เล่ม 10 ตอนที่ 5 : ตำแหน่งของห้องทดลอง (1)
“ให้ตายสิ!”
แสงสว่างสลัวปรากฏขึ้นที่บริเวณเสาฟื้นคืนชีพซึ่งมีร่างนักเวทคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น เป็นจีเวลที่ตัดสินใจทำลายตัวเองในหุบเหวแห่งความสิ้นหวัง จีเวลตรวจสอบหน้าต่างข้อมูลขณะกัดฟันดังกรอด
“ไอ้เจ้าอาร์คนั่น… ฉันจะให้มันได้ชดใช้กับเรื่องครั้งนี้!”
เวทมนตร์ทำลายตัวเองนับว่าสร้างความเสียหายให้กับศัตรูได้อย่างมหาศาล แต่มันก็ทำความเสียหายให้กับจีเวลไม่น้อย แม้ว่าเธอจะสามารถสร้างความเสียหายได้อย่างมากมายในวงกว้าง แต่เธอต้องรับโทษตอนตายถึงสามเท่าด้วยกัน หรือก็คือ เธอสูญเสียค่าประสบการณ์ 90% และค่าสถานะทั้งหมด -3 แม้ว่าเธอจะทราบถึงเรื่องนี้ดี แต่น้ำตาก็ยังอดหลั่งไม่ได้เมื่อเห็นสิ่งที่สูญเสียไป
‘บัดซบ ค่าประสบการณ์ 90% กว่าจะฟื้นคืนมาได้ก็นานไม่น้อย… นอกจากนี้ เราจะกู้คืนค่าสถานะ 18 หน่วยที่เสียไปก่อนเลเวลเพิ่มขึ้นได้ยังไงกัน?’
ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นเพราะอาร์ค ถ้าหากเธอไม่โดนอาร์คหลอกล่อ แบบนั้นเธอก็ไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะนี้ ถ้าหากจีเวลรู้ว่าการทำลายตัวเองของเธอนั้น เป็นการส่งผลช่วยเหลืออาร์ค บางทีเธออาจตัดสินใจระเบิดตัวตายอีกสักครั้งก็เป็นได้ ยิ่งไปกว่านั้น ความแค้นครั้งนี้มันฝังลึกขึ้น จีเวลทำได้เพียงรอคอยอย่างโกรธเกรี้ยวให้สมาชิกคนอื่นฟื้นคืนชีพกันทีละคน ดุ๊คก็เร่งร้อนกลับมาหาเธอเช่นกัน
“จีเวล ไอ้เจ้าอาร์คนั่นไปไหนแล้ว?”
“บ้าบอ ฉันจะรู้ได้ยังไง?”
“หมายความว่ายังไงกัน? ตรวจสอบน้ำหอมมานาสิ”
“ทำแล้ว ทำแล้วน่า แต่มันไม่ตอบสนองแล้ว”
“ว่าอะไร? หมอนั่นล้างคำสาปได้แล้ว?”
“แล้วจะมีคำอธิบายอะไรได้อีก? มันต้องมีม้วนคัมภีร์ [ปลดคำสาป] ติดตัวอยู่แน่”
“…ทีนี้เอาไงกันดีล่ะ?”
ดุ๊คถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ทว่าจีเวลเองก็ไม่ทราบ ทั้งคณะที่ออกตามล่าอาร์คต่างถอนหายใจ ขณะนั้นเองเบซอทิวที่ด้อม ๆ มอง ๆ อยู่จึงเดินเข้าหาพวกเขา
“โอ้ ดูพวกเจ้าสิ!”
“หือ? ตาแก่ที่มอบภารกิจให้อาร์ค?”
“ได้โปรด หลานชายของข้า ได้โปรดช่วยหลานชายของข้าด้วย!”
“อะไรอีกเนี่ย?”
