เล่ม 9 ตอนที่ 5 : ต่างโลก? โลกใต้พิภพ? (1)
“ตอนนี้เงินสำรองก็เหลือน้อยแล้วด้วย”
ไรเด็นเอนพิงพนักเก้าอี้ขณะส่งเสียงถอนหายใจยาวออกมา เขาเป็นลอร์ดมาได้สามสัปดาห์แล้ว นับว่าเป็นช่วงเวลาที่น่าสะพรึงนัก เพราะเงินทุนของปราสาทมีเหลืออยู่เพียง 0 เหรียญทอง นอกจากนี้ อาร์คยังส่งมอบเงินทุนทั้งหมดออกสู่ประชาชนในบริเวณปราสาทเพื่อรักษาฐานเสียงเอาไว้ ดังนั้นแล้วมูลค่าที่ดินตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับสภาพล้มละลายตอนที่ไรเด็นได้เข้ามาเป็นลอร์ด
‘ไอ้เจ้าอาร์คนั่น…!’
ไรเด็นนึกแค้นยามนึกถึงว่าอาร์คได้หลอกพวกตนครั้งใหญ่ ทว่าเขาไม่อาจไปฉีกกระชากอาร์คออกเป็นชิ้นได้ แม้จะอยากไล่ล่าอาร์คแค่ไหนก็ตาม แต่ตอนนี้เขายังเป็นลอร์ดแห่งซิลวาน่าอยู่ หากเขาละมือจากตรงนี้ โครงสร้างพื้นฐานของอาณาเขตจะไม่อาจเคลื่อนไหวและยังทำให้อาณาเขตกว่าครึ่งโดนยึดอำนาจไป ท้ายที่สุดไรเด็นจึงต้องเพิ่มระดับภาษีขึ้นเพื่อให้พ้นวิกฤต นั่นจึงทำให้ประชากรชาวเมืองต่างส่งเสียงก่นด่าไม่หยุดหย่อน
“ลอร์ดคนก่อนให้โบนัสกับพวกเราเพราะจัดตั้งสำนักงานการค้าสำเร็จ แต่แล้วลอร์ดคนใหม่กลับเพิ่มภาษีทันทีที่ได้ตำแหน่งลอร์ด! นี่ไม่เกินไปหรือไร?”
“ทำไมวิธีการบริหารเงินของพวกเขาช่างแตกต่างกันได้ถึงเพียงนี้?”
“พวกเราจะไม่ยอมเป็นทาสของลอร์ดคนนี้อีกต่อไป!”
“ถ้าหากยังทำกับพวกเราแบบนี้ต่อไป ข้าก็จะไม่ขออดทนอีก!”
‘บัดซบ ที่ต้องเพิ่มภาษีขึ้นก็เพราะไอ้ลอร์ดคนก่อนนั่นแหละ!’
ไรเด็นกรีดร้องอยู่ภายใน เพราะอะไรกันเขาถึงต้องมาตามเช็ดล้างสิ่งที่อาร์คกระทำไว้? เพราะเรื่องนี้ไรเด็นจึงต้องเพิ่มระดับการจัดเก็บภาษี ไม่เท่านั้น เขายังได้รับเสียงก่นด่าสาปแช่งจากประชากรจนกระทั่งเขาแทบโดนฉีกทึ้งออกเป็นชิ้น ทว่าเขาไม่อาจหาญกล้าพูดต่อหน้าประชาชนเช่นนั้นได้ ไม่สิ เขาทราบดีต่างหากว่าเอ็นพีซีเหล่านี้หาได้เข้าข้างเขาเพราะเพราะมีเบรามีคอยค้ำยันอำนาจอยู่
“งานยากแล้ว ถ้าหากเป็นแบบนี้ต่อไปคงเกิดการจลาจลแน่”
