เล่ม 10 ตอนที่ 6 : แม่หญิงงาม (2)
“ลาริเอ็ตเต้นิม ต้องการโล่ชิ้นนี้หรือเปล่าครับ?”
“คะ? เอ่อ ก็ไม่…”
แม้ว่าลาริเอ็ตเต้จะตอบรับอย่างสุภาพ แต่เธอก็ไม่อาจละสายตาจากโล่นี้ได้เลยจริง ๆ อาร์คเองก็เผยท่าทีกังวลใจก่อนที่จะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเอาจริงเอาจังออกมา
“ที่จริงมันก็รบกวนใจผมมาพักหนึ่งแล้ว กระทั่งว่าลาริเอ็ตเต้นิมเปลี่ยนอาชีพแล้ว แต่ก็ยังไม่มีไอเทมสำหรับเฉพาะอัศวินเลย ผมให้ไปก็แต่สิ่งของทั่วไปเท่านั้นเอง”
“ฉันตัดสินใจเรียบร้อยแต่แรกแล้วค่ะว่าไอเทมทั้งหมดต้องเป็นของอาร์คนิม”
“แต่ถ้าหากไอเทมที่เหมาะสมดร็อปออกมา มันก็ควรจะเป็นของลาริเอ็ตเต้นิมนะครับ”
“คือว่า…”
แม้ลาริเอ็ตเต้จะรู้สึกดีใจ แต่เธอก็ยังคงรู้สึกเสียใจที่เผยอาการไปชั่วครู่ ไม่ช้าอาร์คจึงพึมพำบางสิ่งออกมา
“รู้อะไรไหมครับ? ว่าชาวบารันแลกเปลี่ยนสินค้ากันยังไง?”
“คะ? วิธีการของชาวบารัน?”
“พวกเราก็แค่นำไอเทมที่มีค่าทัดเทียมกันออกมา ยกตัวอย่าง ลาริเอ็ตเต้นิมไม่ต้องการไอเทมของนักเวทอีกต่อไปแล้ว เพราะงั้นสามารถนำมาแลกเปลี่ยนกับไอเทมอื่นได้ ใช่แล้วครับ วิธีการนี้น่าจะดีที่สุด”
บุคซิลที่รับชมเรื่องราวอยู่จากด้านข้างพลันเผยสีหน้าหัวร้อนออกมา เขาตระหนักได้ถึงคำพูดของอาร์คเป็นอย่างดี อีกฝ่ายกำลังเสนอให้แลกเปลี่ยนโล่นี้กับไอเทมของลาริเอ็ตเต้ที่สมน้ำสมเนื้อ! บุคซิลรู้สึกคับอกคับใจกับวิธีการชั่วช้าเช่นนี้ แต่อาร์คไม่
‘รู้สึกละอายใจอยู่หรอก แต่เราจะปล่อยให้เงินหลุดมือไปไม่ได้!’
อาร์คตัดสินใจว่าเรื่องลาริเอ็ตเต้ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปแล้ว แน่นอน ลาริเอ็ตเต้ยังไงก็เป็นหญิงสาวที่เขาชื่นชอบ แม้ว่าเขาจะรู้สึกสบายอกสบายใจมากขึ้นหลังฝึกสอนให้เธอ แต่ภายในใจของเขาก็ยังคงเจ็บปวดอยู่ดีหากเห็นเธอต้องร้องไห้ ทว่าอาร์คทำได้เพียงแค่ปลอบโยนตัวเอง
‘แล้วจะให้เราทำยังไง? ไม่ได้ ตื่นเดี๋ยวนี้!’