เบซอทิวคว้าแขนของจีเวลเอาไว้ขณะร้องขอ
“เจ้าคงได้ยินแล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกเจ้าปรากฏตัวขึ้นหลังจากที่อาร์คคนนั้นเพิ่งทอดทิ้งไป เขาคนนั้นบอกว่าพอไปถึงหุบเหวแห่งความสิ้นหวังก็หนีออกมาเพราะไม่เห็นความหวังที่จะจัดการได้ หลังได้เห็นพวกเจ้าปรากฏตัวกันตรงนี้ ข้าจึงรู้ว่าพวกเจ้าคือคนที่ต่อสู้กับชาวนาคูจักจนถึงท้ายที่สุด พวกเจ้านั้นล้วนแตกต่างจากอาร์คยิ่งนัก”
“หึ ใช่แล้ว ไอ้เจ้าอาร์คนั่นเทียบกับพวกเราไม่ได้สักนิด”
จีเวลเพียงแค่นเสียงก่อนพยักหน้ารับ
“ลางสังหรณ์ของข้ามักถูกต้อง ใช่ ข้าทราบแต่แรกว่าควรเชื่อใจพวกเจ้า ในเมื่อพวกเจ้ากลับมา ข้าจึงอยากร้องขอเรื่องนี้ ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าก็คิดกลับไปหุบเหวแห่งความสิ้นหวังหรอกหรือ?”
จีเวลและดุ๊คต่างมองหน้ากันเมื่อได้ยินคำพูดของเบซอทิว พวกเขาคล้ายแลกเปลี่ยนความเห็นกันก่อนที่จีเวลจะพลันพูดขึ้น
“นั่นถูกต้อง ที่จริง ถ้าพวกเราร่วมมือกันหมอนั่นก็เทียบพวกเราไม่ติดอยู่แล้ว แม้คู่ต่อสู้จะไม่ง่าย แต่พวกเราจะช่วยหลานชายของท่านให้ได้”
“ขอบคุณ ขอบคุณ!”
“ว่าแต่ อาร์คไปไหนแล้ว?”
“หือ?”
“ที่จริง พวกเราสูญเสียไปมากระหว่างการต่อสู้กับชาวนาคูจักเพื่อช่วยเหลือหลานชายท่าน และเป็นหมอนั่นฉกฉวยอุปกรณ์ของพวกเราไปพร้อมหลบหนี พวกเราไม่อาจให้อภัยไอ้คนไร้ยางอายนั่นได้ หลังช่วยเหลือหลานชายท่านแล้ว พวกเราจะออกไปค้นหาตัวมันและให้มันได้ชดใช้ต่อบาปที่ก่อไว้”
เบซอทิวกัดฟันจนกระทบกันขณะรับฟังคำพูดของจีเวล
“ช่างโสมมยิ่งนัก… ข้ารู้แต่แรกว่าชายคนนั้นแปลกประหลาด นี่สินะถึงเป็นเหตุผลว่าทำไมปฏิเสธที่จะรอพวกเจ้าและหนีหายไปแบบนั้น ข้าเข้าใจแล้ว ข้าได้ยินมาว่าชายคนนั้นคิดจะไปเมืองทางเหนือของภูเขา”
“ได้ใช้พาหนะไหม?”
“ไม่ ไม่มีเหตุใดผลที่ข้าสมควรให้หยิบยืมพาหนะกับบุคคลที่ทอดทิ้งหลานชายของข้า ชายคนนั้นก้าวเดินด้วยเท้าเพราะงั้นคงยังไปได้ไม่ไกลนัก หลังจากช่วยเหลือหลานของข้าแล้ว ข้าจะให้พวกเจ้าหยิบยืมปลากระเบนบินได้เพื่อไล่ตามไป”
ฉับพลันรอยยิ้มเย็นจึงเผยที่ใบหน้าของจีเวล
“ดุ๊ค นายได้ยินไหม? หมอนั่นมุ่งหน้าไปยังเมืองที่อยู่อีกฝั่งของภูเขา?”
“ดี ทุกคนเตรียมตัว ออกเดินทางได้”
“หือ? พวกเจ้าพูดเรื่องอะไรกัน? แล้วหลานของข้าล่ะ?”
“ช่างหัวมันสิ!”
จีเวลผลักเบซอทิวออกไปให้พ้นทาง
“เด็กนั่นป่านนี้โดนทามูระจับกินไปแล้วมั้ง!”
“ฉันไม่สนใจสานต่อภารกิจที่ล้มเหลวไปแล้วหรอกนะ”
“ตอนนี้อาร์คสำคัญกว่า เอ้า ไปกันได้!”
จีเวลพลันใช้เวทมนตร์ ‘เร่งความเร็ว’ กับคณะโดยทันที ความเร็วการเคลื่อนไหวของพวกเขาจึงเพิ่มขึ้นถึง 20% เพราะคาถาจึงทำให้วิ่งไปแทบฝุ่นตลบมุ่งไปทางด้านทิศเหนือ
“คุณปู่ เป็นอะไรไหมครับ?”
