เล่ม 9 ตอนที่ 7 : ล่าคนตาย (3)
“เชอะ ไม่ทำเกินไปหรือขอรับ? พวกเรายังไม่ได้ลงมืออะไรเลย”
กรั่ก กรั่ก กรั่ก…
เดดริคและดีมอสเริ่มส่งเสียงบ่นกันออกมา
“เอาน่า ครั้งนี้ฉันอยากทดลองน้ำเย็นเยือกดู ไว้คราวหน้าแล้วกันนะ”
อาร์คกล่าวอย่างไม่ใส่ใจขณะเก็บดาบไป ตอนนี้เขายังให้ความสนใจกับภาพฉากที่โดนถ่ายทำอยู่เช่นเดิม ระหว่างที่มีอาการตื่นเต้น เขาก็พยายามสงวนท่าทีให้มากที่สุด หนึ่งปะทะสิบหก จนกระทั่งถึงตอนนี้เขาไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลยว่าจะทำได้ และเขาก็เพียงเสียพลังชีวิตไปแค่ 60% เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นแล้วไม่เกินเลยนักหากจะกล่าวว่านี่คือชัยชนะอันสะเทือนเลือนลั่น
“สมแล้วที่เป็นอาร์คนิม วิเศษไปเลย!”
“รับมือกับนักรบจำนวนมากขนาดนั้นโดยลำพัง… สมแล้วที่เป็นนักรบที่แท้จริง!”
บุคซิลและแซบจิลต่างเยินยอไม่หยุดปาก ซึ่งมันก็น่าจะจริง ไม่ใช่ว่าพวกพ่อค้าเป็นพวกที่มีสายตาเฉียบคมหรือไร?
“ยังก่อน มีเรื่องเร่งด่วนกว่านั้น! ต้องไปช่วยเหลือเหล่าผู้คนที่บริสุทธิ์!”
อย่างรวดเร็ว อาร์คเข้าไปสืบค้นร่างของนักรบชาวนาคูจัก ด้วยความที่เป็นศัตรูรูปลักษณ์มนุษย์ พวกเขาจึงดร็อปอุปกรณ์สวมใส่กันออกมา
=====
เรเปียร์แห่งมิวทัล
ประเภท : เรเปียร์
พลังโจมตี : 20~25
ความทนทาน : 23/25
น้ำหนัก : 20
ข้อจำกัดการใช้งาน : เลเวล 120 ขึ้นไป และมีค่าความคล่องตัวมากกว่า 200
เรเปียร์อันแหลมคมที่ถูกสร้างขึ้นโดยชนเผ่านาคูจักผู้ซึ่งเป็นสายพันธ์มิวทัลแห่งโลกใต้พิภพ มันเป็นอาวุธที่มีความเบาเป็นเลิศและใช้งานง่ายเป็นอย่างยิ่ง เมื่อสวมใส่จะยิ่งทำให้ชาวนาคูจักคล่องตัวมากยิ่งขึ้น และจะไม่มีศัตรูผู้ใดกล้ายืนต่อหน้าได้
=====
กุญแจที่เปรอะเปื้อน
กุญแจที่เอาไว้ใช้เปิดกรงเหล็กของชาวนาคูจัก
=====
‘เรเปียร์แห่งมิวทัล? แม้เทียบกับเลเวลแล้วพลังโจมตีจะต่ำไปหน่อย แต่ออพชั่นเสริมความเร็วการโจมตีค่อนข้างดีเลยทีเดียว’
เหตุผลที่ชาวนาคูจักมีความเร็วการโจมตีอันเหลือเชื่อก็เพราะมีเรเปียร์พวกนี้ไว้ในครอบครอง เมื่อสวมใส่อาวุธนี้ทั้งสองมือจะทำให้ความเร็วการโจมตี +20% กลายเป็น 40% ได้เลยทีเดียว นับว่าเป็นความเร็วอันน่าทึ่ง อาร์คอาจไม่สามารถต้านทานได้เลยด้วยซ้ำในยามปกติ นับว่าเขาเลือกถูกที่ใช้งานดาบน้ำแข็ง
“โบนานิม โบนานิม ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
ขณะนั้นเอง กูรันได้วิ่งออกจากป่าพุ่งเข้าหารถม้า เด็กชายคนหนึ่งกำลังนั่งอย่างสงบภายในกรงขังขณะเงยหน้าขึ้น
“กูรัน เจ้ายังมีชีวิต!”
“ใช่ เป็นนักรบที่อาจารย์ส่งมาช่วยเหลือจัดการชาวนาคูจักให้พวกเรา”
“ท่านปู่!”