ในนิวเวิลด์มีระบบที่เรียกว่า ‘ปฏิวัติ’ คงอยู่ ถ้าหากเขาขึ้นภาษีมากไปหรือเร็วเกินไปจนทำให้เกิดความข้องใจขึ้นมา ค่าความสัมพันธ์ของเขากับเหล่าประชากรจะลดต่ำลง และเมื่อใดที่ค่าความสัมพันธ์ถึงจุดวิกฤต ประชากรจะลุกฮือขึ้นก่อกบฏ ถ้าหากเขาประสบเหตุการณ์กบฏขึ้นมา มันคงเป็นปัญหาใหญ่แล้ว เขาไม่อาจเก็บภาษีต่อไปได้เพราะอาจไปกระตุ้นให้เกิดการปฏิวัติขึ้นมา แต่ถ้าหากเขาไม่อยากให้เกิดการปฏิวัติ แล้วแบบนั้นมูลค่าที่ดินก็ไม่ต่างอะไรกับเถ้าถ่านแล้ว
ถ้าหากปล่อยให้เรื่องราวแบบนั้นเกิดขึ้น กิลด์อื่นย่อมต้องฉวยโอกาสเข้าโจมตีปราสาทโดยไม่สนมารยาทของการบุกโจมตีอย่างแน่นอน ถ้าหากกิลด์อื่นเป็นดั่งฝูงผึ้งเข้ารุมต่อยเฮอร์มีสล่ะก็ เมื่อนั้นก็ไม่มีอะไรรับประกันได้แล้วว่าปราสาทนี้จะปกป้องเอาไว้ได้ ท้ายที่สุดไรเด็นจึงไร้ทางเลือกนอกจากต้องลดภาษีลงในอีกหลายวันถัดมา ทว่าปัญหาเรื่องเงินทุนยังคงอยู่ ไรเด็นได้รับข้อมูลมาว่ากิลด์ปีกสีเทาได้ซื้อสิทธิ์การท้าชิงบุกโจมตีปราสาทครั้งถัดไปมาไว้ในครอบครองแล้ว
‘อดทนไว้ ถ้าเราเสียปราสาทไปก็จบเห่!’
ปราสาทแห่งนี้ยากเย็นได้รับมา แถมยังต้องจ่ายให้อาร์คอีกกว่า 4,000 เหรียญทองพร้อมรองเท้าหายาก มีเพียงเท่านั้นหรือ? เพื่อรักษาสภาพอาณาเขตแห่งนี้ให้คงอยู่ เขาถึงกับต้องนำเงินเก็บออกมาใช้ กระทั่งขายรถไปด้วยซ้ำ ถ้าหากสูญเสียปราสาทแห่งนี้ไปคงได้กระอักเลือดจนตายตก นอกจากนี้มันยังส่งผลกระทบต่อทั้งกิลด์เฮอร์มีสอีกด้วย ไรเด็นเริ่มกระตุ้นสมาชิกกิลด์ให้ช่วยกันส่งมอบเงินเพื่อซ่อมแซมกำแพงปราสาทและหอคอยป้องกัน โชคยังดีที่เขาสามารถต้านทานการโจมตีของพวกกิลด์ปีกสีเทามาได้
หลังผ่านไปอีกสิบวัน ไรเด็นในที่สุดก็ได้พักหายใจหายคอบ้าง ภาษีลดต่ำลงแล้ว เงินทุนเร่งด่วนก็แก้ปัญหาได้แล้ว อีกทั้งกองกำลังกิลด์ปีกสีเทาก็อ่อนแอลงเพราะการบุกโจมตีล้มเหลว แน่นอนว่ายังมีกิลด์อื่นอีกมากในซิลวาน่า ทว่าไม่มีพวกเขากลุ่มใดที่จะเป็นภัยคุกคามเทียบเท่ากิลด์ปีกสีเทาได้
หลังผ่านไปยี่สิบวัน ในที่สุดพื้นที่แห่งนี้ก็ถูกจัดการให้เข้ารูปเข้ารอยได้ ทว่าเขาก็ลงทุนไปไม่น้อยกว่าจะได้รับเสถียรภาพเช่นนี้มาไว้ในครอบครอง
“สามสัปดาห์! นี่เราถึงกับหว่านเงินจำนวนมากไปกับที่ดินพวกนี้ตลอดช่วงสามสัปดาห์ที่ผ่านมา!”
ความโกรธของเขาปะทุขึ้นเมื่อได้หยุดพักหายใจหายคอ เขาไม่ได้รับผลกำไรใดเลยในช่วงสามสัปดาห์ จะมีก็แต่หนี้สิน
“ไอ้เจ้าอาร์คนั่น ฉันไม่มีทางอภัยให้แกแน่!”
“เห็นด้วย!”
