันก็พูดกับตัวเอง ทันใดนั้นร่างของชูฮันก็เคลื่อนไหวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
พัฟ!
บี๋เทียนที่ยังคงคิดเรื่องของตัวเองอยู่ จู่ๆร่างทั้งร่างของมันก็เต็มไปด้วยเลือดนองและตายไปแบบไม่รู้ตัว ทว่าเส้นสีดำทั้งสองเส้นยังคงไม่หยุดขยับเพียงเพราะร่างหลักที่เป็นตัวเลือดหล่อเลี้ยงพวกมันอย่างบี๋เทียนตายไปแล้ว กลับกันพวกมันกลับหมุนตัวหันกลับไปกัดกินเนื้อของบี๋เทียนอย่างบ้าคลั่ง จนทั้งเนื้อและเลือดแม้แต่กระดูกก็ไม่เหลือทิ้งไว้
“อ๊ากกก—–“
จางโบฮั่นและเฟิงจื่อจือที่เห็นฉากนี้ก็แหกปากร้องขึ้นมาอีกครั้ง
ฟึบ—- ฟึบ—-
มีเสียงบางอย่างตามมาอีกสองเสียง จากนั้นเส้นสีดำทั้งสองเส้นก็โดนสับเป็นกอง ชูฮันนิ่วหน้าขณะมองกองซากของพวกมันบนพื้น เขาหันหน้าไปหาเจ้าของร้านจางโบฮั่น “มีแอลกอฮอล์มั้ย? เผามันซะ”
แม้ว่าชูฮันจะเคยเจอกับสายพันธุ์ปีศาจมามากมายในชาติที่แล้ว แต่ชูฮันก็ยังคงไม่เข้าใจสิ่งมีชีวิตนี้อยู่ดี
สายพันธุ์ปีศาจแข็งแกร่งยิ่งกว่าลูกผสม แต่มีปีศาจแค่ไม่กี่ตัวที่จะยอมรับให้มีสิ่งมีชีวิตอื่นอาศัยอยู่ในร่าง ดังนั้นมันจึงมีปีศาจจริงๆแค่ไม่กี่ตัวเท่านั้น ในตอนนี้ที่โลกาวินาศได้ปะทุแล้วในชาตินี้ เขาคาดว่าบี๋เทียนน่าจะเป็นปีศาจตัวแรก
แต่มันแข็งแกร่งแค่ไหนนั้น สำหรับตอนนี้บี๋เทียนยังไม่มีพละกำลังมากพอ
ผั้ว! พ้ะ! พ้ะ!
ทันใดนั้นก็มีกลุ่มคนพุ่งเข้ามา มันเป็นกลุ่มวิวัฒนาการที่ไม่ได้จากไป พวกเขาวิ่งมาจากสุดป่าอีกฝากมาจนถึงหมู่บ้าน ตลอดทางที่ผ่านมาพวกเขาเห็นแต่ซากศพของซอมบี้มากกว่า 500 ตัว นอนกองตายอยู่เต็มไปหมด เป็นภาพที่น่าเหลือเชื่อ เลือดสีดำที่ย้อมพื้นของทั้งหมู่บ้านจนหมด ช่างน่าอัศจรรย์!
และในตอนนี้ที่พวกเขาได้เห็นภาพในร้านอาหารอีกครั้ง พวกเขาก็รู้สึกกลัวจนนิ่งค้าง ร่างของบี๋เทียนที่นอนตายอยู่นั้นเห็นได้ชัดว่าแตกต่างไปจากพวกซอมบี้ข้างนอก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามซอมบี้ทั้งหมดในหมู่บ้านที่ถูกกวาดล้างนี้เป็นฝีมือของชูฮันคนเดียว
“สุดยอด ทรงพลังมาก!” วิวัฒนาการระยะ 2 พูดโพล่งขึ้นมาขณะมองไปที่ชูฮันด้วยสายตาเทิดทูน
“แข็งแกร่งมากจริงๆ คนๆเดียวสามารถฆ่าซอมบี้ได้มากขนาดนี้!” คนอื่นเองก็ประหลาดใจเช่นกัน
“ฝูงซอมบี้ที่มากพอจะทำลายล้างทั้งหมู่บ้าน กลับสามารถกำจัดได้ง่ายดายขนาดนี้?”
ทุกคนต่างมีสีหน้าหวาดกลัว ขณะที่ชูฮันนั่งอยู่บนเก้าอี้และสั่งให้คนพวกนี้พาร่างบี๋เทียนออกไปด้านนอก
“มาแล้ว” ในตอนนั้นเอง เจ้าของร้านจางโบฮั่นก็วิ่งเข้ามาพร้อมกับแอลกอฮอล์และกิ่งไม้แห้ง จากนั้นเธอก็เทมันลงบนร่างศพของบี๋เทียนและจุดไฟเผา ไฟไม่ได้ลุกลามใหญ่มากทว่ามันกลับเผาใหม่ร่างของบี๋เทียนอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะตรงปรสิตที่ชูฮันต้องการจะฆ่ามากที่สุดเพราะมันเป็นจุดที่โดนแอลกอฮอร์ราดลงไปเยอะที่สุด
“พวกเราติดตามนายไปได้มั้ย?” หลังจากจัดการกับร่างของบี๋เทียนเรียบร้อย วิวัฒนาการระยะ 2 ที่เป็นตัวแทนของวิวัฒนาการคนอื่นๆก็เอ่ยปากขอร้องชูฮัน ซึ่งเขาก็คือวิวัฒนาการคนเดิมที่ตอนอยู่ด้านนอกหมู่บ้านได้อธิบายว่าการเคลื่อนไหวของชูฮันรวดเร็วการเกินสายตาของใครจะจับได้ทัน
ชูฮันมองไปที่วิวัฒนาการระยะ 2 คนนั้น ทันใดนั้นคำปฏิเสธที่กำลังจะหลุดออกจากปากเขาก็หยุดชะงักทันทีและหลังจากคิดทบทวนบางอย่างได้ ชูฮันก็ถามขึ้น “นายชื่ออะไร?”
ตาของวิวัฒนาการระยะ 2 คนนั้นเป็นประกายพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฉันชื่อเสี่ยวเคิน”
ชูฮันหยิบขวดไวน์บนชั้นลงมาและยกมันขึ้นดื่ม เขาไม่สนใจสีหน้าของจางโบฮั่นที่มองมา “โอ้ะ ไม่รู้เลย”
ตอนที่ 372
เสี่ยวเคินและวิวัฒนาการที่เหลือต่างงงงวยกับคำพูดที่พูดออกมาอย่างฉับพลันของชูฮัน หลังจากชูฮันเอ่ยปากถามชื่อเสี่ยวเคิน จู่ๆชูฮันก็ตอบกลับมาด้วยคำพูดที่แปลกประหลาด
เฟิงจื่อจือและเจิ้งเทียนอี้ก็ยังไม่ได้สติจากเหตุการณ์น่ากลัวก่อนหน้านี้ ส่วนจางโบฮั่นก็นังนิ่งเงียบอยู่ท่ามกลางร้านที่วุ่นวาย
“เอ่อ มันก็เป็นธรรมดาที่จะไม่รู้” หลังจากมึนงงกับคำตอบชูฮันไปครู่หนึ่ง เสี่ยวเคินก็ได้แต่ตอบไปแค่นั้น ตามมาด้วย “พวกเราสามารถคอยช่วยสนับสนุนนายได้”
ชูฮันยกไวน์ขึ้นดื่มอีกครั้ง จางโบฮั่นที่เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างก็หันไปถามเสี่ยวเคิน “แล้วหลูปิงเซ่อล่ะ?”
ตาของจางโบฮั่นเป็นประกายขณะจ้องไปที่เสี่ยวเคินไม่วางตา หลูปิงเซ่อไม่ได้กลับมา มันแปลกมาก เขาเอาตัวรอดเก่ง เธอไม่เชื่อว่าเขาจะเจออุบัติเหตุ
“หลูปิงเซ่อ?” เสี่ยวเคินไม่เข้าใจว่าทำไมจางโบฮั่นถึงถามถึงหลูปิงเซ่อ แต่เขาก็ยังคงตอบไปตามตรง “หลูปิงเซ่อและวิวัฒนาการคนอื่นกลับไปที่เสาหิน เพราะการที่จู่ๆนายก็กลายเป็นวิวัฒนาการระยะ 4 ทำให้ทุกคนคิดว่าในทะเลสาบอาจจะมีอะไรดีๆอยู่”
“นายเป็นวิวัฒนาการระยะ 4?!” จางโบฮั่นมองไปที่ชูฮันด้วยความประหลาดใจ จากนั้นจู่ๆเธอก็ตะโกนขึ้นมา “ไอ้หลูปิงเซ่อ! ฉันกับเจิ้งเทียนอี้ตกอยู่ในอันตรายแต่มันกลับไปที่อื่นแทน!”
ชูฮันเองก็งงเช่นกัน จินตนาการของหลูปิงเซ่อช่างเพ้อเจ้อและทำให้เขาพูดไม่ออก แต่ด้วยสติปัญญาของหลูปิงเซ่อ เขาคาดว่าเมื่อหลูปิงเซ่อกลับมา หลูปิงเซ่อน่าจะพอเดาได้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาแล้ว ถ้าเช่นนั้น…
“นายบอกว่าอยากจะติดตามฉัน?” จู่ๆชูฮันก็เปลี่ยนหัวข้อพร้อมกับมองไปที่เสี่ยวเคินและวิวัฒนาการคนอื่น
“ใช่!” เสี่ยวเคินหยักหน้าทันที วิวัฒนาการระยะ 1 หลายคนที่อยู่ด้านหลังเสี่ยวเคินเองก็มองไปที่ชูฮัน
“พวกนายทนไหว?” ชูฮันไม่ได้ตอบรับทันทีแต่กลับถามคำถามแทน
“ได้” ทุกคนต่างตอบรับกันอย่างพร้อมเพรียง
“ถ้างั้นพวกนายต้องผ่านการทดสอบก่อน ฉันถึงจะยอมรับ?” เมื่อชูฮันถามคำถามต่อมา มันก็มีประกายบางอย่างฉายอยู่ในแววตาของชูฮัน
“ไม่มีปัญหา” ทุกคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความตื่นเต้นในใจของตัวเองกำลังจะมาถึงจุดจบ
“การทดสอบอะไร?” เสี่ยวเคินที่เป็นตัวแทนของวิวัฒนาการทุกคนเอ่ยถามต่อ
“การทดสอบ—-” รอยยิ้มของชูฮันกว้างขึ้นเรื่อยๆ “มันง่ายมาก ไปถึงเมืองอันลูให้ได้ภายในระยะเวลา 3 เดือนและหาคนที่ชื่อหยางเทียน”
“เอ่อ…”
“อะไรน่ะ?”
“เมืองอันลู?”
3เดือน
กลุ่มวิวัฒนาการต่างตะลึงค้าง แม้แต่จางโบฮั่นและเฟิงจื่อจือก็มองมาที่ชูฮันด้วยความช็อค นี่มันการทดสอบบ้าอะไรกัน?
“ด้วยจำนวนระยะเวลาแค่นี้….หัวหน้า” เสี่ยวเคินรู้ดีว่า ‘หวังไค’ เป็นเพียงแค่นามแฝงของผู้ชายตรงหน้า แต่ในเมื่อชูฮันไม่ยอมบอกชื่อที่แท้จริงเขาจึงได้เรียกอีกฝ่ายว่าหัวหน้าแทน “เมืองอันลูอยู่ไกลจากที่นี้มาก แถมตอนนี้ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้วการเดินทางมันยากลำบาก และระยะวิวัฒน์ของพวกเราก็ต่างกับหัวหน้าอย่างสิ้นเชิง พวกเราไม่สามารถข้ามเมืองได้ด้วยความเร็วสูงแบบหัวหน้า หัวหน้าต้องการให้เราไปถึงเมืองอันลูภายใน 3 เดือนแถมยังต้องตามหาคนที่ชื่อหยางเทียนอีก นี่มัน—“
“นี่เป็นไปไม่ได้!” วิวัฒนาการอีกคนรีบพูดต่อเสี่ยวเคิน “ไม่ต้องพูดถึงเรื่องหารถสักคันเลย และถึงแม้มันจะมีรถแต่มันก็ไม่มีน้ำมัน และถึงแม้มันจะมีทั้งรถและน้ำมันแต่มันก็ไม่มีถนนให้เราขับ และถึงต่อให้จะมีถนนอยู่น้อยนิดให้ขับ เราก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงซอมบี้ตามทางได้! แล้วใครคือหยางเทียน? เมืองอันลูใหญ่โตจะตาย เราจะหาเขาเจอได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้ภายในเวลาแค่ 3 เดือน!”
“ฉันเองก็รู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้” จางโบฮั่นก็เห็นด้วย
“แค่ก แค่ก” เฟิงจื่อจือไอออกมาหากไม่ได้พูดอะไร
“คิดว่าทำไม่ได้?” ชูฮันแสยะยิ้มใส่กลุ่มคนตรงหน้า “ใช่ ยังไงก็ตาม พวกนายเลือกเอง มันขึ้นอยู่กับพวกนายเอง”
คำพูดตรงๆของชูฮันทำให้ทุกคนหุบปากฉับทันที ถ้าอยากจะติดตามคนแข็งแกร่ง…งั้นก็ต้องแสดงทักษะบางอย่างออกมา
ถ้าการทดสอบแรกยังทำไม่ได้…แล้วทำไมอีกฝ่ายจำเป็นจะต้องยอมรับเราล่ะ?