อาร์คไม่รู้ว่าภายในใจของลาริเอ็ตเต้คิดอะไรอยู่ แม้ในคราวแรกเขาจะรู้สึกประหลาดกับตัวเองอยู่บ้าง แต่ถ้าหากลาริเอ็ตเต้จู่ ๆ มาสารภาพรักขึ้นมาเขาก็คงไม่อาจยอมรับได้ นั่นเป็นเพราะอาร์คมีบุคคลอันเป็นที่รักเหนืออื่นใดอยู่แล้ว เขาอุทิศทั้งชีวิตกับบุคคลอันเป็นที่รักคนนี้! และมันก็ไม่ใช่ความรู้สึกฉาบฉวย เขารู้สึกเช่นนั้นออกมาจากใจ
ที่สุดแห่งรัก ที่สุดในชีวิต ทั้งอดีตและอนาคตของเขา จะมีหญิงงามคนนี้เพียงผู้เดียว!
‘แม่… ใช่แล้ว บุคคลที่เรารักมากกว่าใครในโลกนี้ก็คือแม่ของเราเอง เรื่องอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับเงินซึ่งจะนำไปจ่ายเป็นค่ารักษาพยาบาลของแม่ล้วนไม่น่าอายทั้งนั้น กระทั่งเรื่องแย่กว่านี้เราก็ทำได้เพื่อแม่!’
เขาไม่เคยมีความละอายใจ ทั้งหมดก็เพื่อแม่ของตนเอง! นั่นเป็นเหตุผลหลักเลยที่อาร์คยอมกระทำการอุกอาจปล่อยข้อเสนอแบบนี้ออกมา ทว่าลาริเอ็ตเต้ตอบสนองผิดคาด
“อา ก็ยุติธรรมดีแล้วค่ะ ใช่แล้ว ถ้าให้เฉย ๆ ฉันคงรู้สึกผิดแน่ งั้นมาแลกเปลี่ยนกับไอเทมนักเวทของฉันดีกว่าค่ะ แล้วกรณีที่ในอนาคตไอเทมสำหรับอัศวินดร็อปออกมาอีกก็จะทำแบบเดียวกันใช่ไหมคะ?”
“ครับ? เอ่อ ใช่ครับ…”
กลับเป็นอาร์คที่ฉงนกับการตอบสนองแบบนี้ ที่จริง อาร์คไม่คิดว่าเรื่องนี้จะดีสำหรับลาริเอ็ตเต้เช่นกัน แต่เธอกลับไม่แสดงอาการอะไรเลยสักนิด เมื่อครั้งเธอยังเป็นส่วนหนึ่งของกิลด์ดาบแห่งอรุณรุ่ง อลันมักจะเอาใจเธอเป็นพิเศษเกินไป ถึงจุดหนึ่งเธอจึงกลายเป็นภาระของกิลด์และตัดสินใจออกจากดาบแห่งอรุณรุ่งด้วยตัวเอง ทว่าอาร์คแตกต่างจากอลัน เขาไม่เคยทำกับเธออย่างเอาอกเอาใจเพราะเธอเป็นผู้หญิง ด้วยความเป็นจริงที่โลกจริงเธอก็งามงด แต่เธอกลับไม่เคยเจอใครทำกับเธอเหมือนที่อาร์คทำมาก่อน เพราะงั้นแล้วการกระทำของอาร์คในช่วงที่ผ่านมานี้จึงทำให้เธอรู้สึกสดชื่นอย่างประหลาด การพูดคุยกับหญิงงามคือหนึ่งในเรื่องดึงดูดความสนใจที่พวกเด็กเสเพลชอบคิดทำกัน อย่างไรแล้ว ลาริเอ็ตเต้ก็แลกเปลี่ยนไม้คทากับโล่ของอาร์คเรียบร้อย
“งั้นพวกเราไปกันต่อเลยนะครับ?”
อาร์คเผยรอยยิ้มพึงพอใจที่การค้าสำเร็จไปได้ด้วยดี อาร์คตอนนี้อารมณ์ดีอย่างถึงที่สุด
“บุคซิล ลาริเอ็ตเต้นิม ทางโน้นน่าจะมีวัตถุดิบ ช่วยกันหน่อยนะครับ”
เมื่อการต่อสู้จบลง เขาจึงออกคำสั่งกับบุคซิลและลาริเอ็ตเต้โดยทันทีเพื่อให้พวกเขาทั้งสองหาประสบการณ์เพิ่มขึ้น ทั้งสองจึงต้องออกตระเวนเดินเก็บเกี่ยววัตถุดิบตามรายทาง กระเป๋าของอาร์คตอนนี้จึงเต็มไปด้วยน้ำพักน้ำแรงของทั้งสอง และมันก็เป็นผลให้เขาพูดกล่าวออกมาอย่างมาดมั่น
“เก็บรวบรวมวัตถุดิบต่อไปจนกว่าทักษะจะเลื่อนระดับเลยก็น่าจะดีนะครับ”
‘หมายความว่าพวกเราต้องทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยจนกว่าจะถึงขั้นกลาง?’