ผ่านไปพักหนึ่ง โบนาวิ่งเข้ามาจากที่ซ่อนไม่ไกลนัก
“อา เจ้าพวกนี้ช่างเป็นคนเลวร้ายอย่างที่พี่ชายบอกไว้จริง ๆ”
“…ช่างไร้เกียรติยิ่งนัก”
เบซอทิวแค่นเสียงขณะหันมองไปยังพวกที่เพิ่งจากไป
“นี่สินะถึงเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงพยายามรบกวนการช่วยเหลือโบนา ทางเหนือของภูเขาก็ไม่มีเมืองอยู่เสียหน่อย แต่มันก็เป็นพื้นที่หลักของชาวนาคูจัก พวกนั้นคงจบสิ้นกันแล้ว”
“ว่าแต่ คุณปู่หาสิ่งที่พี่ชายต้องการเจอหรือยังครับ?”
“แน่นอน กลับไปกันก่อน อาร์คน่าจะกลับมาพอดี”
เบซอทิวและโบนาเผยรอยยิ้มให้กันก่อนจะกลับไปในหมู่บ้าน
“ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว เจ้าพวกนั้นมุ่งหน้าไปยังภูเขาทางเหนือเรียบร้อย”
“ขอบคุณมากครับ”
“ข้าก็แค่แสดงบทไปตามที่เจ้าว่า”
รอยยิ้มชั่วช้าเผยที่ใบหน้าของอาร์คหลังเบซอทิวตอบกลับมา
‘ตอนนี้ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเจ้าพวกนั้นแล้ว อีกไม่ช้าคงรู้ตัวเองว่าผิดพลาดไป แต่ไม่มีเวทมนตร์ช่วยแล้ว ยังไงก็ไม่มีทางหาตัวเราเจอง่ายแน่’
ด้วยเหตุนี้ หนึ่งในความกังวลของเขาจึงได้รับการปลดเปลื้อง ตอนนี้สิ่งเดียวที่เหลืออยู่คือค้นหาเบาะแสของมากาโร อาร์คกำลังมองด้วยความคาดหวังต่อเบซอทิวซึ่งเผยรอยยิ้มและพยักหน้าให้
“ข้าเจอข้อมูลที่เจ้าต้องการแล้ว”
“เกี่ยวข้องกับมากาโรหรือครับ?”
“ใช่ ประมาณหนึ่งร้อยปีก่อนชายคนนั้นมาเยือนที่นี่ ก็นะ อ่านด้วยตัวเจ้าเองน่าจะเร็วกว่าให้ข้าอธิบาย ข้าแปลภาษาให้เรียบร้อยเพราะงั้นเจ้าจึงอ่านได้”
ต้นกำเนิดของบันทึกนี้ถึงกับต้องใช้การถอดรหัสพิเศษเพื่อเป็นการรักษาความลับไว้? นับว่าเป็นเรื่องคาดไม่ถึงเลยทีเดียว นี่อาจจะเป็นการทำเพื่อให้มั่นใจว่าผู้เล่นไม่มีทางได้รับข้อมูลจากโลกใต้พิภพได้โดยง่าย ในเมื่ออาร์คเป็นคนร้องขอข้อมูล เบซอทิวจึงทำการแปลภาษาทั้งม้วนคัมภีร์และส่งมอบให้
‘ในที่สุดก็จะได้รู้แล้วว่ามากาโรอยู่ที่ไหน!’
