“ครับหัวหน้า!” กลุ่มคนนำโดยเฉินเสี้ยนกาวใช้พลังลมตะเบ็งเสียงออกมาลั่นอย่างดุดันจนอึกทึก ดูเหมือนพวกเขาพร้อมที่ออกรบและเป็นไปได้ว่าน่าจะอยู่ในขั้นที่พร้อมจะฟันซอมบี้เป็นชิ้นๆภายในไม่กี่นาที
พลทหารสองร้อยนายที่ได้รับบทเรียนจากชูฮันไปแล้วตัวสั่นเทิ้ม ขณะมองไปที่กลุ่มคนนับร้อยตรงหน้าที่ใส่เสื้อผ้าที่ไม่สามารถสร้างความอบอุ่นแก่ร่างกายได้ ทว่าพวกเขากลับตะเบ็งเสียงดังยิ่งกว่าตอนพวกเขาฝึกซ้อมประจำวันซะอีก มันอยากจะที่จะจินตนาการ คนเพียงแค่ 80 คนตะโกนดังสนั่นกันอย่างพร้อมเพรียง แสดงถึงความเหนียวแน่นที่พวกมันมีต่อชูฮัน ซึ่งมันน่ากลัวอย่างมาก
ชูฮันบิดริมฝีปาก เขาไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับไป เขาก้าวเท้าออกเดินไปข้างหน้า เบื้องหลังของเขาคือเมืองชั้นในที่ทุกคนโหยหาและใฝ่ฝันจะได้เข้ามาอยู่ แต่เขากลับเดินจากไปอย่างไม่ลังเลและไม่สนใจเลยสักนิด
เฉินเสี้ยนกาวพร้อมกับกลุ่มคนเดินตามหลังชูฮันไปทันที เพิกเฉยต่อสีหน้าตะลึงของพลทหารกว่าสองร้อยนาย
เมื่อเห็นว่าในสุดกลุ่มของชูฮันก็จากไป พันชางเซียนก็ตัวอ่อนเปรี้ยแข็งขาอ่อนอย่างหมดแรง เนื้อตัวอ่อนยวบ ในที่สุดไอ้คนนอกคอกนั่นก็ไปสักที!
“ไปเร็ว…” ไปมอบความตายให้ไอ้ชูฮัน พันชางเซียนไม่สนใจใบหน้าที่บวมเฉ่งของเขา เขารีบวิ่งมุ่งหน้าไปทางศูนย์บัญชาการทันที
ไม่นานหลังจากชูฮันจากไป เรื่องราวของชูฮันที่พังทลายแผนกโลจิสติกส์และที่สมาชิกในครอบครัวของชูฮันทำร้ายเจ้าหน้าที่พลเรือน ทั้งสองเรื่องได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองราวกับสายฟ้า ทุกอย่างโหมกระหน่ำยิ่งกว่าพายุเกินกว่าจะหยุดยั้งได้
อีกครั้งที่ชูฮันได้สั่นประสาทของเหล่าคนใหญ่โตในซางจิง ถ้วยชามมากมายแตกกระตาย โต๊ะและเก้าอี้ถูกเตะล้ม
ชูฮันมาซางจิงเพียงแค่ 3 วัน ทว่ากลับสร้างความวุ่นวายไปทั่วทั้งเมืองจนเละไปหมด โชคยังดีที่ชูฮันจากไปแล้ว ไม่อย่างนั้นค่างซางจิงคงได้พังทลายทั้งค่าย
วันแรกที่มาถึง กฏระเบียบด้านสิทธิพิเศษของพลเอกได้รับการเปลี่ยนแปลง หนังสือสาบานตนก็ถูกเปลี่ยนในวันต่อมา ทั้งห้องประชุมมีแต่ความวุ่นวาย และวันที่สาม เจ้าหน้าที่ถูกทำร้ายและสำนักงานของแผนกโลจิสติกส์ถูกรื้อถอน!
เจ้าชูฮันคนนี้! มันจะกล้ามากเกินไปแล้ว!