ลาริเอ็ตเต้กลายเป็นหวาดเกรงเสียแล้ว อีกทางหนึ่ง บุคซิลกลับรู้สึกหนักอึ้งเพราะอีกเหตุผล
‘ถ้ากระเป๋าหมอนี่เต็ม แบบนั้นแล้วเราคงต้องตายเหมือนน้องชายทั้งสอง…!’
แต่ทางด้านอาร์คนั้นกลับพึงพอใจกับเรื่องนี้ยิ่งนัก
‘ฮ่าฮ่าฮ่า ได้ทำแบบนี้เสียบ้าง ลดความเครียดไปได้เยอะ!’
อาร์คสุขใจขณะนำพาทั้งสองเดินทางมุ่งเข้าไปในป่าแห่งชีวิต
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ!
“กำแพงอัคคี!”
ม่านพลังเปลวเพลิงพวยพุ่งออกเพราะจีเวลเรียกใช้งาน พวกมันเหล่านี้ไม่ใช่เปลวไฟเหมือนที่ปรากฏบนแท่งเทียน มันคืออัคคีที่พร้อมระเบิดออกจากพื้นดินด้วยความเสียหายอันรุนแรง! เผ่านาคูจักหลายสิบคนถูกเปลวเพลิงโอบล้อมขณะโดนอาการ ‘เผาไหม้’
“ศรทะลวง!”
ดุ๊คยิงลูกธนูออกเข้าใส่ศัตรูโดยทะลวงผ่านกำแพงอัคคีไป มันเป็นทักษะที่มีอำนาจทะลุทะลวงของลูกธนูเหล็กกล้า! เหล็กกล้าจะช่วยให้อำนาจการทะลุทะลวงสามารถผ่านร่างของชาวนาคูจักไปได้พร้อมความเสียหายอันมหาศาล จีเวลและดุ๊คต่างเป็นนักบุกเบิก เพราะงั้นพวกเขาจึงสามารถรับมือสามถึงสี่คนได้พร้อมกัน นักเวทและนักธนูต่างเป็นอาชีพที่มีทักษะโจมตีเป็นวงกว้าง แบบนั้นแล้วพวกเขาจึงสามารถแสดงศักยภาพสูงสุดออกมาได้เมื่อต่อสู้กับศัตรูเป็นกลุ่ม มีเพียงสิ่งเดียวที่ต้องระวังคือการรักษาระยะห่างเอาไว้และพวกเขามีพลังป้องกันน้อย
“ม่านโลหะ!”
แต่เพราะมีนักรบคอยใช้ทักษะสายโล่เข้าคุ้มครองอยู่ด้านหน้า ด้วยเหตุนี้ทั้งจีเวลและดุ๊คจึงสามารถใช้งานทักษะออกมาได้อย่างสบายกายสบายใจ อย่างไรแล้ว… ด้วยจำนวนของศัตรูที่ยิ่งมายิ่งมาก พวกเขาสังหารไปหลายร้อยตัวแล้ว ทว่าจำนวนของศัตรูกลับไม่คล้ายลดน้อยลงเลยสักนิด มันรู้สึกเหมือนทรายในทะเลทรายที่พร้อมจะหลั่งไหลอย่างไม่มีหยุด
“บ้าบออะไรกันเนี่ย?”
“ยังไม่เห็นไอ้เจ้าอาร์คนั่นเลย…”
“อย่าบอกนะว่ามันหลอกให้เรามาอีกทางหนึ่ง?”