โบนาคว้าลูกกรงเหล็กเอาไว้ขณะจ้องมองอาร์คด้วยสายตาเคารพนับถือ อาร์คเพียงยิ้มขณะเดินเข้าหารถม้าตรงหน้า เขามองเข้าไปด้านในลูกกรงที่ล็อคเอาไว้ จากนั้นเขาพลันสะดุ้งโหยง ภายในเป็นหญิงสาวที่สวมใส่ชุดคลุมสีขาว เธอไม่ใช่มิวทัล แต่เป็นผู้เล่นเช่นเดียวกับอาร์ค และยังเป็นหญิงสาวที่อาร์คคุ้นเคยเสียด้วย
“ละ-ลาริเอ็ตเต้นิม?”
อาร์คตัวสั่นขณะมองเธอด้วยสีหน้าคล้ายคนโง่งม ลาริเอ็ตเต้… ลาริเอ็ตเต้ที่เขาพบเจอครั้งล่าสุดตอนซิลวาน่า ตอนนี้กลับถูกขังอยู่ในกรง ลาริเอ็ตเต้พลันสะดุ้งตัวขณะมองอาร์คเช่นเดียวกัน
“เอ่อ รู้จักชื่อฉันด้วยเหรอคะ?”
“หือ? อะไรกัน?”
อาร์คมึนงงจนกระทั่งตระหนักได้ว่าตนแปลงกายเป็นดาร์ควูล์ฟอยู่
“อ้อ ผมเอง อาร์คไง”
“อะ-อาร์คนิม?”
“ใช่ เพราะมีเรื่องหลายอย่าง ผมเลยเปลี่ยนร่างตัวเองเป็นหมาป่าน่ะ”
“อาร์คนิมมาที่นี่ได้ยังไงกัน?”
“นั่นควรเป็นผมที่ถามมากกว่านะ”
อาร์คและลาริเอ็ตเต้มองกันและกันด้วยดวงตาที่เผยความงงงัน พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีโอกาสพบเจอกันเช่นนี้เกิดขึ้น แต่ในเมื่อมันเป็นการพบพานโดยไม่ตั้งใจก็ไม่ใช่ว่ายิ่งทำให้น่าสนใจขึ้นหรือ? จากคนทั้งแปดที่เคยเข้าสู่โลกใต้พิภพ ไม่สิ กลายเป็นสิบเอ็ดแล้วต่างหาก เพราะเขาต้องนับรวมหมูน้อยทั้งสามตัวเข้าไปด้วย ทั้งสิบเอ็ดคนท่ามกลางผู้เล่นนับล้าน ใครจะทราบกันว่าพวกเขาจะบังเอิญมาพบเจอกันอีกครั้งในต่างมิติกันกว้างใหญ่เช่นนี้ราวโชคชะตาเล่นตลก
“ฉันมาที่นี่เพราะภารกิจ… ต้องตามหาคนตายคนหนึ่ง…”
“เอ้อ รอเดี๋ยวนะครับ เดี๋ยวผมเปิดกรงขังให้ก่อน”
“เฮือก อะ-อะไรกันน่ะ? อาร์คนิม! ด้านบน! ด้านบน!”
อาร์คที่กำลังนำกุญแจออกมาเปิดกรงขัง แต่แล้วบุคซิลพลันตะโกนดังขึ้นกรีดร้องลั่นทั้งป่า อาร์คตอบสนองโดยการเงยศีรษะขึ้นมองโดยทันที ร่างเงาสีดำมืดกำลังบินโฉบลงมาจากท้องฟ้ายามค่ำคืน มอนสเตอร์ขนาดยักษ์ตัวนี้พลันคำรามและขวางทางอาร์คเอาไว้
“ตัวบ้าอะไรเนี่ย?”
“ดะ-ดราเค็น!”
กูรันพลันร้องตะโกนขณะเงยหน้าขึ้นมอง ดราเค็นเป็นไวเวิร์นที่เหมือนมอนสเตอร์ชนิดหนึ่ง ทว่าขนาดตัวของมันใหญ่กว่าหลายเท่า อีกทั้งยังมีความดุร้ายยิ่งกว่าไวเวิร์นมากนัก ดราเค็นมองรอบก่อนที่จะอ้าปากของมันและกรีดร้องออกมา
ควี๊ก!