อาร์คคลี่ม้วนคัมภีร์ออกขณะเริ่มสอดส่อง มันถูกบันทึกเอาไว้ในมุมมองบุคคลที่หนึ่ง น่าจะคล้ายจดหมายหรือบันทึกประจำวัน
…ชายคนนั้นแนะนำตัวเองว่าชื่อมากาโร
มากาโรเป็นชายที่ไม่มากมารยาทแต่มีความจริงใจ นับว่าทำข้าตื่นตกใจเมื่อทราบว่าอีกฝ่ายมาจากโลกกลาง ข้าได้ยินว่ามีบุคคลซึ่งสามารถไปมาระหว่างโลกกลางและโลกใต้พิภพได้อย่างอิสระก็นานมาแล้ว แต่ข้าก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้พบกับสิ่งที่ได้ยินเพียงแค่ตำนานเรื่องเล่า อีกฝ่ายยืนยันว่าโลกกลางมีตัวตนอยู่จริง และค่อนข้างเจริญกว่าโลกใบนี้มากนัก ชายคนนั้นนับเป็นคนฉลาดยิ่ง แม้ว่าจะเพิ่งเห็นพืชและสัตว์ในที่นี้เป็นครั้งแรก เพียงไม่กี่วันชายคนนั้นก็สามารถเข้าใจคุณลักษณะและวิธีการใช้งานพวกมันได้เป็นอย่างดี ชายคนนั้นได้สอนพวกเราว่าควรสกัดยางไม้จากพืชอย่างไรเพื่อนำมาใช้รักษาบาดแผล และวิธีการทำปศุสัตว์จะช่วยให้พวกเรามีชีวิตที่ดียิ่งขึ้น
ทว่าเพียงเดือนเดียวชายคนนั้นก็ไปจากหมู่บ้าน ชายคนนั้นมาโลกใต้พิภพเพราะเหตุผล ‘พิเศษ’ และสิ่งที่เขาต้องการคือวิจัยวัสดุทั้งหลายเพื่อเป้าหมายนั้น ข้าได้บอกเล่ากับเขาถึงเรื่อง ‘ป่าแห่งชีวิต’ ที่อยู่ในทุ่งรกร้างตะวันออกว่าจะสามารถพบเจอวัสดุพวกนั้นได้ เขาสมควรได้รับทุกสิ่งที่ต้องการจากที่นั่น โชคร้าย หลังจากนั้นข้าไม่ได้พบเขาอีกเลย
‘…แบบนี้เองสินะ’
อาร์คได้ตระหนักว่ามีบางสิ่งที่ผิดแผกยามอ่านเอกสารนี้ เมื่อตอนที่เขาเห็นโรงสกัดยางไม้ สิ่งแรกที่เข้ามาในสมองของเขาคือห้องทดลองของสมาคมเวทมนตร์ โดยพื้นฐานของอุปกรณ์แตกต่างกันมาก แต่รูปทรงสิ่งปลูกสร้างค่อนข้างคล้าย เขาจึงได้พบเหตุผลหลังได้อ่านบันทึกนี้ มากาโรเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุอัจฉริยะ เพราะงั้นเขาย่อมต้องสอนคนเหล่านี้ถึงวิธีการใช้งานยางไม้ได้ไม่ยากเย็นแต่อย่างใด
‘เหมือนที่คิดไว้ เป็นเพราะมากาโรจริงด้วย แต่เรายังไม่รู้ว่ามากาโรมีจุดประสงค์ในทางลับอะไรถึงได้มาโลกใต้พิภพแห่งนี้…’
แน่นอนว่ากลิ่นของเงินเริ่มโชยมาแต่ไกลแล้ว
“ตอนข้าได้อ่านบันทึกนี้ก็แปลกใจเช่นเดียวกัน ข้าไม่ทันคิดเลยว่าบุคคลที่สอนพวกเราถึงวิธีการนำยางไม้มาใช้งานจะเป็นผู้ที่มาจากโลกกลาง”
“ว่าแต่ ป่าแห่งชีวิตอยู่ที่ไหนเหรอครับ?”
“ข้าไม่เคยไปด้วยตัวเองหรอก แต่ถ้าหากเจ้ามุ่งหน้าไปทางทุ่งรกร้างตะวันออก แถบนั้นบริเวณตะวันออกเฉียงใต้เจ้าจะพบเอง”
ไม่ช้าเขาจึงเปิดแผนที่ขึ้นมาเพื่อตรวจสอบพื้นที่โดยประมาณที่มีจุดสีแดงปรากฏ ตำแหน่งนี้ค่อนข้างใกล้กับภูเขาหิมะที่อาร์คมาเยือนเป็นครั้งแรก
‘ถ้าเดินทางเป็นเส้นตรงคงต้องใช้เวลาหลายวัน แต่อย่างน้อยก็รู้ตำแหน่งแล้ว’
อาร์คเก็บแผนที่ขณะกล่าวถาม
“ว่าแต่ พอจะทราบข้อมูลของผู้ชายสีแดงบ้างไหมครับ?”
“โอ้ ข้าเกือบลืม”
แต่แล้วเบซอทิวกลับส่ายศีรษะให้
“ข้าไม่อาจพบเจอข้อมูลใดของบุคคลดังกล่าวเลย”
“จริงเหรอครับเนี่ย?”