คิ้วของเสี่ยวเคินขมวดแน่น เขาเคยเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่หลังจากการปะทุและหลังจากผ่านการเป็นผู้นำของกลุ่มผู้รอดชีวิตมาช่วงหนึ่งบนถนนที่เขาได้พบปะซอมบี้มากมายตลอดการเดินทาง ดังนั้นเสี่ยวเคินจึงรู้ดีว่าการเดินทางครั้งนี้มันอันตรายมากขนาดไหน ที่ยิ่งไปกว่านั้นมันใกล้จะสิ้นปีแล้วและโลกก็ได้เปลี่ยนแปลงไปมากหลังจากการปะทุ
มันอันตรายมากจริงๆ
ขณะที่ทั้งกลุ่มตกอยู่ในความเงียบ ทันใดนั้นมันก็มีเสียงฝีเท้าหลายคู่ที่ฟังดูวุ่นวายกำลังมุ่งหน้าพุ่งเข้ามา ทุกคนต่างรีบหันไปมองที่ประตูของร้าน และเหนือความคาดหมายพวกเขาก็เห็นหลูปิงเซ่อและวิวัฒนาการคนอื่นที่จากไปก่อนหน้านี้ยืนอยู่ตรงประตู
“ยังคิดจะกลับมาอีกเหรอ?!” จางโบฮั่นที่เห็นหลูปิงเซ่อก็กรีดร้องใส่เขาทันที ทว่าเป็นครั้งแรกที่หลูปิงเซ่อไม่กล้าเผชิญหน้ากับเธอ แต่กลับจ้องไปที่ชูฮันแทนด้วยสายตาที่ซับซ้อนและหวาดกลัว
เมื่อเห็นชูฮันว่าหลูปิงเซ่อกลับมาเร็วกว่าที่คิด เขาก็เพียงยิ้มและพูด “สรุปว่าไม่ได้ไปที่ทะเลสาบเหรอ?”
“เปล่าครับ” เสียงของหลูปิงเซ่อเต็มไปด้วยความเกรงกลัว
ชูฮันตระหนักได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของหลูปิงเซ่อ ชูฮันที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รายล้อมไปด้วยวิวัฒนาการที่ยืนล้อมเขาเป็นวง โดยมีจางโบฮั่น เฟิงจื่อจือ เจิ้งเทียนอี้ยืนอยู่อีกมุมของร้าน ส่วนหลูปิงเซ่อและวิวัฒนาการคนอื่นๆก็ยืนอยู่ตรงทางเข้า ภาพที่เกิดขึ้นในร้านค่อนข้างจะแปลกประหลาดนิดหนึ่ง
เสี่ยวเคินที่มีสัมผัสอ่อนไหวและสังเกตเห็นถึงบางอย่างที่ผิดปกติ เขามองไปที่ชูฮันจากนั้นก็มองไปที่หลูปิงเซ่ออีกครั้ง “นี่มันอะไร?”
ยังไม่ทันที่เสียงของเสี่ยวเคินจะจางหาย จู่ๆหลูปิงเซ่อก็กระโดดไปหน้าชูฮันพร้อมกับจับขากางเกงชูฮันไว้และแหกปาก “พี่ใหญ่ชูฮัน! ได้โปรดให้ผมได้ติดตามพี่?”
เฮือก—–
ทุกคนต่างตะลึงและนิ่งงัน จ้องไปที่หลูปิงเซ่อที่แหกปากอยู่พร้อมกับชื่อที่เขาพูดออกมา
ชูฮัน!
จางโบฮั่น เฟิงจื่อจือ และเสี่ยวเคินต่างช็อคสุดๆ ใครจะไม่รู้จักชูฮัน? ทุกคนในจีนรู้จักชื่อนี้ดีกันหมด!
โดยเฉพาะเสี่ยวเคินและเหล่าวิวัฒนาการที่พึ่งกลับมาจากการประเมิณที่เสาหิน พวกเขาต่างตกใจและพูดคุยเกี่ยวกับชื่อเสียงของชูฮันกันอยู่เลยเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้คนดังอย่างชูฮันกลับมาปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา แล้วพวกเขาจะไม่ช็อคได้ยังไง?
ทันทีที่กลุ่มวิวัฒนาการที่ตามหลูปิงเซ่อเข้ามาเห็นภาพหลูปิงเซ่อเกาะขากางเกงชูฮันและอ้อนวอนขอติดตาม ทุกคนก็พยายามสุดตัวที่จะให้ชูฮันยอมให้ติดตาม
“ฉันทำอาหารได้!”
“ฉันจะหาอาหารเย็นให้เอง!”
“ฉันจะจัดการซอมบี้เอง!”
“ฉันจะทำซอสถั่วเหลือง!”
กลุ่มวิวัฒนาการที่ติดตามเสี่ยวเคินต่างมองกลุ่มของหลูปิงเซ่อด้วยความตะลึง คนพวกนี้ต่างอ้อนวอนอย่างไม่สนใจศักดิ์ศรีของตัวเองเลยสักนิด วิวัฒนาการทั้งหมด 35 คน ทว่ากลับมีวิธีปฏิบัติตัวที่ต่างกันคนละแบบอย่างสิ้นเชิง
ชูฮันเองก็ตกใจกับปฏิกิริยาของคนพวกนี้ “ลุกขึ้นทั้งหมด! หุบปาก!”
พรึบ!
ทุกคนที่ลงไปนั่งคุกเข่าต่างรีบผุดลุกขึ้นยืนตรงข้ามกับเสี่ยวเคินและคนอื่นๆทันที
ชูฮันมองไปที่หลูปิงเซ่อ ความสงสัยดิ่งลึกอยู่ในนัยน์ตาของชูฮัน “นายรู้ได้อย่างไร?”
ตอนที่ 373
“นายรู้ได้ยังไงว่าฉันคือชูฮัน?” นี่คือจุดที่ชูฮันคิดไม่ออกว่าหลูปิงเซ่อเดาออกได้อย่างไร มันควรจะเป็นหลังจากที่ได้เห็นเสาหินที่อยู่ในทะเลสาบก่อนถึงจะกระจ่างได้สิ
แต่ทำไมหลูปิงเซ่อถึงรู้ได้? เขากลายเป็นวิวัฒนาการระยะ 4 ทันทีหลังจากเสร็จจาการทดสอบ
เมื่อได้เห็นชูฮันยอมรับ เสี่ยวเคินก็เป็นคนนำวิวัฒนาการที่เหลือแสดงความเคารพ ทุกคนต่างชื่นชมและนับถือจากใจจริง ไม่แปลกว่าทำไมชูฮันมักจะได้คะแน S+ ติดต่อกันตลอดและเป็นอันดับที่หนึ่งในทุกระยะการทดสอบ
ในขณะเดียวกันทุกคนก็รู้สึกอับอายกับการกระทำของตัวเองที่ก่อนหน้านี้พูดจาเยาะเย้ยและแดกดันคนที่ทรงพลังและเป็นอันดับที่ 1 ในการประเมิณตั้งแต่ระยะ 1 ถึง 3 อย่างชูฮันที่มาถึงหมู่บ้านเล็กๆนี้ ทว่าคนที่พวกเขาเจอก่อนหน้านี้ที่ดูต้องการแต่คริสตัลและไม่ปล่อยทางเลือกอื่นให้พวกเขานอกจากจำยอมต้องมอบคริสตัลให้ดูไม่เหมือนกับชื่อเสียงที่มีเลย
เมื่อเทียบกับชูฮันที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้ มันดูไม่เข้ากันเลยสักนิด
เมื่อได้ยินคำถามของชูฮัน หลูปิงเซ่อก็รีบก้าวเท้ามาข้างหน้าท่ามกลางฝูงชนและแหกปากใส่ชูฮัน “ฉันเจอกับกระต่ายป่าที่มาจากทะเลสาบ มันบอกฉันว่า—“
“เฮ้—-” เฟิงจื่อจือส่งเสียง
เฟิงจื่อจือตะลึงกับคำตอบของหลูปิงเซ่อ นี่มันอะไร?
เสี่ยวเคินยิ้ม หลูปิงเซ่อหลอกหลวงพวกเขาเพื่อจะเอาคริสตัลจากพวกเขา แม้ว่าวิธีการจะแตกต่างไปจากชูฮัน แต่เขาก็สามารถเดาตัวตนของชูฮันที่มีความสามารถแบบนี้ออกได้
จางโบฮั่นนั่งห่างออกไปและมองภาพเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้า ส่วนชูฮันก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับไปไหน ทุกคนต่างรอให้ชูฮันพูด
จางโบฮั่นกระพริบตาพลางสงสัย จู่ๆคนพวกนี้ต้องการจะทำอะไรกัน?
เฟิงจื่อจือยกมือขึ้นเกาหัวด้วยความไม่เข้าใจ สายตาของเขายังคงหันไปจับจ้องสลับไปมาระหว่างเสี่ยวเคินและหลูปิงเซ่อไม่หยุด
“ในเมื่อทุกคนอยู่ที่นี้ งั้นฉันจะอธิบายให้ฟังเองทั้งหมด” ชูฮันพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงธรรมดา “แรกเลย หลูปิงเซ่อ—-“
ชูฮันยิ้มมุมปาก จากนั้นก็เอ่ยปากพูดต่อ “คริสตัล 70 ชิ้นที่ฉันเอามาจากนายก่อนหน้านี้”
“นั่นมันสำหรับหัวหน้า!” หลูปิวเซ่อรีบตอบทันที “คริสตัลก่อนหน้านี้ถือเป็นเกียรติแก่หัวหน้าของพวกเรา!”
“ใช่! นั่นคือของขวัญสำหรับหัวหน้า!” วิวัฒนาการที่ยืนอยู่ข้างหลูปิงเซ่อพูดขึ้นมาเสียงดัง
เสี่ยวเคินถอนหายใจจากนั้นก็ตะโกนใส่ชูฮัน “คริสตัลของพวกเราก่อนหน้านี้ก็เป็นเกียรติแก่หัวหน้าเหมือนกัน!”
หลังจากนั้น เสี่ยวเคินก็มองไปที่หลูปิงเซ่อด้วยสายตายั่วเย้าเล็กน้อย ถ้าแกจะประจบ? เราก็จะทำเหมือนกัน!
ชูฮันหัวเราะหึ คนพวกนี้ไม่อยากได้คริสตัลแล้ว? เพี้ยนกันหมดแล้วเหรอไง?
จางโบฮั่นได้แต่คิด นี่ฉันหวังพึ่งพวกบ้าพวกนี้ได้มั้ย?
“อะ หึ่ม–” ชูฮันกระแอมและตัดสินใจที่จะแก้ไขความเข้าใจผิดของคนพวกนี้ “มันไม่เกี่ยวกับคริสตัล ถ้าอยากจะติดตามฉันมันมีเงื่อนไขเพียงข้อเดียวเท่านั้น การทดสอบอย่างเดียวก็คือพวกนายทั้งหมดต้องไปหาหยางเทียนในเมืองอันลูภายในเวลา 3 เดือน”
หลังจากชูฮันพูดเงื่อนไขออกมา หลูปิงเซ่อและคนอื่นๆก็มีแต่สายตาตะลึงงันเผยออกมาเช่นเดียวกับกับกลุ่มของเสี่ยวเคินก่อนหน้านี้ “จำไว้ ว่าต้องทุกคน”
ครั้งนี้ไม่เพียงแต่หลูปิงเซ่อ ทว่าไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลย เสี่ยวเคินเองก็นิ่งไปพักหนึ่งเช่นกัน ภายในเวลาแค่ไม่กี่นาที การทดสอบของชูฮันก็เพิ่มระดับขึ้นไปอีก?
มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาตัวหยางเทียนในเมืองอันลูให้ได้ภายในเวลาแค่ 3 เดือน แต่ชูฮันยังบอกให้ทุกคนต้องไปถึงเมืองอันลูด้วยกันทั้งหมด นี่มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำภารกิจให้สำเร็จได้!
และในตอนนั้นเองเฟิงจื่อจือที่ยังไม่ได้เอ่ยปากพูดเลยสักคำ จู่ๆก็พูดขึ้น “ทุกคนในที่นี้หมายความว่าทุกคนต้องไปถึงอย่างปลอดภัย?”
“ไม่มีแขนขาขาด” ชูฮันพูดต่อพร้อมกับหวาดตามองกลุ่มคนตรงหน้าเขา…ถ้าพวกเขาทำไม่ได้ ก็คือจบ
เฟิงจื่อจือมีท่าทางลังเลขณะตอบ “ฉันเข้าร่วมกับพวกเขาด้วยได้มั้ย?”
“เข้าร่วม? ได้สิ” ชูฮันหันกลับไปมองเฟิงจื่อจือ จากนั้นก็เอ่ยปากถาม “เสี่ยวเคินและหลูปิงเซ่อ นายต้องการจะเข้าร่วมทีมไหน?”
“สองทีม?” เสี่ยวเคินตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
อ่า—? มีการแบ่งทีม? หลูปิงเซ่อเองก็ตกใจมากเช่นกัน
จางโบฮั่นไม่เข้าใจ ชูฮันกำลังคิดจะทำอะไรอยู่กันแน่?