ดุ๊คเองก็ร้องอุทานออกมาเช่นกัน
“พอมาคิดดูอีกครั้งแล้ว รองเท้าของฉันถึงกับโดนหมอนั่นแย่งชิงไป…”
ดุ๊คก้มลงมองรองเท้าหนังของตน ไรเด็นสัญญาว่าจะซื้อหารองเท้าใหม่ที่ดีกว่าให้หลังได้รับตำแหน่งลอร์ด ทว่าการเงินของไรเด็นกลับตกอยู่ในอาการวิกฤตจนต้องขายรถเพื่อหาเงินมาหมุน ในสถานการณ์แบบนี้ ทางกิลด์ย่อมไม่มีทางรองรับการซื้อหารองเท้าใหม่ให้ดุ๊คได้ เพราะเหตุนั้นเอง ดุ๊คจึงต้องสวมใส่รองเท้าที่มีขายในร้านค้าทั่วไป แม้ว่ารองเท้าที่ไรเด็นซื้อมาเป็นการขออภัยจะค่อนข้างแพงอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่อาจเทียบได้กับรองเท้าหายากที่สูญไปแม้แต่น้อย
“ตอนนี้ปราสาทอยู่กับรูปกับรอยแล้ว พวกเราต้องเสียสละไปมากกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ทุกปัญหาที่เกิดขึ้นก็เพราะอาร์ค เรื่องนี้อภัยให้มันไม่ได้เด็ดขาด!”
“เห็นด้วย!”
เหล่าสมาชิกกิลด์ต่างร้องตะโกนเป็นเสียงเดียว
“มันหลอกลวงพวกเรา!”
“ไอ้เจ้าอาร์คนั่นคิดว่าพวกเราเฮอร์มีสเป็นตัวอะไรกัน!”
“ไม่เคยเจอมันก็จริง แต่เพราะหมอนั่นทำเอานอนไม่หลับ อย่างน้อยต้องฆ่ามันสักหลายรอบ!”
“มีใครรู้ไหมมันไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนกัน?”
สมาชิกกิลด์ต่างเผยสีหน้ามืดมนต่อคำถามนี้
“มันไม่ใช่คนโง่ แน่นอนว่าย่อมต้องหนีไปไกลแล้ว”
“เป็นไปได้ไหมว่าจะข้ามชายแดนเข้าอาณาจักรอื่นไปแล้ว?”
“ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น”
จีเวลพลันกล่าวขัดคำขึ้นด้วยสีหน้ามั่นใจ
“พวกนายคิดหรือว่าฉันจะส่งรองเท้าของดุ๊คให้ไปโดยมือเปล่า?”
“เธอหมายความว่า?”
“ก่อนจะส่งรองเท้าให้หมอนั่น ฉันใช้ ‘น้ำหอมมานา’ ไว้แล้ว”
“น้ำหอมมานา?”
จีเวลเผยรอยยิ้มกว้างขณะอธิบายเรื่องน้ำหอมมานา มันคือทักษะเฉพาะจากอาชีพของจีเวลที่จะทำให้ตรวจจับร่องรอยของมานาที่เหลืออยู่คล้ายคำสาปที่สลักเอาไว้กับไอเทม ถ้าหากเธอใช้น้ำหอมมานาและตามรอยไปด้วย ‘น้ำหอมความทรงจำ’ มันจะทำให้จีเวลสามารถตามรอยไอเทมไปได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม แน่นอนว่าคำสาปนี้จะไม่ปรากฏขึ้นในหน้าต่างข้อมูล ในเมื่อไอเทมไม่ได้อยู่ในสถานะต้องสาป ก็เป็นเรื่องยากที่ผู้เล่นจะตรวจพบ น้ำหอมมานาของจีเวลนับว่าเป็นทักษะที่ไม่มีผู้ใดรู้จัก ดังนั้นแล้วผู้เล่นจึงไม่มีทางตระหนักได้เลยว่าสิ่งของที่ได้รับมาจะมีอะไรผิดแผกแทรกซ้อนมาด้วย ที่จริง น้ำหอมมานาเป็นคำสาปที่นักเวทสร้างขึ้นเพื่อเอาไว้ตามทวงสิ่งของหลังโดนผู้เล่นฆาตกรชิงไป จีเวลจึงใช้คำสาปนี้ก่อนส่งมอบรองเท้าให้กับอาร์ค จีเวลเองก็มีความแค้นกับอาร์คจึงคิดหาโอกาสแก้แค้นอยู่เสมอ
“เป็นไปได้ว่าจะหามันเจอตราบเท่าที่มันยังอยู่ในเกม”
“…งั้นก็ดีเลย”
รอยยิ้มเหยียดชัดที่มุมปากของดุ๊ค
“ฉันจะสั่งสอนมันเองว่านักบุกเบิกคืออะไรกันแน่”
“ฉันจะได้เอารองเท้าคืนมาด้วย”
ไรเด็นครุ่นคิดอะไรบางอย่างขณะยกแขนขึ้น
“คำถามคือใครจะไป ไม่ใช่เรื่องปลอดภัยนักถ้าปล่อยให้จีเวลตามรอยหมอนั่นคนเดียว… ดุ๊คเหรอ?”