บุคซิลและแซบจิลที่ได้ฟังเสียงกรีดร้องนี้ถึงกับล้มลงกับพื้น กูรันก็ตัวแข็งทื่อ นี่คือแรงกดดันที่ดราเค็นปลดปล่อยออกมา ทว่าอาร์คคือผู้เล่นที่สายอาชีพมอบภูมิต้านทานความหวาดกลัวให้มากถึง 50% ร่วมด้วยกับทักษะที่มีอย่าง ‘ความกล้า’ จึงทำให้เขามีภูมิต้านทานถึง 60% อาร์คหาได้สั่นกลัวแต่อย่างใด
“ไอ้เจ้านี่… คมดาบแห่งความมืด!”
อาร์คพลันกระโดดเข้าใส่พร้อมเหวี่ยงดาบ ดราเค็นเข้าไปคว้ากรงเหล็กเอาไว้ขณะกระพือปีกขนาดใหญ่ของมัน กรงพลันถูกยกออกจากคันรถ สิ่งเดียวที่ลาริเอ็ตเต้ทำได้ในสถานการณ์เช่นนี้คือจับลูกกรงเอาไว้ให้แน่น
“อะ-อาร์คนิม!”
“ลาริเอ็ตเต้นิม! วิ่งเร็ว!”
อาร์คพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อไล่ตาม แต่แล้วดราเค็นก็หายวับไปในความมืด เรื่องราวเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน อาร์คเพียงมองท้องฟ้าดำมืดอย่างโง่งม ขณะนั้นเองบุคซิลได้เดินเข้ามาใกล้ขณะเอ่ยเสียงเบา
“เอ่อ ครั้งนี้ทั้งฉากและการแสดงวิเศษมาก ความกลัวที่ต้องเผชิญหน้าและการลักพาตัว น่าตื่นเต้นมาก!”
อาร์คแทบกัดริมฝีปากจนเลือดออกขณะร้องตะโกนจนเสียงดังสะท้อนไปทั่วทั้งความมืด
“ใช่เรื่องไหม อยากตายหรือไง!?”
* * *
“พร้อมนะ อัญเชิญสไลม์!”
จัสติสแมนและสมาชิกกลุ่มทัณฑ์บนตอนนี้กำลังประจำตำแหน่ง จากนั้นจักตูจึงฉีกม้วนคัมภีร์ออก
=====
ห้วงเวลาแห่งสไลม์หมายเลขสองถูกใช้งาน
=====
จากนั้น สไลม์ร่างยักษ์พลันปรากฏขึ้นหลังจากพวกเขาใช้ม้วนคัมภีร์เรียกมา
“ทางนี้ จัดการให้เรียบร้อยก่อนอีกตัวจะมา!”
“โอ้!”
สมาชิกกลุ่มทัณฑ์บนเริ่มกระจายตัวปิดล้อมขณะกระชับอาวุธในมือ หลังแยกกับอาร์คที่หอคอยแห่งซาลริน จัสติสแมนและสมาชิกกลุ่มทัณฑ์บนต่างดำเนินแผนผลิตเม็ดยาสไลม์อมตะจำนวนมาก ชาวเหมียวและพวกโจรต่างก็เริ่มไปรวบรวม ‘ฟันของค้างคาวตะขอ’ ขณะที่ชาวแรคคูนออกไปเก็บรวบรวม ‘รากแมนดราโกร่าที่เก็บภายใต้แสงจันทร์’ เพราะเหตุนี้เอง หมู่บ้านแลนเซลจึงกลายเป็นสถานที่รวบรวมวัตถุดิบจำนวนมาก วัตถุดิบที่ขาดก็จะเป็น ‘เขายูนิคอร์น’ และ ‘ปีกแห่งภูติที่แปดเปื้อน’
ทว่าอาร์คเป็นคนรับผิดชอบวัตถุดิบพวกนั้น เพราะงั้นแล้วจัสติสแมนและกลุ่มทัณฑ์บนจึงเริ่มเก็บเกี่ยวแก่นสไลม์ที่วงกตใต้ดินในไคโร้ท ที่จริงแล้วแก่นสไลม์คือส่วนสำคัญที่สุดที่พวกเขาไม่มีทางใช้เงินซื้อหามาได้ ดังนั้นแล้วอาร์คจึงทำม้วนคัมภีร์ฉบับคัดลอกจำนวนมากให้กลุ่มทัณฑ์บนไว้ใช้ออกล่าสไลม์ ทว่าสไลม์โสโครกนั้นเป็นพวกที่สามารถเมินเฉยต่อการโจมตีทางกายภาพแทบทั้งหมดได้ ในเมื่อกลุ่มทัณฑ์บนไม่มีนักเวทร่วมเลยสักคน มันจึงเป็นเป้าหมายที่ยากเย็นสำหรับพวกเขา ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงเริ่มคิดหาวิธีการที่พวกตนทำได้
“เอ้า เริ่มเลย ทุกคนพร้อมนะ! เฮ้!”