“ใช่ ทั้งสองทีมจะไปคนละเส้นทาง” รอยยิ้มบนหน้าชูฮันเริ่มกว้างขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นเขาก็หยิบถุงใบเล็กๆออกมา “ข้างในนี่มีคริสตัลของซอมบี้ระยะ 2 อยู่ 100 อัน 70 อันเป็นรางวัลสำหรับทีมแรกที่ไปถึงก่อน ที่เหลือจะเป็นของอีกทีม ฉันไม่ให้พวกนายเหนื่อยเปล่า แต่พวกนายต้องจำกฏไว้ให้ขึ้นใจ ห้ามทีมไหนขาดใครไปสักคน ทุกทีมต้องมีจำนวนสมาชิกเต็มจำนวนเมื่อไปถึง ถ้าขาดใครไปสักคนจะถือเป็นโมฆะทันที”
คริสตัล 100 อัน!
แววตาของทุกคนเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและกระตือรือล้น คริสตัล 100 อัน เป็นของตอบแทน…วิวัฒนาการระยะ 4 ช่างใจกว้างจริงๆ!
“ฉันจะทำ” เสี่ยวเคินเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นยอมรับเงื่อนไขของชูฮัน “หัวหน้าชูฮัน พวกเราจะทำภารกิจให้สำเร็จ!”
หลูปิงเซ่อเองก็ตอบรับเงื่อนไขของชูฮันเช่นกันหลังจากเงียบไปอยู่ครึ่งหนึ่ง “ถึงแม้ว่าฉันจะไม่เข้าใจว่าทำไม แต่ฉันก็ตัดสินใจที่จะเชื่อหัวหน้า ฉันจะทำภารกิจนี้”
เฟิงจื่อจือในยุคศิวิไลซ์จะได้รับรางวัลแกรมมี่ถึง 6 รางวัลภายในเวลา 2 ปี ในฐานะดีเจวัย 26 ปี โปรดิวเซอร์และหัวหน้าค่ายที่ออกอัลบั้มแรกของเขาเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เฟิงจื่อจือรีบกล่าว “ฉันต้องการเข้าร่วมทีมของหลูปิงเซ่อ”
จางโบฮั่นขมวดคิ้ว “แล้วฉันกับเจิ้งเทียนอี้ล่ะ?”
“เธอพูดว่าอะไรน่ะ?” ชูฮันหันไปมองจางโบฮั่น “ถ้าเธอกับเด็กนี่อยากจะเข้าร่วมด้วย เธอไปกับทีมของเสี่ยวเคิน ส่วนเจิ้งเทียนอี้ให้หลูปิงเซ่อเป็นคนรับผิดชอบ”
“เอ่อ…” จางโบฮั่นโวยวายใส่ชูฮัน “แต่ฉันคุ้นเคยกับหลูปิงเซ่อกว่า พวกฉันเข้าใจกันดี”
“จะให้พรสวรรค์ทั้งหมด 3 คนไปอยู่ในทีมเดียวมันไม่ค่อยยุติธรรมนะ ความสามารถของเธอค่อนข้างพิเศษ ฉันเชื่อว่ามันจะเหมาะสำหรับทีมของเสี่ยวเคิน เจิ้งเทียนอี้ยังเด็ก นั้นจึงเป็นหน้าที่เพียงพอแล้วให้ทีมหลูปิงเซ่อต้องรับผิดชอบดูแล” ชูฮันพูดต่อ ร่างกายของชูฮันปล่อยพลังผันผวนและกดดันออกมา ทำให้ไม่มีใครสามารถจ้องไปที่ชูฮันตรงๆได้ “นอกเหนือจากนี้ ฉันอยากจะบอกอะไรพวกนายซักหน่อย ถือเป็นคำแนะนำสำหรับทั้ง 2 ทีม”
ตอนที่ 374
ทันทีที่ชูฮันพูดจบ ทั้งจางโบฮั่น หลูปิงเซ่อและเฟิงจื่อจือต่างช็อคทันที สายตาทั้ง 3 คู่จับจ้องมาที่ชูฮันด้วยความประหลาดใจอย่างมาก คนอื่นๆที่เหลือก็ตกใจไปครู่หนึ่งเช่นกัน
พรสวรรค์ 3 คน?
เฟิงจื่อจือและจางโบฮั่นเป็นคนที่ประหลาดใจมากที่สุด พวกเขาไม่คิดว่าชูฮันจะดูออกว่าพวกเขาเป็นพรสวรรค์ด้วยแค่การมอง…นี่มันไม่ใช่สายตาที่คนทั่วไปจะมีได้
เสี่ยวเคินที่ก่อนหน้านี้สงสัยและข้องใจกับการตัดสินใจของชูฮัน ทว่าเมื่อได้ยินว่าจางโบฮั่นที่แท้จริงเป็นพรสวรรค์ ความสงสัยทั้งหมดของเขาก็หายไปทันที เขามองไม่ออกจริงๆว่าเจ้าของร้านที่เห็นแก่เงินคนนี้จะเป็นถึงพรสวรรค์
เฟิงจื่อจือและจางโบฮั่นมองหน้ากันและกันและมีสีหน้าบึ้งตึงไม่พูดไม่จา สายตาของทั้งคู่เป็นประกายระยิบระยิบ ขณะคิด…ครั้งนี้ พวกเขาเจอคนมีฝีมือเข้าจริงๆแล้ว!
ชูฮันไม่ได้สนใจสายตาเปล่งประกายของทั้งสองคนนั้น เขายังคงพูดต่อ “ถ้าไม่มีใครคัดค้าน งั้นทีมของหลูปิงเซ่อออกไปรอข้างนอกก่อน ส่วนทีมของเสี่ยวเคินให้อยู่ที่นี้”
การแข่งขันของทั้งสองทีมได้เริ่มขึ้นแล้ว!
หลูปิงเซ่อพาทีมของเขาออกไปรอข้างนอกพร้อมกับเจิ้งเทียนอี้ เนื่องจากชูฮันได้แบ่งพวกเขาออกเป็น 2 กลุ่ม เพราะฉะนั้นแต่ละทีมก็จะมีความคิดและวิธีการเป็นของตัวเองต่างกันไป
หลังจากประตูปิดลง จำนวนผู้คนในร้านของจางโบฮั่นก็หายไปเกือบครึ่ง กลุ่มคนที่อยู่ในทีมของเสี่ยวเคินต่างยืนกันอย่างวิตกกังวล รวมถึงจางโบฮั่นที่ก่อนหน้านี้ที่ไม่มีท่าทางปฏิกิริยาอะไร ทว่าในตอนนี้เธอกลับกลืนน้ำลายอึก ไม่มีใครรู้สาเหตุที่ชูฮันให้พวกเขาอยู่ก่อน
“เอาล่ะ ตั้งชื่อทีมของพวกนายสิ” อย่างไม่คาดคิด ประโยคแรกของชูฮันกลับกลายเป็นแบบนี้
ทุกคนต่างมึนงง
“ครับ…ชื่อ?” เสี่ยวเคินตะลึง
“ทีมต้องมีชื่อเพื่อจะสร้างความเหนียวแน่นกลมเกลียว” รอยยิ้มของชูฮันดูไม่ได้แยแสอะไร “เสี่ยวเคิน…นายเป็นหัวหน้าทีม อันดับแรกพวกนายควรพูดคุยถึงข้อได้เปรียบและเสียเปรียบของทีมก่อน”
เสี่ยวเคินพยักหน้ามองไปที่สมาชิกในทีมของเขาที่ล้อมกันเป็นวงกลมอยู่ คนส่วนใหญ่ยืนนิ่งพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา พวกเขาไม่ใช่คนฉลาดแต่พวกเขารู้จักความสามารถของตัวเองดี หลังจากพูดคุยกับเสี่ยวเคิน พวกเขาก็หันไปบอกชูฮัน “พวกเราด้อยกว่าทีมของหลูปิงเซ่อ เราขาดความคล่องแคล่ว ไม่มีรู้การเปลี่ยนแปลง ข้อได้เปรียบและแผนการที่มั่นคง”
หลายคนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เป็นครั้งแรกที่พวกเขาแบ่งกันออกเป็น 2 กลุ่มเดินทางออกไปนอกหมู่บ้านแถมยังใช้คนละเส้นทาง
พวกเขาทั้งหมดต่างดิ้นรนเพื่อที่จะได้คริสตัลจำนวนเยอะกว่า ทว่าหนทางของการกระทำนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
มั่นคงและมั่นคง…คาดว่ามันอาจจะเป็นข้อได้เปรียบอย่างเดียวที่ทีมนี้มี
ชูฮันเหลือบตาไปมองจางโบฮั่น จากนั้นเขาก็ยิ้มออกมา “ฉันจะแนะนำให้ ไม่จำเป็นต้องคล่องแคล่วแต่ให้เน้นไปที่ความมั่นคง พวกนายสามารถพัฒนาความเร็วและประสิทธิภาพและความเหนียวแน่นของทีมได้”
ไม่มีใครพูด ทุกคนร่างรอคอยฟังคำพูดต่อไปของชูฮันอย่างเงียบๆ
“อย่าทำอะไรหลายๆอย่าง แต่ให้ทำแค่เรื่องเดียวที่กลุ่มของหลูปิงเซ่อทำไม่ได้ให้ดี อย่างแรกคือความมุ่งมั่นอุตสาหะและอีกอย่างก็คือการป้องกันตัว” ชูฮันยกนิ้วขึ้นมา 2 นิ้ว จากนั้นก็ถาม “แล้วถ้ากุ้งเสือดำล่ะ?”
“กุ้งเสือดำ” เสี่ยวเคินนิ่ง “ชื่อทีม?”
“ใช่ กุ้งเสือดำ” รอยยิ้มในดวงตาของชูฮันดูมีอะไรแปลกๆซ่อนอยู่ “ทีมของพวกนายจะมุ่งเน้นไปที่การป้องกันและการทำงานเป็นทีม ซ่อนเขี้ยวเล็บเอาไว้และฆ่าในที่มืด ความหมายคือซื่อสัตย์…ว่าไง?”
เสี่ยวเคินเข้าใจเพียงแค่ความหมายพื้นๆที่ชูฮันอธิบาย ทว่าเขาสัมผัสได้ว่ามันมีบางอย่างแฝงอยู่ในคำพูดของชูฮัน เขารู้สึกว่าเขาอาจจะต้องใช้เวลาประมวลคำพูดของชูฮันอีกที
“มุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ไม่จำเป็นต้องรีบเร่งให้เร็วกว่าทีมของหลูปิงเซ่อ” ชูฮันเคาะนิ้วเขาลงที่โต๊ะ จากนั้นก็ยิ้ม “กุ้งเสือดำ ไปกัน ไปดูเมืองอันลูในอนาคต”
“ไป!” ทันใดนั้นเสี่ยวเคินก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างขัดๆอยู่ในอก ในคำพูดของชูฮันมันทำให้เสี่ยวเคินรู้สึกแปลกๆ ทีมกุ้งเสือดำมีความหมายอื่นอะไรซ่อนอยู่สำหรับชูฮัน?
“คำถามสุดท้าย” จู่ๆจางโบฮั่นก็พูดขึ้นมาในขณะที่ทุกคนกำลังจะออกเดินหน้า สายตาของทุกคนที่มามองเต็มไปด้วยความสงสัย “ตลอด 3 เดือน พวกอุปกรณ์ทั้งหมดและสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันและที่พักบนถนน ทุกอย่างพวกเราต้องหาทางจัดการเองใช่มั้ย?”
“ถูกต้อง” ชูฮันพยักหน้าพร้อมกับเผยรอยยิ้มที่ดูราวกับหมาจิ้งจอก “ฉันเชื่อว่าพวกนายจะหาทางได้”
“เข้าใจแล้ว” จางโบฮั่นตอบรับจากนั้นก็เปิดประตูพร้อมกับสมาชิกในมกุ้งเสือดำที่เดินออกไปทันที
ด้านนอกร้านอาหาร หลูปิงเซ่อมองไปที่อีกทีมที่กำลังเดินออกมาจากร้าน กลุ่มของหลูปิงเซ่อก็รีบไปยืนขวางทางทีมของเสี่ยวเคินทันที ทีมของเสี่ยวเคินแทบอยากจะประจันหน้ากับอีกฝ่าย ทว่ามีเพียงเสี่ยวเคินคนเดียวที่ห้ามไว้ คนอื่นๆอาจจะไม่เข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของชูฮัน แต่เสี่ยวเคินเป็นคนที่ได้คิดไตร่ตรองมาก่อนหน้านี้แล้ว เนื่องจากมันคือกุ้งเสือดำที่มีความคมเฉียบและสัญชาตญาณนักฆ่าแฝงที่อยู่ในเงาของกลุ่ม ต่อจากนี้ไปกุ้งเสือดำจะหลายเป็นจิตวิญญาณของทีม
“หลูปิงเซ่อ เจอกันอีก 3เดือน” เสี่ยวเคินพูดทิ้งท้ายไว้แค่ประโยคเดียวก่อนจะออกเดินทางจากไปทันที
“ฉันจะรอ” หลูปิงเซ่อมีสีหน้าอึมครึม รู้สึกสงสัยอย่างมากกับคำพูดของชูฮัน ชูฮันพูดอะไรถึงทำให้คนพวกนี้เปลี่ยนไปได้ขนาดนี้? ไม่สนใจการยั่วยุของเขาเลยสักนิด?
ไม่อยากจะเชื่อ!