“แน่นอน งานนี้ฉันต้องไปด้วยอยู่แล้ว”
ดุ๊คเผยอาการตื่นเต้นขณะรับคำ ไรเด็นก็คิดว่าคงห้ามไม่ได้จึงพยักหน้ารับ
“ได้ แต่ฉันก็วางใจให้ไปกันแค่สองคนไม่ได้อยู่ดี หมอนั่นมีดาร์คอีเดนอยู่ สงครามจบแล้วก็จริง พวกเอ็นพีซีทหารรับจ้างคงไม่ได้อยู่ร่วมด้วยแล้ว แต่อย่างน้อยหมอนั่นก็มีผู้เล่นอีกสิบคนอยู่ด้วย”
ความคิดของไรเด็นผุดขึ้นมาก่อนที่จะพยักหน้ารับอีกครั้งหนึ่ง
“แต่การจะออกล่าอาร์คใช้คนมากเกินไปก็ไม่ได้ แม้ว่าวิกฤตจะคลี่คลายไปบ้างแล้ว แต่ฉันก็ยังไม่ไว้ใจว่าสถานการณ์จะสงบเรียบร้อยดีต่อไปแค่ไหน เพราะงั้นแล้วคงต้องให้นักบุกเบิกบางคนจากเฮอร์มีสร่วมทางไปช่วยจีเวลและดุ๊คด้วย”
“นักบุกเบิกคนอื่นจะยอมฟังคำสั่งนายหรือ?”
ใช่แล้ว เฮอร์มีสเป็นกิลด์ที่มีนักบุกเบิกถึงสามสิบคน แน่นอนว่าไม่มีทางที่พวกเขาทั้งกิลด์จะเป็นนักบุกเบิกได้ ผู้เล่นที่ถูกเรียกขานเป็นนักบุกเบิก ทั้งเกมมีจำนวนเพียงไม่กี่ร้อย และนักบุกเบิกส่วนมากก็มักจะมีทักษะพิเศษและเลเวลที่ทัดเทียมได้กับดุ๊ค จีเวล และไรเด็น แม้ว่าจีเวลและดุ๊คจะเป็นนักบุกเบิกเช่นเดียวกัน พวกเขาก็เป็นเพียงแค่นักบุกเบิกระดับกลางเท่านั้นเอง และพวกนักบุกเบิกคนอื่นส่วนใหญ่ตอนนี้ก็ออกไปเก็บเกี่ยวในพื้นที่เลเวลสูงด้วยตนเอง พวกเขาคงไม่สนใจงานนี้อย่างแน่นอน ทว่า ก็ยังมีนักบุกเบิกจำนวนหนึ่งที่ไรเด็นพอจะฝากฝังเรื่องราวเอาไว้ได้ และถ้าหากพวกเขาร่วมทางกับดุ๊คและจีเวล เช่นนั้นต่อให้มีศัตรูอีกสิบคนก็ไม่น่าจะเป็นอะไร ไม่สิ กระทั่งว่ามีถึงสามสิบคนก็ไม่น่าจะเป็นอะไร แต่จีเวลเพียงแค่นเสียงขณะกล่าวออกมา
“พวกเขาไม่จำเป็นหรอก แล้วฉันก็ไม่คิดจะนั่งเฉยรอพวกเขากลับมาด้วย ไอ้เจ้าอาร์คนั่นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉันกับดุ๊คอยู่แล้ว อีกทั้งคนอื่นในกลุ่มของหมอนั่นก็เลเวลน้อย เอาสมาชิกเลเวลไม่มากจำนวนหนึ่งจากกิลด์เราไปก็เพียงพอแล้ว พวกสมาชิกเลเวลน้อยของกิลด์เราก็ใช่ว่าจะอ่อนแอเสียเมื่อไหร่”
“แค่สมาชิกเลเวลน้อย… ไม่เป็นไรเหรอ?”