ด้านนอกอาคารสำนักงานของผู้บัญชาการมู๋และเลาหมิงภายในเมืองชั้นใน ตรงแท่นสูงคลุมไปด้วยหิมะ หากมันมีคนหนุ่มสาว 3 คนยืนอยู่
สีหน้าของเลาเสี่ยวเสียวแสดงออกถึงความไม่พอใจพร้อมกับถอดชิ้นส่วนปืนไรเฟิลไปด้วย ด้านข้างของเธอคือจุนจื่อและจุ้ยชู…2สมาชิกของฮูหยา สองฝาแฝดมีสีหน้าอึมครึมขณะก้มหยิบชิ้นส่วนปืนที่ถูกเลาเสี่ยวเสียวรื้อขึ้นมาประกอบกลับให้เหมือนเดิม ทว่าไม่ว่าพวกเขาจะใช้ความรวดเร็วในการประกอบขนาดไหนก็ยังไม่รวดเร็วเท่ากับเลาเสี่ยวเสียวตัวคนเดียวที่คอยรื้อปืนอยู่ เลาเสี่ยวเสียวสามารถใช้เวลาไม่กี่วินาทีแยกชิ้นส่วนของปืนไรเฟิลออกเป็นชิ้นๆ
“กระแอม…” จุนจื่อไอเล็กน้อย พยายามบอกใบ้บางอย่างแก่เลาเสี่ยวเสียว “คุณเลา คุณช่วยอย่ารื้อมันได้มั้ย พวกเราเหนื่อยมากกับการตามประกอบมัน”
“เฮ้อ!” จุ้ยชูอารมณ์ไม่ค่อยดี สีหน้าอึดอัด “ทำไมเราต้องเสียเวลามาเป็นเพื่อนคุณด้วย? เพื่อมาเล่นถอดชิ้นส่วนปืนของคลังแสง!”
“เพราะมันมีปืนไม่จำกัดไง!” เลาเสี่ยวเสียวตะลึง “พี่ชายชูฮันไปแล้ว ชาช่าวหนานก็นอนอยู่บนเตียง ทั้งซางจิงไม่มีใครมาเป็นเพื่อนเล่นกับฉันได้เลย”
“ชาช่าวหนานโดนคุณแกล้งจนป่วยสินะ?” จุ้ยชูยกมุมปาก “แต่คุณมีบอดี้การ์ดติดตามอยู่แล้วไม่ใช่เหรอไง? ไปหาพวกเขาสิ!”
“แต่พวกเขาไม่เร็วเท่าพวกเธอนิ” เลาเสี่ยวเสียวตอบกลับทันที ทว่าคำตอบของเธอทำให้คู่แฝดถึงกับพูดอะไรไม่ออก
“ทำไมคุณถึงไม่ไปกับชูฮัน?” จุ้ยชูคิดพร้อมกับถามออกไป
เลาเสี่ยวเสียวหลุบตามองพื้นก่อนจากนั้นก็มองไปที่คู่แฝดด้วยสายตาจริงจัง “ฉันยังเด็กเกินไป แต่ถ้าฉันอายุ 16 เมื่อไหร่ฉันจะไปหาพี่ชูฮันและแต่งงานกับเขา!”
“ฮัดชิ้วววว…”
“ชู่ววว! อย่าส่งเสียง!” เลาหมิงที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องหลังผ้าม่าน สายตาจับจ้องไปที่หลานสาวของเขาที่ยืนท้าลมหนาวอยู่ด้านนอกพร้อมกับแววตาเศร้าสร้อย
ผู้บัญชาการมู๋ซึ่งกำลังนั่งทำงานอยู่เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ดันแว่นสายตาให้เข้าที่ “ฉันแค่จามและถูมือนิดหน่อย นายกังวลไปหรือเปล่า?”