“เข้ามาได้” เสียงของชูฮันดังมาจากข้างในร้าน
หลูปิงเซ่อรีบพาทีมของเขาเข้าไป ไม่เพียงแค่วิวัฒนาการในกลุ่มของเขาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเฟิงจื่อจือด้วย
เมื่อประตูปิดลง ทุกคนก็ยืนนิ่งสงบอยู่ต่อหน้าชูฮัน ทีมนี้ค่อนข้างแตกต่างจากทีมกุ้งเสือดำอย่างเห็นได้ชัด ทีมกุ้งเสือดำจะยืนต่อหน้าชูฮันอย่างเคารพก่อนที่ชูฮันจะเอ่ยปากพูด และเมื่อหัวหน้าเสี่ยวเคินพูดจะไม่มีใครพูดแทรกขึ้นมา ทุกคนต่างรับฟังกันและกันอย่างจริงจัง
ทว่า ทีมของหลูปิงเซ่อกลับเหมือนกับผงทราย บางคนยืนเฉยๆ บางคนก็ยืนเอนตัวผิงผนัง ความคล่องแคล่งก็คือความคล่องแคล่ว แต่นี้มันคือไม่ตั้งใจหรือไม่มีกฏเกณฑ์
“คนกลุ่มนี้ไม่มีทางทำสำเร็จ” หวังไคถอนหายใจ “ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนายถึงเลือกพูดกับทีมกุ้งเสือดำก่อน เพราะกลุ่มนี้มันวุ่นวายแบบนี้นี่!”
“มันไม่ขนาดนั้นหรอก” หลังจากชูฮันพูดประโยคนั้นออกมา มันก็ไม่มีคำอธิบายอะไรจากเขาอีก กลับกันจู่ๆชูฮันก็ลุกขึ้นจากที่นั่งของเขาและนั่งลงกับพื้นแทน
การกระทำของชูฮันทำให้หลายคนตกใจจนอ้าปากค้าง แม้แต่หลูปิงเซ่อก็รีบตั้งท่าป้องกันขึ้นมาทันที ขณะที่วิวัฒนาการคนอื่นก็ทำตัวไม่ถตูก ได้แต่กระโดดหลบหนีกันไปมา
ทุกคนต่างกลัวชูฮันกันหมด
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” ชูฮันหัวเราะ จากนั้นก็ตบมือลงที่พื้นข้างๆเขา “มาสิ นั่งๆ”
ทุกคนต่างมีสีหน้าตกใจพลางค่อยๆเขยิบตัวเข้ามาหาชูฮันอย่างระมัดระวังจนเกิดเป็นวงล้อมรอบชูฮัน แต่ละคนมีท่านั่งแตกต่างกันไป แต่ละคนมีสีหน้าแตกต่างกันไป ทุกอย่างกระจัดกระจายไปหมด
“หลูปิงเซ่อ นายเป็นหัวหน้าของทีมนี้ เริ่มโดยการพูดถึงข้อได้เปรียบและเสียเปรียบของสมาชิกในทีมสิ” ชูฮันพูดอย่างเดียวกับที่เขาพูดกับทีมก่อนหน้านี้
หลูปิงเซ่อมองไปที่ชูฮันด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคลายไม่ออก โดยเฉพาะเมื่อตัวเขานั่งถัดไปจากเด็กชาย 5 ขวบที่กำลังอมอมยิ้มอยู่ การเผชิญหน้ากับทีมของเสี่ยวเคินด้านนอกร้านก่อนหน้านี้ทำให้หลูปิงเซ่อพอจะมองเห็นความแตกต่าง ความจริงแล้วหลูปิงเซ่อค่อนข้างจะเข้าใจได้กระจ่างแล้วว่าตอนนี้ทีมของเขามีปัญหาใหญ่แล้ว!
ตอนที่ 375
“ข้อเสียเปรียบ” หลูปิงเซ่อครุ่นคิด “สมาชิกไม่เหนียวแน่นหรือเกาะติดกัน หัวหน้าก็เห็นแก่เงิน และมันไม่ใช่แค่ฉัน ทุกคนในทีมต้องการประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วและชอบฉวยโอกาส “
ขณะที่หลูปิงเซ่อพูด ศีรษะของหลายคนในทีมก็ก้มต่ำลงเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดทุกคนก็ได้แต่ก้มหน้ามองรองเท้าของตัวเอง หลูปิงเซ่อพูดถูก…พวกเขาเลือกที่จะวิ่งกลับไปที่ทะเลสาบน้ำแข็งเพื่อฉวยโอกาส ในขณะที่ชูฮันกลับพุ่งตัวเข้าไปในหมู่บ้าน ทางเลือกของพวกเขาก็เป็นหลักฐานชี้แล้วและมันก็สะท้อนผลลัพธ์ให้เห็นอยู่ในตอนนี้
หากครั้งนี้ชูฮันยังยอมรับพวกเขาและยังเสนอให้พวกเขาได้แข่งขันกับทีมกุ้งเสือดำ
“อืม” ชูฮันพยักหน้าพลางมองไปที่ทุกคนที่กำลังมีขวัญกำลังใจต่ำ ชูฮันส่งยิ้มให้หลูปิงเซ่อเงียบๆ “แล้วข้อได้เปรียบล่ะ?”
“เรามีข้อได้เปรียบด้วยเหรอ?” วิวัฒนาการระยะ 2 โพล่งถามขึ้นมาอย่างตะกุกตะกัก จากนั้นเขาก็พูดต่อ “นอกเหนือจากความสามารถพิเศษของหลูปิงเซ่อ เราก็ไม่มีข้อได้เปรียบอะไรเลย”
หลูปิงเซ่อเองก็ยืนเงียบด้วยเพราะข้อเสียเปรียบที่พวกเขามีนั่นมันคือเรื่องจริงทั้งหมด และข้อได้เปรียบอย่างเดียวที่พวกเขามีก็คือตัวเขาเอง ทว่าเขาไร้พละกำลังทางด้านสมถรรภาพทางกายหรือการต่อสู้อย่างสิ้นเชิง…ก็เหมือนกับฝูงงูก่อนหน้านี้ที่เกิดขึ้นกับชูฮัน หลูปิงเซ่อกลัวว่าจะไม่มีทางออก แถมยังความแตกต่างกันอย่างมากในเรื่องพละกำลังของทีมเขากับอีกทีม แต่คริสตัลที่เขาตรากตรำเก็บสะสมมากเป็นจำนวนมากก็ยากเกินกว่าจะทำใจละทิ้งไปได้
พลังการต่อสู้คืออำนาจในยุคโลกาวินาศ
เฟิงจื่อจือเหมือนมีบางอย่างที่อยากจะพูด เขาเอาแต่ทำท่าเผยอริมฝีปากอยู่นานทว่าในที่สุดก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมาอยู่ดี
“มันง่ายเกินไปที่จะทำให้กระทบความรู้สึกจริงๆ?” หวังไคพยายามพูดโน้มน้าวชูฮัน “ฉันแนะนำให้นายเลิกหวังกับคนพวกนี้เถอะ คุณภาพทางจิตวิทยาของพวกนี้แย่มาก มันไม่มีแรงกระตุ้นเลย มันจะเป็นเหมือนกับทรายผงที่ร่วงโรยเวลาเรากำขึ้นมา”
“ไม่ต้องรีบร้อน” ชูฮันตัดสินใจที่จะไม่สนใจคำพูดของหวังไค หลังจากกวาดตามองไปรอบๆวง ชูฮันก็กวักมือ “ทั้งหมดล้อมเข้ามา”
ทุกคนเขยิบหน้าเข้ามาชิดกันสนิทจนหัวของคนสิบกว่าคนชิดกันสนิทจนล้อมกันเป็นวงกลม ทุกคนใกล้ชิดกันและไม่มีการระแวงใส่กัน ไม่เหมือนกันกับทีมกุ้งเสือดำ ทำแบบนี้จะเหมาะสมกับกลุ่มนี้มากกว่า นี้เป็นวิธีที่กลุ่มควรสื่อสารกันและกัน
ทุกคน โดยเฉพาะพวกคนที่มีการป้องกันตัวที่ซ่อนอยู่ใต้จิตสำนึก…ระยะห่าง 1 เมตรคือระยะห่างในการสื่อสารที่ปลอดภัย แต่ถ้าเข้ามาอยู่ด้วยกันจนใกล้แบบนี้มันจะเป็นการสร้างภาพให้จิตใต้สำนึกจดจำว่าทุกคนคุ้นเคยกัน
และระยะห่างของชูฮันกับคนพวกนี้ก็เป็นคำใบ้ทางจิตวิทยาให้กับคนพวกนี้
“พวกนายสามารถทำแบบนี้—–” ชูฮันพูด
ผ่านไปสักพัก แววตาของหลูปิงเซ่อก็เป็นประกาย เขาเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ชูฮันด้วยความตื่นเต้น “มันคืออะไร?!”
“แน่นอน” ชูฮันมองไปที่หลูปิงเซ่อด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เพราะนายเชื่ออย่างเต็มที่ว่าฉันไม่มีพิษภัย” ชูฮันกดหัวของหลูปิงเซ่อลงค้างไว้ “ต่อไป—-“
“เอ่อ! พอรึยัง?” วิวัฒนาการอีกคนตื่นเต้นที่ได้ยิน
“ยังไม่เสร็จ!” ชูฮันกดหัวของชายคนนั้นไว้เหมือนเดิม
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ในที่สุดชูฮันก็ปล่อยให้ทุกคนเงยหน้าขึ้นพร้อมถามเสียงดังฟังชัด “พวกนายเข้าใจไหม?”
กลุ่มคนเบื้องหน้าชูฮันยังคงนั่งอยู่กับพื้น พวกเขาตอบออกมาอย่างพร้อมเพรียง “เข้าใจครับ!”
บนใบหน้าของทุกคนมีรอยยิ้มกว้างฉายอยู่ พวกเขาเต็มไปด้วยราศีเปล่งประกาย คนพวกนี้พร้อมแล้วที่จะออกเดินทางและเตรียมพร้อมกับการต่อสู้ครั้งใหญ่
ชูฮันตั้งชื่อทีมนี้ว่า ‘ความลับของพระเจ้า’ และเขาเองก็ตั้งความหวังไว้ที่ทีมนี้เช่นกัน ชูฮันไม่คิดเลยเขาจะสร้างทีมนี้ขึ้นมาได้สำเร็จ แต่ตั้งแต่ที่เขาได้เจอกับไก๋หนาน และหลังจากได้เห็นการกระทำที่สุดยอดของบี๋เทียนและซงเสี่ยว จากนั้นก็ที่หมู่บ้านนี้ที่เขาได้เจอกับการโกงคริสตัลกัน สุดท้ายเขาจึงได้คิดค้นไอเดียบางอย่างเอาไว้ในใจ
แท้จริงแล้ว ความลับของพระเจ้ามีข้อบกพร่องมากมาย แม้แต่เรื่องพื้นฐานที่สุดของทีมอย่างเรื่องความสามัคคี แต่ชูฮันได้รวบรวมคุณลักษณะต่างๆของทีมนี้เข้าไว้ด้วยกันและได้ให้คำแนะนำพวกเขาไปอีก ส่วนเรื่องที่พวกเขาจะพัฒนาการเรื่องอะไรขึ้นมาภายใต้การนำของหลูปิงเซ่อนั้น…เรื่องนี้ชูฮันก็ไม่รู้เหมือนกัน
มันคือการพนัน การพนันที่เสี่ยงมาก
หลังจากทีมความลับของพระเจ้าจากไป หวังไคก็ยังไม่พูดกับชูฮันอยู่นาน จนในที่สุดมันก็ปริปาก “นี่มันบ้าบออะไร?”
ชูฮันหยิบไวน์ที่มีมูลค่าในร้านเข้าไปในประตูมิติ “ทำไม? ตราบเท่าที่สมองของแกสามารถเป็นกังวลได้ แต่ก็แน่ละแกไม่สามารถเข้าใจตรรกะเรื่องพระเจ้าของฉันได้”
“แล้วเจิ้งเทียนอี้ล่ะ?” หวังไคยังคงไม่เข้าใจ “เขาอายุแค่ 5 ขวบเองแถมยังหูหนวกอีก เด็กประเภทนี้จะยุ่งยากเปล่าๆ นายเอาเขาไปไว้ในทีมที่ไร้ระเบียบอย่างความลับของพระเจ้า ทีมกุ้งเสือดำจะไม่เหมาะกับเขามากกว่าเหรอ? นายไม่กลัวว่าเจิ้งเทียนอี้จะเป็นอะไรกลางถนนเหรอ? แถมเงื่อนไขของนายก็ยังต้องให้ทุกคนไปถึงที่นั่นอย่างปลอดภัยอีก ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้!”
ชูฮันมีสายตาลึกลับ และพูดประโยคหนึ่งที่ทำให้หวังไคคิดได้ทันที “ตอนที่เรามาถึงหมู่บ้านนี้ ทำไมหลูปิงเซ่อถึงทิ้งเจิ้งเทียนอี้ไว้ที่หมู่บ้านนี้?”
หวังไคตกใจ
ชูฮันตอบกลับพร้อมกับรอยยิ้ม “ไม่ว่าจุดประสงค์จะคืออะไร เจิ้งเทียนอี้คือตัวเอกในทีมความลับของพระเจ้า อย่างน้อยก็สำหรับภารกิจนี้”
“เอาล่ะ ฉันจะรอดู” หวังไคยอมและในที่สุดก็เอ่ยปากถามต่ออีก “แล้วเรื่องคริสตัลล่ะ? นายจะให้คริสตัล 100 ชิ้นกับพวกเขาจริงๆเหรอ?!”