อาร์คถึงกับผิดหวังเล็กน้อย ที่จริง เขาก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก เขาได้รับภารกิจเพื่อมาหาห้องทดลองของมากาโร นั่นเป็นไปได้ว่าเขาจะได้รับข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับภารกิจเสียมากกว่า และนั่นก็เป็นเหตุผลที่เขามาเยือนที่แห่งนี้ตั้งแต่แรกแล้วด้วย อย่างไรแล้ว ผู้ชายสีแดงไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับภารกิจนัก เป็นเพราะอาร์คยังไม่ทราบว่าเขาต้องเริ่มต้นที่ตรงไหน เขาทำได้เพียงแค่คอยมองหาผู้ชายสีแดงคนนั้นเพียงเท่านั้น ถ้าหากเขาไม่ทราบว่าควรจะมองหาจากจุดไหน ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้รับเบาะแสมา ยิ่งไปกว่านั้น เขายังต้องการข้อมูลนี้มากในกรณีที่ผู้ชายสีแดงอาจเป็น ‘กุญแจ’ ของการผ่านทดสอบเข้าทำงาน
‘ก็ช่วยไม่ได้นี่นะ ตอนนี้ก็ไม่มีเบาะแสอะไรให้สืบหาไปอีกพักหนึ่งเลย’
อาร์คเมื่อรวบรวมข้อมูลได้ครบจึงเตรียมเก็บของเดินทางครั้งใหม่ เขาตรวจสอบอุปกรณ์สวมใส่อีกครั้งก่อนจะไปแวะที่ร้านขายสิ่งของเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นยาที่ใช้งานได้ ไม่ช้าทั้งลาริเอ็ตเต้และบุคซิลที่พักผ่อนเรียบร้อยต่างก็กลับเข้ามาในเกม
“อาร์คนิม ฉันมาสายไปหรือเปล่าคะ?”
“ไม่หรอกครับ มาถูกเวลาพอดี”
“หลังจากนี้จะไปไหนกันต่อคะ?”
“ไปที่ป่าแห่งชีวิตบริเวณทุ่งรกร้างทิศตะวันออก ระยะทางค่อนข้างไกล เพราะงั้นพวกเราควรเร่งเดินทางกันเลย”
เมื่ออาร์คเผยท่าทีคิดออกเดินทางโดยทันที เบซอทิวจึงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
“หืม เจ้าออกเดินทางตอนเช้าไม่ดีกว่าหรือ?”
“ไม่หรอกครับ สำหรับผมจะเช้าหรือเย็นล้วนไม่สำคัญ”
ที่จริง ตอนเย็นคือช่วงเวลาดีสุดที่ผู้เดินทางแห่งความมืดอย่างเขาจะเดินทาง
“งั้นเจ้าอยากใช้ปลากระเบนบินได้เพื่อเดินทางหรือเปล่า?”
ลาริเอ็ตเต้ถึงกับเผยสีหน้าตื่นตระหนกขณะซีดเผือด
“บะ-บิน? เอ่อ อาร์คนิม…”
“ขอบคุณนะครับ แต่ไม่เป็นไร ครั้งนี้พวกเราจะเดินไปครับ”
ลาริเอ็ตเต้ถอนหายใจด้วยความโล่งอกขณะอาร์คหัวเราะออกยามปฏิเสธให้แทน ทว่าอาร์คไม่ได้ปฏิเสธเพราะลาริเอ็ตเต้
‘บินเร็วกว่าก็จริง แต่ก็เท่านั้น’
มันยังมีวัตถุดิบอีกมากมายที่เขายังไม่เคยเห็นในโลกใต้พิภพ เขาไม่คิดปล่อยโอกาสที่จะหลุดลอยไปเพราะต้องโดยสารปลากระเบน นอกจากนี้ เขายังมั่นใจว่าทางด้านตะวันออกนั้นมีปลากระเบนป่าอีกหลายตัวตั้งแต่ตอนที่เดินทางมายังหมู่บ้านแห่งนี้ ถ้าหากเขาเดินทางด้วยปลากระเบน แบบนั้นอาจมีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดการต่อสู้ขึ้นกลางฟ้า
‘การต่อสู้กลางท้องฟ้ามีตัวแปรมากเกินไปหากเทียบกับศึกบนดิน ตอนที่กลับจากหุบเหวแห่งความสิ้นหวัง กว่าจะจัดการปลากระเบนบินได้ทั้งห้าตัวขณะคุ้มกันลาริเอ็ตเต้และบุคซิลไปด้วยก็เป็นเรื่องลำบากพอสมควร เพราะงั้นแล้วเดินทางด้วยเท้าแม้จะนานแต่ก็ดีกว่า จะยังไงเรื่องนี้ก็ไม่ได้รีบร้อนอะไรมากอยู่แล้วด้วย…’