“นายหมายความว่ายังไง? พวกเขามากพอจะบดขยี้อาร์คเสียอีก”
จีเวลตอบกลับพร้อมเสียงหัวเราะ ที่จริง กิลด์เฮอร์มีสส่วนใหญ่มักจะเลเวลเกินกว่า 200 กันแล้วทั้งนั้น นอกจากพวกนักบุกเบิกแล้ว กระทั่งว่าเป็นสมาชิกกิลด์เลเวลน้อยแต่ก็มีค่าเฉลี่ยกันอยู่ที่ 180~190 กันทั้งสิ้น ไม่ใช่เรื่องที่ควรต้องกังวลเลยสักนิด
“แบบนั้นก็ดี แม้ว่าจะไม่จำเป็น แต่ไอ้เจ้าอาร์คนั่นก็นับเป็นศัตรูของกิลด์เฮอร์มีสเราแล้ว ถ้าหากเป็นไปได้ ฉันอยากจะไปล้างแค้นด้วยตัวเองอยู่ ดุ๊ค จีเวล ฉันจะให้สมาชิกกิลด์แปดคนร่วมทางไปจัดการเรื่องราวครั้งนี้”
“เข้าใจแล้ว”
ด้วยเหตุนี้ ทั้งดุ๊คและจีเวลพร้อมสมาชิกกิลด์จึงเริ่มตามรอยอาร์คไป หลังผ่านไปหลายวัน พวกเขาจึงมาถึงกระท่อมในป่าสีแดง
“ร่องรอยมานานำทางเข้าไปในภาพนี่”
จีเวลกล่าวขณะชี้ไปยังรูปภาพที่อยู่ด้านหนึ่งในกระท่อม จากนั้น สมาชิกกิลด์จึงเริ่มสำรวจรูปภาพและกล่าวขึ้นมา
“นี่คือประตู ประตูที่จะนำพาไปยังสถานที่อันห่างไกล ดูจากรูปแบบพลังมานาแล้ว นี่เป็นการเคลื่อนย้ายทางเดียว นี่ออกจะไม่ดีอยู่บ้าง… พวกเราทำยังไงกันดี?”
“ยังต้องถามอีก?”
ดุ๊คโพล่งกระโดดเข้าใส่รูปภาพนั้นอย่างไม่ลังเล
“พวกเราจะทิ่มแทงไอ้เจ้าอาร์คนั่นให้ตาย พวกเราต้องตามมันไปไม่ว่าจะยังไงก็ตาม”
“การเดินทางเพื่อล้างแค้นของพวกเราจะไม่จบสิ้นจนกว่ามันจะตาย”
“แบบนั้นก็ดี ไปกัน!”
จีเวลและสมาชิกกิลด์ที่เหลือต่างเข้าสู่รูปภาพ เป็นอีกครั้งที่มีกลุ่มคนต่างถิ่นมุ่งหน้าสู่ต่างมิติ
* * *
“นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย?”
ขณะนั้นเอง อาร์คได้มองไปรอบด้านด้วยใบหน้าโง่งม ที่จริง เขาไม่รู้สึกว่ามันคล้ายต่างมิติอะไรตอนยังอยู่ที่ภูเขาหิมะ ไม่สิ เป็นเพราะเขายุ่งอยู่กับการต้องจัดการความหนาวเย็นถึงตายต่างหาก หลังผ่านพ้นภูเขาหิมะมาได้ ในที่สุดเขาจึงตระหนักได้ว่าโลกแห่งนี้แตกต่างเพียงใด
“ก่อนหน้านี้หิมะตก ตอนนี้เป็นคลื่นความร้อน?”
สภาพอากาศของโลกใบนี้ค่อนข้างสุดกู่ หลังออกจากภูเขาหิมะมาได้ เขาจึงพบเจอกับทุ่งรกร้างที่มีความร้อนระอุ ทว่าก็เพียงแค่ครู่เดียว ท้องฟ้าเริ่มกลายเป็นดำมืดขณะฝนเริ่มตกลงมา ความหนาวเย็นของสายลมเริ่มพัดพาจนกระทั่งลูกเห็บตกจากท้องฟ้า