“ก่อนอื่น นายต้องทำความเข้าใจก่อนว่าสิ่งที่พวกเขาต้องการจริงๆไม่ใช่คริสตัล” ชูฮันยิ้มออกมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้หลังจากที่ดื่มไวน์ขวดสุดท้ายในมือและเดินออกมาด้านนอก พระอาทิตย์ได้ตกดินเรียบร้อยแล้ว ชูฮันพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่ฟังดูเหนื่อยใจ “มนุษยชาติ สุดท้ายแล้วก็คือสิ่งมีชีวิตเหมือนกัน”
“คำถามสุดท้าย” หวังไคคิดอยู่พักใหญ่ก่อนจะตัดสินใจถามออกมา “ตลอด 3 เดือน ความปลอดภัยเต็มที่จนถึงเมืองอันลู และการค้นหาหยางเทียนท่ามกลางคนมหาศาล แถมนายยังให้คำแนะนำไปทางที่ผิด นายไม่เปิดเผยข้อมูลอะไรของหยางเทียนเลย พวกเขาไม่รู้ว่าหยางเทียนอยู่ที่เมืองที่นายต้องการจะสร้างขึ้นในอันลู”
“อืม” ชูฮันพยักหน้า “มันมีปัญหาเหรอไง?”
“3เดือนมันเป็นระยะเวลาสั้นไป นายแน่ใจเหรอว่าพวกเขาจะทำสำเร็จ?!” หวังไคอดไม่ได้ที่จะตะโกนใส่ชูฮัน
“ไม่มีอะไรไม่สามารถทำได้” ชูฮันไม่สนใจ “แล้วฉันไม่ได้ใช้เวลาเดือนกว่าจากอันลูมาถึงนี้เหรอไง?”
“ก่อนหน้านี้นายเป็นวิวัฒนาการระยะ 3 แถมนายยังมีความสามารถด้านความเร็วที่ระดับ 3 ซึ่งมันเทียบเท่ากับพลังของวิวัฒนาการระยะ 4 ที่สำคัญกว่านั้นคือนายมีรถWrangler พลังงานแสงอาทิตย์!” หวังไคตกใจกับความคิดของชูฮัน “เห็นมั้ยว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้?”
“โอ้ะ ฉันลืมไปเลย”
“ฟู้ว—
ตอนที่ 376
ปลายเดือนพฤศจิกายน มันมีเวลามากกว่าหนึ่งเดือนให้ทุกคนเตรียมตัวเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ครั้งแรกของยุคโลกาวินาศ
ณ ค่ายตวน พายุหิมะส่งผลให้ภายนอกของตัวค่ายกลายเป็นสีขาวโพลนทั้งหมด เช่นเดียวกับค่ายซางจิง ห่างออกไปไกลพอสมควรมีเสาหินใหญ่โตอันน่าตกใจตั้งอยู่ หากที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือกระดานรายชื่อที่ฉายอยู่บนนั้น
บนแถวที่ 3 ที่เป็นรายชื่ออันดับของวิวัฒนาการระยะ 3 ซึ่งมีชื่อของชูฮันปรากฏอยู่ด้านบนสุดพร้อมกับตัวอักษรสีทองที่เปล่งประกายสะท้อนจนทำให้ผู้คนที่อยู่ห่างออกไปในค่ายตวนต้องมองมาด้วยสายตาพร่างพรายอย่างเคารพและชื่นชม
ตรงกลางของรายชื่ออันดับ ที่รายชื่อของวิวัฒนาการระยะ 5 มันได้มีชื่อของวิวัฒนาการหลายคนปรากฏขึ้นแล้ว
ป่ายหวีเนอ ตวนเจียงเหว่ย…
มันมีชื่อมากกว่าสิบชื่อปรากฏ ทว่าอันดับนั้นแตกต่างกันอย่างชัดเจน ชื่อของป่ายหวีเนอปราฏอยู่อันดับแรก ส่วนตวนเจียงเหว่ยก็ดูเหมือนพร้อมจะตามขึ้นมาได้ทันได้อยู่ทุกเมื่อ ถึงแม้สีของตัวอักษรที่ปรากฏจะเป็นสีเทาที่ไม่โดดเด่น แต่มันกลับเห็นได้ชัดเจนยิ่งกว่าชื่อของชูฮันที่ได้คะแนน S+ จากผลการประเมิณการต่อสู้โดยรวมซะอีก
อันดับมันชัดเจน
——–
ในตอนนั้นเอง บนถนนแคบๆไปสู่ค่ายตวน มันมีคนสองคนที่หาญกล้าท้าลมหิมะ
รองเท้าบู้ททหารที่การใช้งานมาอย่างตรากตรำได้เหยียบย่ำลงบนหิมะ บางส่วนของรองเท้าเปิดอ้าและเผยให้เห็นนิ้วเท้าที่แดงก่ำจากการโดยหิมะกัด เหอเฟิงและเติงฮ่าวเดินเคียงข้างกัน ทั้งสองมีสภาพทรุดโทรม ผมเผ้ารุงรัง มีสภาพดูดีกว่าผู้ลี้ภัยแค่นิดหน่อยเท่านั้น
“เราหาชูฮันไม่พบ เราควรกลับไปที่ซางจิงก่อนมั้ยครับ?” เติงฮ่าวเอ่ยปากถาม
ถึงแม้ทั้งคู่จะเป็นพลโทและมียศเท่ากัน ทว่าเห็นได้ชัดว่าเหอเฟิงดูเป็นที่น่าเคารพกว่าในทุกด้าน
ตัวตนของเหอเฟิงค่อนข้างพิเศษ
เหอเฟิงและเติงฮ่าวได้วิ่งไปมาแล้วหลายที่ที่มีเสาหินปรากฏอยู่ตามแผนที่ แต่มันกลับเปล่าประโยชน์ พวกเขาไม่รู้เลยว่าชูฮันได้ทำการทดสอบสำเร็จและได้คะแนน S+ มาจากสถานทีไหน โลกมันกว้างใหญ่มาก พวกเขาไม่รู้จริงๆว่าควรจะไปหาตัวชูฮันได้จากที่ไหน
“ด้วยการเดินเท้าแบบนี้ฉันไม่รู้เลยว่ามันต้องใช้เวลากี่ปีกี่เดือน ตวนเจียงเหว่ยก็ไม่สามารถมอบเฮลิคอปเตอร์ให้เราเดินทางไปซางจิงและค่ายตวนได้” เหอเฟิงวิเคราะห์ทีละขั้นตอน คิ้วของเขาเลิกขึ้นเล็กน้อย “มูลค่าของชูฮันได้เพิ่มขึ้นแล้ว และพวกที่ซางจิงจะต้องทำบางอย่างอีกแน่ๆ ดังนั้นเราจะรออยู่ที่นี่”
“เอ่อ…” เติงฮ่าวหมุนตัวกลับมาฟังและเมื่อได้ยินเหอเฟิงพูดถึงชื่อของพลเอกตวนเจียงเหว่ย เติงฮ่าวก็รู้สึกกลัวขึ้นมา
และในตอนนั้นเองมันก็มีชายหนุ่มในชุดผ้าขี้ริ้วที่กำลังดึงมือเด็กคนหนึ่งให้เดินตามมา ทั้ง เดิน 2 คนเดินผ่านหน้าพวกเขาไป เหอเฟิงหยุดเดินทันทีที่ได้สติและมองไปที่รอยฝีเท้า เติงฮ่าวเองก็มองตามสายตาของเหอเฟิงไปที่ผู้ลี้ภัย 2 คนนั่น ใบหน้าของคนที่เป็นผู้ใหญ่นั้นเปรอะเปื้อนสกปรกไปหมดจนไม่สามารถเดาอายุได้ ส่วนเด็กผู้ชายนั้นดูแล้วน่าจะอายุประมาณ 12 ขวบ บนหน้าตาที่เปรอะเปื้อนนั้นมีสีหน้าที่หวาดกลัวฉายอยู่
“เกิดอะไรขึ้น?” เติงฮ่าวอดไม่ได้ที่จะถาม
เหอเฟิงนิ่วหน้า ตาของเขาก็กวาดมองไปรอบๆตัวผู้ลี้ภัยสองคนที่อยู่ตรงหน้า
และในตอนนั้นเองผู้ชายคนนั้นและเด็กชายก็หยุดเดินหลังจากเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยที่มองมา สายตาของเด็กชายตัวน้อยเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดหลังจากเห็นเหอเฟิงและเติงฮ่าว มันเต็มไปด้วยความอิจฉาและกลัว
ส่วนชายคนนั้นก็มีสายตาที่เปลี่ยนไปชั่วคราวเมื่อมองที่หน้าอกของเฟอเฟิงและเติงฮ่าวหลังจากความไม่พอใจและความอับอายในตอนแรก ชายคนนั้นเหลือบมองไปที่ร่างผอมบางของเด็กชายและเดินตรงเข้ามาหาเหอเฟิงและเติงฮ่าว ชายคนนั้นเดินก้มหน้าเข้ามา โค้งตัว จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน
“ให้อะไรพวกเรากินหน่อยได้มั้ย?”
เหอเฟิงและเติงฮ่าวเหลือบตามองกันและกัน ทั้งสองถอนหายใจอยู่ในอก ภายใต้การนำของเหอเฟิง เติงฮ่าวหยิบคริสตัลซอมบี้ระยะ 2 ออกมาจากกระเป๋าและยัดมันเข้าไปในมือของชายคนนั้น “นี่คือคริสตัลของซอมบี้ เอามันไปที่ค่ายแลกเป็นอาหาร”
“ขอบคุณมาก!” ชายคนนั้นรับคริสตัลไปด้วยท่าทางตื่นเต้นสุดขีดพร้อมพูดขอบคุณด้วยน้ำเสียงสั่นเทา
เหอเฟิงและเติงฮ่าวหมุนตัวและเดินจากไป หลังจากทั้งสองคนเดินพ้นไปจากระยะสายตา ชายคนนั้นและเด็กผู้ชายก็เปิดปากพูดขึ้น
“สมบูรณ์แบบ การแสดงของนายนี่มันเกินไปจริงๆ”
“ผมไม่มีพรสวรรค์ในด้านนี้”
“งั้นนายเอาคริสตัลไป แม้อีกคนนั้นจะขี้เหนียวแต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไร”
“นี่นายออกมาจากค่ายนานไปแล้วรึเปล่า?”
“มันจะสายเกินไป นายต้องไปแล้ว”
เด็กผู้ชายถอนหายใจ ขณะที่แววตาของเขาที่ร่องรอยของความไม่เต็มใจ “ฉันจะไปส่งนายที่ประตู”
ชูฮันมองหน้าซงเสี่ยว ด้านหน้าคือประตูทางเข้าของค่าย
ชูฮันยิ้ม หากถอนหายใจอยู่ในอก ซงเสี่ยวซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่สืบราชการลับที่ค่ายตวนด้วยเพราะถ้าเป็นคนอื่นอาจจะถูกจับได้ไปแล้ว ซงเสี่ยวที่อายุแค่ 10 ขวบเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยที่สุด โดยเฉพาะเมื่อเพื่อนตัวน้อยคนนี้เฉลียวฉลาดพอๆกับเขา อีกทั้งชูฮันก็ไม่กล้าที่จะเสี่ยงถ้าคนคนนั้นไม่ซื่อสัตย์กับเขา
สุดท้าย…เขาก็ไว้ใจซงเสี่ยวได้ ชูฮันหมุนตัวและเดินออกไป มุ่งหน้าไปที่ถนนหลวงมุ่งสู่ค่ายซางจิง
ซงเสี่ยวยืนอยู่ตรงประตูเป็นเวลานานจนกระทั่งผู้ดูแลประตูเดินเข้ามาตบไหล่เขา “ลูกผู้ชายไม่ควรมาอาลัยอาวร พ่อของนายออกไปต่อสู้ไม่ใช่เพื่อให้นายมายืนงงอยู่แบบนี้!”
ซงเสี่ยวกลืนน้ำลายอึกและได้แต่พยักหน้าให้กับผู้ดูแลประตูที่แสดงความมีน้ำใจ
ซงเสี่ยวครุ่นคิดถึงแผนการถัดไป…พ่อของเขาคงไม่มีทางหนุ่มแบบนี้ สายตาของผู้ดูแลประตูคนนี้แย่ชะมัด!
———
ขณะนี้เหอเฟิงและเติงฮ่าวที่ยืนอยู่กลางค่ายตวนก็กำลังยืนเผชิญหน้าอยู่กับเจ้าหน้าที่ที่พึ่งเดินลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ อีกฝ่ายมีท่าทางประหลาดใจมากพร้อมกับทำท่าแสดงเคารพเมื่อได้เห็นเหอเฟิง
“พันโทเหอเฟิง!” ปากของเติงฮ่าวเผยอ เขาเองก็เป็นพันโทเหมือนกัน ทำไมคนแปลกหน้าตรงหน้านี้ถึงไม่ทำท่าเคารพเขาด้วย?
“รวดเร็วมาก” หลังจากเหอเฟิงพยักหน้ารับ เขาก็เดินตรงไปที่เฮลิคอปเตอร์ และไปหยุดอยู่ต่อหน้านายทหารที่ทำท่าเคารพเขาและเอ่ยปากถาม “นายชื่ออะไร?”
เจิ้งท่าวประหลาดใจไปครู่หนึ่ง “ผมชื่อเจิ้งท่าว เป็นคำสั่งของซางจิง—“
“ฉันรู้ ไม่ต้องพูดอะไรมากไปกว่านี้” เหอเฟิงพูดแทรกเจิ้งท่าวขึ้นมาและก้าวเท้านำขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไป
เจิ้งท่าวมีสีหน้าประหลาดใจ เขายังไม่ได้พูดอะไรเลย ทำไมเหอเฟิงถึงดูเหมือนจะรูไปหมดทุกอย่าง?