“ฉันจะเป็นกังวลต่อหลานสาวฉันไม่ได้รึไง?” เลาหมิงกรอกตา จากนั้นก็หมุนตัวกลับมาถาม “โอ้ ยังหาหลานชายนายไม่เจออีกเหรอ?”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ผู้บัญชาการมู๋ก็ชะงักไป เขาถอนหายใจจากนั้นก็ส่ายหัว “อย่าพูดถึงเรื่องนี้ มาดูนี่สิ”
เลาหมิงมองไปที่สิ่งที่ผู้บัญชาการมู๋บอก ไม่นานแววตาของเลาหมิงก็เป็นประกาย “เด็กคนนี้!”
“คิดไม่ถึงใช่มั้ย?” ผู้บัญชาการมู๋มีท่าทีสนใจ
“มันทำให้ฉันประหลาดใจ” เลาหมิงตบหน้าตัวเอง “ฉันเป็นคนทำให้แผนกโลจิสติกส์กลายเป็นแบบนี้ ชูฮันนี้มันเด็กจริงๆ”
“เกินความคาดหวังของเรา ฉันไม่ได้คาดหวังให้เขาเล่นหนักขนาดนี้” ผู้บัญชาการมู๋เองก็ถอนหายใจเช่นกัน
ผู้บัญชาการพยักหน้าพูด “เขาไม่ใช่คนอ่อนแอ ไม่ต้องกังวล”
ผู้บัญชาการมู๋เผยรอยยิ้มบนหน้า “ความกล้าหาญอาจกลายเป็นก้าวร้าวได้ หากในขณะเดียวกันมันก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ คนหนุ่มแบบเขาหาได้ยาก”
“แต่ยังเด็กเกินไปและความกล้าหาญก็มากเกิน” เลาหมิงส่ายหัว สายตาลึกซึ้ง “เด็กหนุ่มมักจัดการด้วยยาก เขารู้ว่าต้องทำอะไรและอะไรไม่ควรทำ ใครจะรู้ว่าในอนาคตเขาอาจกล้ากว่านี้อีก จากนั้นก็กลืนกินซางจิง?”
“ใครจะรู้?” ผู้บัญชาการมู๋เองก็มีสายตาล้ำลึก “พวกเราก็แก่แล้ว เราไม่สามารถสนับสนุนเค้าได้ไปตลอด ตอนนี้เราก็ได้แค่พนัน และใครก็ตามที่วางเดิมพันก็จะมีความเสี่ยง จะดีกว่าถ้าตอนนี้เราหาคนที่ป่ายหวีเนอกำลังหาตัวอยู่”
“พอนายพูดฉันก็ลืมไปเลยว่ายังมีป่ายหวีเนอ! ฮ่าฮ่าฮ่า!”
————-
ขณะนั้น ณ บ้านพักของเฉินช่าวเย่ ปากของเซียเหว่ยที่มีเลือดติดอยู่ขณะก้มหัวโค้งต่อหน้าชายคนหนึ่งต่อหน้าเธอ
“หึ! ฉันโอนแกมาติดตามเฉินช่าวเย่ แกทำภารกิจอะไรสำเร็จบ้าง ได้ข้อมูลอะไรมาบ้าง?” ชายคนนั้นนั่งอยู่บนโซฟา น้ำเสียงของเขายังหนุ่มอยู่ หากมีสัมผัสของความเด็ดขาดและเจือจางกลิ่นอายสังหาร ผู้ชายคนนี้คือคนที่ปลอมแปลงคำสาบานตอนที่ถูกส่งไปให้ชูฮัน
เซียเหว่ยเงยหน้า พยายามใช้รูปลักษณ์ของตัวเองเพื่อสงบอารมณ์อีกฝ่าย “ท่านเหย่ ดิฉันขออภัย เจ้าอ้วนเฉินช่าวเย่นั้นไม่ทำอะไรเลย นอกเหนือจากให้ดิฉันทำอาหารให้กิน เขาไม่แม้แต่จะเหลือบตามองดิฉันเลยด้วยซ้ำ ขนาดดิฉันเข้าไปอาบน้ำโดยไม่ปิดประตูเขายังไม่คิดจะแล”
เหย่จือโปจ้องเซียเหว่ย พร้อมกับยิ้มมุมปากอย่างชั่วร้าย “เธอทำแค่นั้น?”