จัสติสแมนคว้าสไลม์เอาไว้ด้วยมือทั้งสองขณะบีบมันให้แตก จากนั้นบางสิ่งจากตัวสไลม์พลันร่วงหล่นลงกับพื้น รูปร่างของสไลม์ก็คล้ายกับลูกโป่งน้ำ พอมันแตกออกแม้สักเล็กน้อย ของเหลวภายในก็จะหล่นลงสู่พื้นหลงเหลือไว้เพียงแค่นิวเคลียส
“ตอนนี้แหละรุมเลย!”
จากนั้นจึงเป็นหน้าที่กลุ่มทัณฑ์บนช่วยกันสหบาทาใส่นิวเคลียสดังกล่าว เมื่อถูกทำลาย ร่างสไลม์จึงระเบิดออกกระจายเมือกไปทั่วทุกหนแห่ง
…นับว่าเป็นการล่าที่น่าสยดสยองและโหดเหี้ยมนัก!
อย่างไรแล้ว จัสติสแมนและกลุ่มทัณฑ์บนตอนนี้ก็ใช้วิธีการนี้ในการล่าสไลม์ สิ่งที่ดีอย่างหนึ่งของห้วงเวลาแห่งสไลม์คือ สไลม์จะเป็นมิตรจนกว่าจะโดนโจมตีเข้าใส่ ดังนั้นแล้ว พวกเขาจึงสามารถรับมือพวกมันทีละตัวตลอดช่วงระยะเวลาได้ นอกจากนี้ บางครั้งสไลม์ก็จะช่วยรับมือกับพวกโครงกระดูกโสโครกที่ปรากฏตัวขึ้นด้วยซ้ำ
“เอ่อ ได้อีกหนึ่งชิ้นแล้ว!”
โรโค่ที่รวบรวมสิ่งของอยู่พลันยกแก่นสไลม์ขึ้นให้เห็น
“ฮ่าฮ่า ดีเลย ชิ้นที่ห้าแล้วสินะ?”
“พอรวบรวมวัตถุดิบที่เหลือได้ครบ พวกเราก็จะทำได้ห้าเม็ดงั้นสินะ?”
“นอกจากนี้ สไลม์พวกนี้ยังให้ค่าประสบการณ์สูงมากเลยด้วย”
หนึ่งในกลุ่มทัณฑ์บนพลันตะโกนขึ้น
“เมื่อวานตอนแวะไปที่แลนเซล พวกเขารวบรวมวัตถุดิบที่เหลือมาได้หมดแล้ว ที่เหลือก็แค่เขายูนิคอร์นกับปีกแห่งภูติที่แปดเปื้อนเท่านั้น…”
ขณะนั้นเอง โรโค่พลันรู้สึกเย็นเยือกจนร่างสั่น
“โรโค่ เป็นอะไรไป?”
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ แต่รู้สึกเย็นเยือกแปลก ๆ”
“เป็นหวัดหรือเปล่า? อากาศช่วงนี้ก็เย็นลงมากด้วย”
จัสติสแมนเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง โรโค่เพียงเผยเสียงอ่อนด้วยความสับสน
“เหรอคะ? มันไม่น่าใช่เนี่ยสิ…”
“แล้วจะเป็นอะไรถ้าไม่ใช่ไข้หวัดล่ะ? วันนี้ออกไปก่อนก็ได้ พักผ่อนให้เยอะ ๆ เข้าไว้”
“อืม…”
โรโค่เกาศีรษะก่อนจะเผยท่าทีไม่ค่อยสบายใจนักออกมา
‘แปลกจัง ทำไมเราถึงรู้สึกว้าวุ่นใจล่ะ? หรือจะเป็นความรู้สึกที่บ่งบอกว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น… หรือจะมีเรื่องเกิดขึ้นกับอาร์ค? อย่าบอกนะว่าจะมีนางจิ้งจอกโผล่มาอีก? คงไม่ใช่มั้ง… อา ไม่น่าปล่อยให้พี่ชายไปคนเดียวเลย โลกใบนี้ช่างเต็มไปด้วยนางจิ้งจอกมากเล่ห์’
ญาณหยั่งรู้ของหญิงสาวช่างน่ากลัวอย่างแท้จริง มันจะยิ่งน่ากลัวมากยิ่งขึ้นเมื่อเกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนอื่น
‘ต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว สุดสัปดาห์นี้ต้องลากตัวพี่ชายมาออกเดทให้ได้!’
คำมั่นสาบานของหญิงสาวก็น่ากลัวเช่นเดียวกัน…