เติงฮ่าวที่ติดตามเหอเฟิงมาระยะหนึ่ง ทำให้เขาพอจะตามทันความคิดของเหอเฟิงได้ทัน การปรากฏตัวของเจิ้งท่าวนั้นเป็นไปได้การคาดเดาของเหอเฟิงเพียงแค่เขาไม่คิดว่ามันจะรวดเร็วแบบนี้ เหมือนว่าค่ายซางจิงน่าจะกำลังตกอยู่ในความวุ่นวาย หรือการได้คะแนนประเมิณ S+ ของชูฮันในครั้งนี้อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งโดยตรงภายในฐานของซางจิง
ตอนที่ 377
“2 คนนั้น หนึ่งในนั้นเราเคยเจอแล้วในอันลู” หลังจากเดินห่างออกจากค่ายตวนมาไกล หวังไคที่รออยู่ก็พูดขึ้นมา
“อืม” คนพวกนี้มาตามหาเขา
“ตอนนั้นที่เราอยู่ในซิงเฉิน มีกลุ่มคนมา” หวังไคพยายามนึก “ฉันไม่รู้ชื่อ แต่ตำแหน่งเขาค่อนข้างสูง”
“ไม่ว่าพวกมันจะเป็นใครก็ตาม พวกมันมาที่นี้เพื่อตามหาฉัน” ชูฮันไม่ได้เร่งรีบ เขาเดินไปเรื่อยๆตามถนนเพื่อหาที่ตั้งของพวกซอมบี้
“แล้วทำไมนายไม่ได้อยู่กับพวกเขาล่ะ? แล้วนายจะได้ไปซางจิงโดยตรงเลยทันที นายก็ไม่ได้เร่งรีบอะไรขนาดนั้นหนิ นายจะกลับไปที่อันลูก่อนจะไปซางจิงก็ได้ เรื่องของชิ้นส่วนระบบมันก็ขึ้นอยู่กับนาย เพราะนายน่าจะกังวลเรื่องนี้มากกว่าใครทั้งนั้น?” หวังไคถามคำถามจำนวนมาก
“แน่นอน” ชูฮันพุ่งเข้าไปในกลุ่มซอมบี้และไล่ฆ่าพวกมัน สำหรับชูฮันแล้วพวกมันก็เหมือนกับลูกหมาที่ทำอะไรเขาไม่ได้ ชูฮันไล่เปิดกระโหลกของพวกมันทุกตัว ไม่ว่าพวกมันจะเป็นซอมบี้ระยะ 2 หรือ 3 พวกมันคือศัตรูของเขา จากนั้นชูฮันก็พูดกับหวังไคด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ “ตอนนี้ที่เมืองอันลู ฉันคาดว่านอกจากหยางเทียน มันยังมีคนอื่นรอฉันอยู่อีก ถ้าฉันไปปรากฏตัวที่เมืองอันลูตอนนี้ฉันจะพลาดโอกาสไป แต่อีกฝ่ายก็กลัวเกินกว่าจะกล้ามาเผชิญหน้ากับฉัน จุดประสงค์ไม่ได้แค่เพื่อต้องการตามหาตัวฉันเท่านั้น?” ชูฮันหัวเราะอย่างเย้ยหยัน “ส่วนพันโทสองนายที่มุ่งหน้าไปซางจิงนั่นก็น่าตลกสิ้นดี ถ้าเรากดดันบางอย่างมากเกินไปผลสุดท้ายเราอาจจะเสียมันไปเลยก็ได้”
“มนุษย์นี่ช่างซับซ้อนเหลือเกิน” หวังไคถอนหายใจยาว “ปัญหาของซอมบี้ก็ยังแก้ไขไม่ได้ แถมยังมีลูกผสมสายพันธุ์ใหม่กำเนิดขึ้นมาอีก นี่ยังไม่ใช่จุดจบของมนุษยชาติ วิกฤตที่แท้จริงมันพึ่งจะเริ่มต่างหาก”
“มันซับซ้อนจริงๆแหละ” ชูฮันรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยอยู่ในอก “ฟางหลงและเติ้งเวยป๋อยังคงอยู่ในค่ายผู้รอดชีวิตในซางจิง และก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์ของพวกนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ส่วนฟานฮงเหวียนทั้งหมดที่รู้ก็แค่เขาอยู่ทางใต้ ตอนนี้มันก็เป็นเวลาเกือบ 6 เดือนแล้วตั้งแต่เกิดการปะทุขึ้น ไม่เพียงแต่ต้องช่วยชีวิตแม่และตามพ่อให้เจอ แต่ยังต้องช่วยชีวิตคนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้อีก แต่ฉันข้องแวะกับผู้คนมากเกินไปและมันก็ทำให้มีคนมากมายที่อยากจะฆ่าฉันให้ตาย หลายอย่างมันอยู่เหนือการควบคุม มันมาถึงภาวะที่กลืนไม่เข้าคลายไม่ออก”
หวังไคฟังอย่างนิ่งเงียบ มันไม่เข้าใจการกระทำของชูฮันที่เหมือนจะไล่ตามวิญญาณชั่วร้ายด้วยวิญญาณชั่วร้าย มันไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของชูฮันที่แทรกตัวไปอยู่ในทุกๆที่ ก็เหมือนกับซงเสี่ยวที่ก่อนหน้านี้ในค่ายตวน และชูฮันก็กึ่งบังคับให้ตวนเจียงเหว่ยรู้สึกเป็นหนี้ ทว่าชูฮันก็ยังไม่พอใจ อะไรคือสิ่งที่ชูฮันต้องการ และทำไมมันต้องซับซ้อนวุ่นวายขนาดนี้?
เมืองอันลู สมาคมนักล่า สถาบันวิจัยซิงเฉิน ค่ายตวน ค่ายหนานตู้ และที่ชูฮันมักจะหลีกเลี่ยงค่ายซางจิงอยู่ตลอด ความเกี่ยวข้องทั้งหลายมันเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่หวังไคก็ยังรู้สึกกลัว ทุกอย่างมันใหญ่โตเกินจะควบคุมแล้ว
——–
ด้านนอกของค่ายเล็กๆนอกเมืองอันลู หยางเทียนยืนอยู่หน้าโต๊ะของซางจิ่วตี้
ติงซือเย้าที่นั่งจิบชาอยู่อย่างสบายอารมณ์ เขามองไปที่คนสองคนที่เห็นได้ชัดถึงความแตกต่างด้านพละกำลัง คนหนึ่งที่ยืนกับคนหนึ่งที่นั่งอยู่ ช่างเป็นภาพที่ทำให้รู้สึกค่อนข้างตลก บางครั้งติงซือเย้าก็รู้สึกว่าค่ายแห่งนี้เป็นที่พักผ่อนที่ดีทีเดียว เพียงแค่ว่าน่าเสียดายที่โลกาวินาศไม่อนุญาตให้ทุกคนอยู่อย่างสุขสบายโดยไม่ทำอะไรได้ ตอนนี้หยวนซีเยก็ปักหลักอยู่ที่นี้และทางซางจิงก็ยังไม่ได้ถอนภารกิจของเขา
มันมีอะไรเกิดขึ้นกัน? เขาไม่อยากจะรู้และไม่อยากจะเสียเวลาไปคิด
ทั้งบ้านเงียบสงบอย่างมากจนได้ยินเสียงขยับปากกาในมือซางจิ่วตี้ที่กำลังนั่งเขียนเอกสารบางอย่างอยู่ สำเนาของแผนการถูกปรับเปลี่ยนหลายต่อหลายครั้ง ชูฮันให้เวลาพวกเขาทั้งหมดแค่ 6 เดือน ทว่าแค่ร่างแผนงานก็ใช้เวลาไปแล้ว 1 ใน 3 ที่มี
“ฉันอยากฉลองปีใหม่” หยางเทียนเปิดปากพูดก่อน
ซางจิ่วตี้เพียงแค่เงยหน้าขึ้นมามองหยางเทียนที่มีแววตาคลับคล้ายกับชูฮัน หยางเทียนเอ่ยปากถาม “แล้วเงินทุน?”
ตาของหยางเทียนเป็นประกาย “นี่เป็นปีใหม่ปีแรกของค่ายเรา ทุกคนต้องอยากให้มันออกมาดี”
ติงซือเย้าหยุดนิ่งขณะมองไปที่ซางจิ่วตี้ด้วยสำหน้าจริงจัง ในขณะนี้ค่ายยังคงอยู่ในระยะดั้งเดิมแรกเริ่มอยู่ เทียบไม่ได้เลยสักนิดกับค่ายอื่นๆที่พัฒนาไปไกล ทว่าตอนนี้ปัญหาเรื่องการขาดอาหารได้ถูกแก้ไขแล้วเรียบร้อยและยังมีโครงสร้างอีกมากมายที่รอเริ่มดำเนินการอยู่
ซางจิ่วตี้ย่นคิ้วเล็กน้อย วัสดุในค่ายไม่ได้ขาดแคลนทว่ามันหาได้ยากมากในตอนนี้ที่ช่วงเวลาสอดคล้องกับปีใหม่ และถ้าเป็นเช่นนั้นมันจะทำให้ผู้รอดชีวิตทั่วไปสูญเสียความรู้สึกของความเป็นอยู่แบบปกติในค่ายไป ถ้าเป็นเช่นนั้นเราจะทำยังไงต่อ?
มือของซางจิ่วตี้ที่จับปากกาอยู่เริ่มกลายเป็นสีขาว บนหน้าผากก็เริ่มมีเหงื่อซึมออกมา ถ้าชูฮันอยู่ที่นี้ เขาคงมีทางออก
หยางเทียนรู้สึกผิดที่เอ่ยคำขอดังกล่าว หยางเทียนมองไปที่ความลำบากใจบนหน้าของซางจิ่วตี้ แม้เขาจะไม่เข้าใจว่าทำไม เพราะหลังจากการจัดการทุกอย่างภายใต้การดูแลของซางจิ่วตี้ ค่ายก็เป็นระบบระเบียบดีขึ้นอย่างมาก ทุกอย่างเป็นไปได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ค่ายมีการพัฒนา เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนี้ค่อนข้างมีอำนาจในมือพอสมควร
อย่างไรก็ตาม…คำถามของเรื่องปีใหม่ก็มีมาเรื่อยๆจากผู้คนในค่าย
อะไรคือความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่างคนที่อาศัยอยู่ในฐานและคนที่พลัดถิ่น?…มันคือการติดต่อหรือความผูกพัน ถ้าทางฐานไม่สามารถดึงความผูกพันอย่างน้อยที่สุดระหว่างผู้คนในฐานได้ มันก็ไร้ประโยชน์ ทุกคนจะเลือกอยู่สบายอย่างไม่สนใจอะไร ในตอนนี้ค่ายเมืองอันลูเพียงแค่พึ่งจะพัฒนาเท่านั้น ซึ่งมันก็เพียงพอได้แค่ให้สถานที่ธรรมดาเรียบง่ายให้ผู้คนได้อยู่อาศัย
หยางเทียนเข้าใจถึงความเป็นจริงข้อนี้ ซางจิ่วตี้เองก็เช่นกัน แต่ตอนนี้มันไม่มีหนทาง…ปีนี้กำลังจะจบลงแล้วอย่างนั้นเหรอ?
“ฉันว่า” เมื่อมองไปที่สองคนที่เอาแต่เงียบ ทันใดนั้นติงซือเย้าก็พูดขึ้นมา “ถ้าชูฮันอยู่ที่นี่ เขาจะจัดงานปีใหม่มั้ย?”
“เขาจะทำให้งานปีใหม่ปีแรกของค่ายมีชีวิตชีวาอย่างแน่นอน” ซางจิ่วตี้ยิ้มออกมาทว่ามันก็จางหายไปในพริบตา
“แล้ว—-เราจะจัดงานปีใหม่มั้ย?” หยางเทียนไม่กล้าที่จะพูดอะไรมาก แม้เขาจะรู้ว่าชูฮันจะไม่มีทางปล่อยให้ปีใหม่ผ่านไปอย่างแน่นอน ทว่าปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็คือตอนนี้ชูฮันไม่ได้อยู่ที่นี้ และมันเป็นไม่ได้สำหรับเขาและซางจิ่วตี้ที่จะทำมันเอง
“คิดสิ ว่าถ้าชูฮันอยู่ที่นี้ เขาจะทำยังไง?” จู่ๆติงซือเย้าก็พูดออกมา ถึงแม้ตัวติงซือเย้าเองก็หาทางออกไม่ได้ แต่จากแบบแผนความคิดของชูฮัน ชูฮันมักจะหาจุดที่ฝ่าปัญหาออกไปได้เสมอ
“ชูฮัน? ถ้าเป็นเขา เขาจะทำอย่างไร?” ซางจิ่วตี้คิดถึงประโยคนี้ซ้ำไปซ้ำมาคนเดียว
ในขณะนั้นเอง เจียงฮงหยูที่อยู่ด้านนอกตัวบ้านจู่ๆก็เคาะประตูและเดินเข้ามา “มีคนมา 2 คน?”
ซางจิ่วตี้ขบคิดอยู่ในใจ ใครกัน?
เจียงฮงหยูตอบ “พลตรีที่มาจากซางจิงและบางคนที่อ้างว่ามาจากสถาบันวิจัยของจีน”
แย่แล้ว!
ซางจิ่วตี้มีท่าทีวิตก…มาในช่วงเวลาอ่อนไหวแบบนี้ พวกเขาต้องการจะทำอะไรกัน!?
ตอนที่ 378
ซางจิ่วตี้และหยางเทียนเดินขนาบคู่กันมา ส่วนเจียงฮงหยูก็เดินตามทั้งคู่มา ทั้งสามคนเดินตรงไปตามโถงทางเดิน
หน้าผากของซางจิ่วตี้ชุ่มไปด้วยเหงื่อซึ่งแปลกมากด้วยเพราะอากาศในตอนนี้ค่อนข้างหนาว สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ค่อนข้างยากที่จะอธิบายได้
ทันใดนั้นเองหยางเทียนก็ดึงซางจิ่วตี้ที่กำลังจะหมุนตัวผ่านประตูไป หยางเทียนพูดเสียงแผ่วเบา “หัวหน้าพูดบางอย่างกับฉันก่อนที่เขาจะไป”
ซางจิ่วตี้ตกใจ ความกังวลในใจที่มีคลายตัวลงเล็กน้อย จากนั้นก็ขมวดคิ้วพร้อมถาม “อะไรล่ะ?”
“ถ้าปัญหามันแย่พอแล้ว ก็ทำให้มันแย่ขึ้นไปอีก” หยางเทียนพูดขณะมองหน้าซางจิ่วตี้ “แต่ฉันไม่เคยเข้าใจมันเลย”
ซางจิ่วตี้ขมวดคิ้วจากนั้นก็ถาม “มีอะไรอีกมั้ย?”
“มี เขายังบอกอีกว่า—” หยางเทียนไม่รู้ว่าประโยคนี้มันจะเหมาะที่จะพูดตอนนี้หรือไม่ แต่เขาก็กัดฟันพูด “เวลาที่มันย่ำแย่มากๆ ใช้วิธีแบบดั้งเดิมที่สุด คือบดขยี้อย่างรุนแรง”
“อืม…” ซางจิ่วตี้ไม่คิดว่าจะได้ยินแบบนี้
“ซวย…เอ่อท่าน…นี่ผมทำให้มันแย่ลงหรือเปล่า?” หน้าตาหล่อเหลาของหยางเทียนบิดเบี้ยวด้วยความกังวล หน้าตาคิ้วขมวด
“เปล่า!” จู่ๆแววตาของซางจิ่วตี้ก็เป็นประกาย เธอดึงตรายศที่ติดอยู่ตรงหน้าอกของเธอออก “ตอนที่นายเข้าไป อย่าเรียกฉันว่าท่าน ทำให้ฉันดูเหมือนคนร้าย ยิ่งดูเหมือนมากเท่าไหร่ยิ่งดี”
หยางเทียนอึ้งขณะมองหน้าซางจิ่วตี้ที่ดูเหมือนกำลังเร่งรีบอยู่ ความคิดในหัวของหยางเทียนเริ่มตีวนเวียนกันไปหมด แม้แต่ซางจิวตี้เทพธิดาของจีนก็ยังถูกยาพิษ เธออยู่กับชูฮันมานานขนาดนั้นเลยเหรอ? สามารถกลายเป็นคนที่ร้ายขนาดนี้ได้?
ภายในห้องประชุม…มีนายทหารที่อยู่ในชุดเครื่องแบบพิถีพิถัน รองเท้าบู้ทได้รับการขัดเงาเลื่อม ส่วนยศตราพลตรีบนหน้าอกก็ส่องประกายเงาวับ ในตอนนั้น เขากำลังถือถ้วยชาอยู่ขณะที่สายตาก็แสดงออกถึงความรังเกียจ
มันเป็นสถานที่ที่ไม่น่ารื่นรมย์ ไม่มีแม้แต่ถ้วยชาดีๆ แถมยังปล่อยให้เขารอตั้งนาน การบริการของค่ายนี้ได้เปิดวิสัยทัศน์ของเขาจริงๆ
พลตรีสิงโตนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม แม้มันจะเป็นเรื่องปกติทว่าอารมณ์ร้ายกาจที่แสดงออกมาได้รบกวนสายตาที่อยู่ด้านหลังเลนส์ที่กำลังมองมาราวกับกำลังประเมิณมูลค่าของสินค้าและวิธีที่จะเพิ่มมูลค่าของสินค้าให้ได้มากที่สุด
“คนจากสถาบัน?” อย่างไรก็ตาม พลตรีที่ดูขี้หงุดหงิดก็เป็นคนแรกที่เอ่ยปากพูดก่อน
หลงหยวนเจียมองไปที่พลตรีสิงโต หากไม่ได้ตอบอะไรไป เขาเพียงแค่พยักหน้า
เมื่อมองไปที่ท่าทางของหลงหยวนเจียที่ดูไม่สนใจอะไรเขาเลย พลตรีสิงโตก็แสยะยิ้มออกมา “ใครเป็นคนจัดตั้งสถานบันของนายขึ้นมา? นายได้รับอนุญาตจากซางจิงหรือเปล่า? แล้วสำนักงานงานใหญ่ของสถาบันอยู่ที่ไหน? ใครเป็นคณบดี?”
ชุดคำถามถูกร่ายถามออกมาอย่างไม่มีพิธีรีตอง
หลังจากหลงหยวนเจียทำเพียงแค่เหลือบตามอง ท่านพลตรีก็เดือดจัด ผู้ชายคนนี้กล้าเมินใส่เขาต่อหน้าต่อตา เขาจะทำให้ไอ้สถานบันวิจัยของมันหายวับไปในพริบตาเลย!
“จะไม่พูด?” อารมณ์ของพลตรีขี้โมโหยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พลังผันผวนของวิวัฒนาการระยะ 3 จู่ๆก็แพร่กระจายออกมา เขารอซางจิ่วตี้มานานจนจะทนไม่ไหวแล้ว
และในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาจากตรงทางเข้า เป็นซางจิ่วตี้ที่เดินมาพร้อมกับหยางเทียน ส่วนเจียงฮงหยูนั่นรออยู่ด้านนอกประตู
เมื่อเห็นมีคนเข้ามา พลตรีสิงโตผู้คลั่งก็กลับไปวางตัวนิ่งเหมือนเดิม สายตาก็เป็นประกายขณะมองไปที่ซางจิ่วตี้…ช่างเหมาะสมกับชื่อเสียงที่โด่งดังเหลือเกิน ทำไมผู้หญิงที่สวยขนาดนี้ถึงได้มาอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมแบบนี้?
ซางจิ่วตี้แสยะยิ้มอยู่ในอก เธอเดินไปที่กลางห้องและนั่งลง ส่วนหยางเทียนก็เดินตามมายืนประกบข้างหลังเธอ
“ก่อนอื่น ฉันขอแนะนำตัวก่อน ฉันชื่อซางจิ่วตี้” ซางจิ่วตี้เผยรอยยิ้มที่มีเสน่ห์และอ่อนโยนบนหน้า “พวกคุณต้องการอะไรที่นี่?”
ทันทีที่ซางจิ่วตี้พูดออกไป สายตาของพลตรีสิงโตขี้โมโหก็เปล่งประกายความโลภออกมาทันที ผู้หญิงที่แสนอ่อนโยนคนนี้กลายเป็นผู้นำของค่ายนี้ หึ! ชูฮันก็ไม่ใช่ว่าจะสมบูรณ์ขนาดนั้นนี่นา แม้แต่หาผู้นำที่เหมาะสมดีๆสักคนมาดูแลค่ายยังไม่ได้ ไม่แปลกใจที่ค่ายนี้จะไม่ต่างอะไรกับเขตลี้ภัย!
หลงหยวนเจียไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร จุดประสงค์ของเขาคือต้องการพูดกับคนที่ค่ายเพียงลำพัง และจะดีที่สุดถ้าได้เจอชูฮันด้วยตัวเขาเอง
เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนต่างกำลังรอใครสักคนเอ่ยปากก่อน พลตรีขี้โมโหที่ทนไม่ไหวก็เปิดก่อน น้ำเสียงของเขาแสดงถึงความดูถูกที่มีต่อซางจิ่วตี้ “ฉันเพิ่งเข้ามาและได้เห็นพลตรีหญิงที่โด่งดังและอายุน้อยที่สุดในจีน ช่างมีสีสันดีเหลือเกิน”
“แค่นั้น?” จู่ๆอารมณ์ขอซางจิ่วตี้ก็เปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน สายตาของเธอเต็มไปด้วยความเย็นยะเยือก “ถ้าคุณพอใจแล้ว ก็เชิญเดินไปทางซ้าย เดินช้าๆไม่ต้องรีบ ต่อไป!”
“เธอ!” พลตรีขี้โมโหไม่พอใจอย่างมากกับท่าทางของซางจิ่วตี้ เขาผุดขึ้นยืนด้วยความโกรธสุดขีด “ซางจิ่วตี้! เธอต่อต้านคำสั่งของกองทัพเพื่อมาอันลูด้วยตัวเองและยังเมินเฉยการเรียกตัวกลับของซางจิงอีกหลายต่อหลายครั้ง รู้ตัวรึเปล่าว่าเธอถูกปลดแล้ว?!”
ถูกปลดแล้ว? ไม่ใช่อย่างแน่นอน มันก็แค่วิธีที่พลตรีขี้โมโหนี่พยายามจะขู่ให้เธอกลัว การจัดการกับผู้หญิงที่ไม่กลัวอะไรเลยทำให้อีกฝ่ายรู้สึกหวาดกลัวมากพอจะทำเรื่องแบบนี้
แต่ที่เหนือความคาดหมายของทุกคนก็คือ จู่ๆซางจิ่วตี้ก็หันหน้ากลับไปจ้องหน้าพลตรีขี้โมโห จากนั้นจู่ๆเธอก็ยกมือขึ้นด้วยสายตาแปลกๆ
พ้ะ!
ทันใดนั้นมันก็มีบางอย่างเย็นๆกระแทกลงบนหน้าของพลตรีขี้โมโห!
“นั่นคือตรา” เสียงนิ่งเรียบของซางจิ่วตี้ดังขึ้น
การกระแทกที่เกิดขึ้นบนหน้าอย่างกระทันหัน ทำให้พลตรีสิงโตมองไปที่ซางจิ่วตี้ด้วยสายตาตะลึงและนิ่งค้าง จากนั้นก็มองไปที่ตราที่ตกลงไปบนโต๊ะ “เธอ? เธอ?”
“คุณแค่มาเพื่อจะบอกว่าฉันโดนปลดใช่มั้ย?” รอยยิ้มของซางจิ่วตี้ลึก หยางเทียนสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกที่แผ่เข้าสู่หัวใจเขา หยางเทียนรู้สึกหนาวในใจเขารู้สึกคุ้นเคยกับรอยยิ้มนี่ ทุกครั้งที่หัวหน้าชูฮันต้องการจะจัดการใคร เขาก็มักจะยิ้มแบบนี้เหมือนกัน
“เปล่า ไม่ใช่” พลตรีขี้โมโหยังไม่ได้สติกับสถานการณ์ที่พลิกผันไปมาอย่างกระทันหัน สมองของเขาหยุดทำการไปชั่วครู่ ตำแหน่งของซางจิ่วตี้กับเขานั่นเท่ากัน ถ้าพวกตำแหน่งสูงๆทั้งหลายในซางจิงรู้ว่าเขาพูดจาบังคับให้ซางจิ่วตี้ถอนยศออกมาละก็ เขาต้องตายแน่ๆ สาเหตุที่เขามาที่นี้ไม่ใช่เพื่อมาฉีกหน้าของอีกฝ่าย!
ความตื่นตระหนกพุ่งพล่านออกจากอกของพลตรีสิงโต เขายังคงคิดอะไรออกไม่ได้มาก จึงได้แต่พูด “ฉันมาเพื่อบอกว่าการแต่งตั้งของชูฮันในฐานะพลเอกได้รับคำสั่งให้กลายเป็นเรื่องเร่งด่วนสุด และนำของต่างๆที่จำเป็นมาชุดใหญ่ให้นายพลชูฮันด้วย ผมหวังว่าชูฮันจะปฏิบัติตามระเบียบการ—–“
พลตรีขี้โมโหก็ยังร่ายยาวต่อไปอีกถึงสนธิสัญญาที่ไม่มีความยุติธรรมต่างๆ ในขณะเดียวกันมันก็บ่งบอกได้ว่าทางซางจิงต้องการให้ทั้งคู่อยู่ที่นี้เพื่อคอยจัดการเรื่องต่างๆ เนื่องจากชูฮันต้องการจะพัฒนาค่ายและทางซางจิงก็ต้องการที่จะยังมีอำนาจควบคุมอยู่ เพราะฉะนั้นไม่ว่าทางค่ายจะพัฒนาอะไรก็ตาม ซางจิงจะไม่ยอมให้ชูฮันเป็นคนเดียวที่เป็นใจกลางควบคุมทุกอย่างเอาไว้
รอยยิ้มของซางจิ่วตี้กว้างขึ้นเรื่อยๆ คำพูดของพลตรีขี้โมโหทำให้ทุกคนประหลาดใจกันหมด “ชูฮันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับค่ายแห่งนี้ ทำไมเขาจะต้องมาเกี่ยวข้องกับฉัย? วางของพวกนี้ไว้แล้วคุณก็เชิญกลับไปได้”
“อะไร อะไรน่ะ?!” พลตรีขี้โมโหไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน
“ไม่เข้าใจตรงไหน?” ซางจิ่วตี้เอียงคอถามพร้อมกับจ้องเขม็งไปที่ตาของพลตรีสิงโต “ฉันถูกปลดแล้ว ถ้าเช่นนั้นฉันก็ไม่ใช่คนของค่ายซางจิงแล้ว แต่เป็นโจรอยู่ที่นี้ และคุณจะไม่มีทางหาชูฮันเจอ” พลตรีขี้โมโหอ้าปากเหวอ “ส่วนของที่คุณนำมาโดนฉันปล้นแล้ว ง่ายๆแบบนี้ เข้าใจมั้ย?”
ตอนที่ 379
ทุกคนต่างตกใจกันหมดกับความน่ากลัวของซางจิ่วตี้ ไม่เพียงแต่มันจะทำให้พลตรีขี้โมโหและหลงหยวนเจียอึ้งแล้ว แต่หยางเทียนที่ยืนอยู่ด้านหลังซางจิ่วตี้เพื่อคอยสนับสนุนเองก็ตกใจแทบล้มเหมือนกัน
หลงหยวนเจียรีบโค้งคำนับซางจิ่วตี้อย่างรวดเร็ว เขาคิดว่าครั้งนี้เขาอาจจะสามารถต่อรองกับอีกฝ่ายได้ ทว่าดูเหมือนอีกฝ่ายกลับแค่นั่งลงและพูดคุยเหมือนไม่ใช่ปัญหาอะไรที่ต้องใส่ใจ สถานการณ์ในตอนนี้มันเหนือความคาดหมาย ผู้หญิงคนนี้ปฏิเสธทุกอย่างโดยไม่แม้แต่จะแยแส ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับชูฮันช่างน่าประหลาดใจมาก!
พลตรีสิงโตขี้หงุดหงิดไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง เขาไม่คิดเลยว่าซางจิ่วตี้จะมีความกล้ามากขนาดนี้่ เธอไม่เพียงแต่โยนตราตำแหน่งทิ้งใส่หน้าเขา แต่ยังบอกอีกด้วยว่าจะยึดเสบียงที่เขานำมาให้ไป แถมยังให้เขากลับไปมือเปล่าอีก?
ใครมอบความกล้าให้เธอได้ขนาดนี้!
หยางเทียนไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทุกอย่างเกิดขึ้นเป็นไปตามที่เขาพูดกับซางจิ่วตี้ก่อนหน้านี้เลย…ทำให้มันแย่ขึ้นไปอีก!
การสูญเสียตำแหน่งไป จะทำให้ค่ายแห่งนี้ถูกขับไล่ไปตกอยู่ในความรับผิดชอบของทั้ง 3 ภูมิภาคทันทีและจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับค่ายซางจิง ไม่เพียงแต่การพัฒนาการของค่ายจะถูกยับยั้ง แต่แม้แต่ผู้อาศัยทั่วไปก็จะได้รับผลกระทบอย่างมาก
ความคิดของซางจิ่วตี้แจ่มชัด จุดประสงค์แรกเริ่มของเธอที่มาที่นี้คือเพื่อให้ชูฮันสบายใจและสามารถออกไปทำสิ่งที่เขาจำเป็นต้องทำได้ และเธอก็จะคอยดูแลทุกอย่างอยู่ที่นี่ให้
แต่ตอนนี้สถานการณ์ได้พลิกผันไปอย่างสิ้นเชิง เธอต้องใช้มาตรการที่รุนแรงที่สุด เห็นได้ชัดว่าซางจิงเปลี่ยนไปแล้ว ถ้าเป็นผู้บัญชาการมู๋มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ท่านจะส่งคนเพื่อมาควบคุมค่ายและแม้กระทั่งเอาสนธิสัญญาที่ไม่มีความยุติธรรมนี้มาด้วย มันมากเกินไป ซึ่งมันไม่ใช่สำหรับการพัฒนาของค่ายเมืองอันลู แต่ดูเหมือนกับเครื่องมือที่ใช้บีบบังคับให้ยินยอมมากกว่า
ไม่ว่าสนธิสัญญานี้จะได้รับการลงนามหรือตราบใดที่พลตรีขี้โมโหนี้ยังอยู่ที่นี่ ทางค่ายจะไม่สามารถลงมือทำอะไรได้ทั้งนั้น
ซางจิ่วตี้รู้ดีว่าการแก้ไขเพียงอย่างเดียวท่ามกลางสถานการณ์นี้ก็คือการโยนตราทิ้งไปและขับไล่พลตรีสิงโตบ้าคลั่งคนนี้!
เขาบอกว่าเธอโดนปลดแล้วไม่ใช่เหรอไง?
ถ้างั้นก็ เชิญ…ตามที่นายปรารถนา
สำหรับของที่พลตรีสิงโตเอามา?
ขอบคุณที่ส่งของขวัญปีใหม่มาให้!
เมื่อมองไปที่ท่าทีแข็งกร้าวของซางจิ่วตี้ อารมณ์ของพลตรีสิงโตก็พุ่งปะทะขึ้นมาจากอก ทันใดนั้นเขาก็ผุดลุกขึ้นและชี้นิ้วไปตรงจมูกของซางจิ่วตี้และตะโกน “ยัยผู้หญิงฉาวโฉ่! คงเหนื่อยมากสินะ ฉันจะบอกอะไรให้นะไม่ว่าวันนี้เธอจะพูดยังไงก็ตาม ยังไงฉันก็ต้องอยู่ควบคุมค่ายนี้!”
แววตาของซางจิ่งตี้เผยร่องรอยเยาะเย้ยออกมา…พร้อมจะฉีกหน้าตัวเองแล้วเหรอไง?
ดี! อะไรๆจะได้ง่ายขึ้น!
“จบหรือยัง?” ซางจิ่วตี้ไม่กลัวที่จะจ้องตากับพลตรีสิงโต ไม่มีร่องรอยของการล่าถอย “โปรดเข้าใจให้ชัดเจนด้วยว่าค่ายนี้เป็นของฉัน ถ้าของของนายเข้ามาในนี้แล้ว มันจะไม่มีทางได้ออกไป ส่วนคน? ถ้าไม่อยากตายก็ไสหัวกลิ้งออกไปเดี๋ยวนี้!”
“อีเวร! พ่อแม่มึงสิ! จะให้กูกลิ้งออกไป!” พลตรีสิงโตบ้าคลั่งมองซางจิ่วตี้ด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ พลังผันผวนของวิวัฒนาการระยะ 3 ปะทุออกมาทันที เขาต้องการจะให้บทเรียนแก่ผู้หญิงคนนี้
จากนั้น——
“หยางเทียน” เสียงของซางจิ่วตี้ดังขึ้นแผ่วเบา
ฟรึบ!
ทันใดนั้นจู่ๆมันก็มีคลื่นพลังอันยิ่งใหญ่ระเบิดออกมาจากร่างของหยางเทียน เกิดเป็นกระแสลมหมุนรอบร่างของเขา แรงปะทะและแรงกดที่อัดแน่นบีบบังคับพลตรีสิงโตต้องล้มลงไปที่พื้น สายตาของพลตรีสิงโตฉายแววหวาดกลัวออกมา—-
ปัง!
มีกำปั้นกระแทกเข้าที่ใบหน้าของพลตรีสิงโต!
หยางเทียนไม่ลังเลเลยสักนิดที่จะปล่อยหมัดออกไป เขาอยากจะสั่งสอนไอ้นี่มานานแล้ว มันกล้าดียังไงสบถใส่ซางจิ่วตี้? แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าซางจิ่วตี้คิดเห็นยังไงกับเรื่องนี้ แต่หยางเทียนก็จำได้ว่าตอนที่ชูฮันจากไป ชูฮันสั่งไว้ว่าด้านการต่อสู้ทั้งหมดเป็นหน้าที่ของเขา ส่วนที่เหลือเป็นหน้าที่ของซางจิ่วตี้
เนื่องจากหัวหน้าบอกเช่นนั้น มันก็ถือเป็นเรื่องชอบธรรมแล้ว เพราะหยางเทียนถือว่าเขาทำตามที่หัวหน้าบอก
จากการระเบิดอารมณ์จนเปลี่ยนเป็นความเงียบสงบ ทุกอย่างใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้นเอง และเมื่อพลตรีสิงโตที่อยู่ที่พื้นรู้สึกตัวขึ้น ซางจิ่วตี้ก็ลงไปนั่งยองๆที่พื้นและเผยรอยยิ้มเย็นยะเยือกออกมา
หลงหยวนเจียยังไม่พูดอะไรเลยตั้งแต่แรก ในตอนแรกเขาคิดว่าผู้ชายที่ชื่อหยางเทียนน่าจะแค่เข้ามายืนดูเฉยๆ แต่ที่ไหนได้เขาถูกรูปลักษณ์ของหยางเทียนหลอกตาเอา ไม่มีใครคิดว่าหยางเทียนจะเป็นถึงวิวัฒนาการระยะ 5!
และในครั้งนี้พลตรีสิงโตก็เริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนองและหันมามองหยางเทียนที่ยืนอยู่ข้างหลังซางจิ่วตี้ด้วยสายตาไม่เชื่อ ค่ายที่ด้อยการพัฒนาจนล้าหลังนี้มีวิวัฒนาการระยะ 5 ซ่อนอยู่?
ผั้วะ!
และในตอนนั้นเอง คนมากมายที่เฝ้ารอสถานการณ์อยู่ด้านนอกห้องก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากด้านใน เหล่าทหารที่พลตรีสิงโตพามาต้องการจะพุ่งตัวเข้ามาทว่ากลับถูกร่างสูงใหญ่ที่จู่ๆก็เข้ามาขวางทางไว้ เจียงฮงหยูซึ่งเป็นวิวัฒนาการระยะ 4 ส่งยิ้มให้ทุกคนขณะปล่อยพลังผันผวนของเขาออกมากดดันให้เหล่าทหารหยุดการเคลื่อนไหว
เมื่อได้เห็นภาพที่เกิดขึ้น พลตรีสิงโตก็รู้เลยว่าตอนนี้เขาตัวคนเดียวและไร้หนทางขอความช่วยเหลือแล้ว เนื่องจากคนที่เขาพามาได้ถูกปราบเอาไว้หมด แม้แต่ตัวเขายังถูกวิวัฒนาการระยะ 5 ซ้อม แม่ง! ทำไมไม่มีใครบอกเขาว่าค่ายนี้มีวิวัฒนาการที่ทรงพลังขนาดนี้อยู่ถึง 2 คน?
อย่างไรก็ตาม เขาจะไม่ยอมแพ้เพียงเพราะเหตุแค่นี้ กลับกันพลตรีสิงโตเลือกที่ดีดตัวขึ้นและแหกปากใส่หยางเทียน “วิวัฒนาการระยะ 5 แกรู้มั้ยว่านี่เป็นความผิดถึงตายกับการทำร้ายพลตรี? ฉันสามารถสั่งลงโทษแกได้ตอนนี้เลย!”
ฟางสุดท้ายของพลตรีสิงโตหมดลง
“ลงโทษ” ซางจิ่วตี้หัวเราะเยาะเย้ยทันทีกับประโยคที่ได้ยิน มันมีวิวัฒนาการะยะ 5 จากทั้งจีนกี่คนกัน? หยางเทียนก็แค่ไม่ได้เข้าร่วมการประเมิณของเสาหิน แต่ถ้าคนอื่นรู้เรื่องระยะวิวัฒนาการของหยางเทียนเมื่อไหร่ละก็ ตราตำแหน่งจะลอยมาหาหยางเทียนเองด้วยซ้ำ
ส่วนสำหรับการชกพลตรี เรื่องนี้ไม่ง่ายที่จะจัดการแต่สิ่งที่ซางจิ่วตี้ต้องการก็ไม่ได้รับมือได้ง่ายเช่นกัน เพราะฉะนั้นถึงแม้หยางเทียนจะถูกเปิดเผยว่าเป็นวิวัฒนาการระยะ 5 แต่มันก็ยังมรพวกที่ต้องการมอบยศตำแหน่งให้เขาอยู่ดีถึงแม้อาจจะต้องเจอการพิพากษาอย่างรุนแรงจากผู้คนรอบข้าง
ซางจิ่วตี้ไม่กลัวคำขู่ของสิงโต เธอตอกกลับไปอย่างเย่อหยิ่ง “โยนเขาออกไป”
ผั้วะ!
ทุกคนถูกโยนออกไปด้านนอกที่มีผู้รอดชีวิตมากมายเดินกันตามถนนทางเดิน
คนพวกนี้มาพร้อมกับของมากมายเต็มไม้เต็มมือ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ถูกซ้อมและยึดของทั้งหมดไป กลุ่มของพลตรีสิงโตรีบบินเฮลิคอปเตอร์หนีกลับไปอย่างรวดเร็ว
และในตอนนั้นเอง ติงซือเย้าก็ได้เดินออกมาจากตัวบ้าน เขาวางแผนจะเดินมาดูสถานการณ์ หากกลับได้เห็นภาพใบหน้าบวมเฉ่งของพลตรีสิงโตที่อยู่บนเฮลิคอปเตอร์และบินออกไปอย่างเร่งรีบ ติงซือเย้ายืนค้างดูอยู่ครู่หนึ่งขณะมองไปที่เฮลิคอปเตอร์ลำพิเศษของซางจิง
มันเกิดอะไรขึ้นในเวลาแค่ไม่กี่นาทีกัน?!
ติงซือเย้าคิดอะไรไม่ออก เขารีบมุ่งหน้าไปที่ห้องประชุมทัที ทำไมซางจิ่วตี้ถึงได้บ้าดีเดือดขนาดนี้? ทำไมเธอถึงกล้าลงมือกับคนที่ซางจิงส่งมา? นี่มันไม่ใช่จะยิ่งทำให้เรื่องมันใหญ่ขึ้นเหรอ?!
หากเมื่อติงซือเย้ามาถึงห้องประชุม เขาก็ต้องประหลาดใจที่ได้เห็นภาพซางจิ่วตี้กำลังเผชิญหน้ากับคนแปลกหน้าอยู่