จีเวลเริ่มพึมพำกับตัวเอง หลังได้รับข้อมูลใหม่มา พวกเขาจึงออกไล่ล่าอาร์คในช่วงหลายวันมานี้ ไม่นานนักคณะของจีเวลจึงข้ามผ่านภูเขาทางเหนือมาได้ แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ภูเขาทางเหนือนั้นอยู่ใกล้กับหุบเหวแห่งความสิ้นหวัง พวกเขาใช้งานปลากระเบนบินได้ตอนครั้งแรกเพื่อมาที่นี่ แต่ตอนนี้กลับต้องเดินทัพด้วยเท้า มอนสเตอร์ในภูเขาไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ที่เป็นปัญหาคือสภาพภูมิประเทศของภูเขาทางเหนือ… ทั้งพื้นดิน กำแพง และเพดาน ทั้งหมดล้วนเต็มไปด้วยก้อนหินที่แหลมคม มันทำให้ยากต่อการปีนป่ายไม่ว่าจะไปทางใด พวกเขาไม่อาจข้ามภูมิประเทศเช่นนี้ได้โดยวิธีการปกติ แต่คณะของจีเวลก็ไม่คิดยอมแพ้ขณะยอมโดนทิ่มแทงเพื่อให้ได้ไปต่อ
“มันจะต้องมีเส้นทางให้ผ่านไปอยู่ที่ไหนสักแห่งแน่”
“ถ้าหากไอ้เจ้าอาร์คมันข้ามเส้นทางนี้ไปได้ พวกเราก็ต้องทำได้!”
ทุกคนต่างตั้งมั่นกันมุ่งหน้าเพื่อล้างแค้นอาร์ค! พวกเขาตอนนี้ต่างมีพลังงานล้นเหลือจนข้ามผ่านภูเขามาได้ แต่ในบรรดาพวกเขาไม่มีใครคาดคิดเลยว่าจะมีความโหดร้ายใดรอคอยอยู่ด้านบนของภูเขา เป็นอาร์ครอคณะพวกเขาอยู่หรือ? ไม่ มันถูกแทนที่ด้วยชนเผ่านาคูจักที่มีผิวกายสีแดงรวมตัวกันอยู่ต่างหาก
“ผู้บุกรุก!”
“จับพวกมัน พวกบารันต้องส่งมาเป็นสปายแน่!”
“หา อะไรกันเนี่ย? ถอยก่อน!”
คณะของจีเวลถึงกับแตกตื่นพร้อมเริ่มถอยทัพ ทว่ามันกลับมีภูเขาปิดกั้นเส้นทางด้านหลังพวกเขาเอาไว้ ทำไมถึงเป็นพวกนาคูจักแทนที่จะเป็นอาร์ค? หลังผ่านไปได้พักหนึ่ง พวกเขาจึงได้ตระหนักว่าอาร์คไม่ได้อยู่ที่นี่ เป็นอีกฝ่ายล่อลวงให้พวกเขาติดกับพวกนาคูจักเหมือนก่อนหน้าต่างหาก
“ไม่ได้ เราจะตายกันตรงนี้เหมือนครั้งก่อนไม่ได้! ลากพวกมันไปที่หุบเขา!”
ตอนหุบเหวแห่งความสิ้นหวังเป็นพวกเขาไม่ทราบว่ามีอะไรอยู่ข้างใน แต่ครั้งนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว พวกเขาเคยโง่มาก่อนแต่ยังไงแล้วก็เป็นนักบุกเบิก จีเวลตัดสินใจอ่านสถานการณ์ได้เฉียบขาดโดยทันทีขณะเริ่มล่อศัตรูไปยังหุบเขา ด้วยตำแหน่งยุทธศาสตร์เหมาะสำหรับการรับมือศัตรูจำนวนมาก อย่างพื้นที่แคบของหุบเขาเป็นอะไรที่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งที่จะทำให้ศัตรูแออัดกรูกันเข้ามาได้ ด้วยเหตุนี้ชาวนาคูจักกว่าร้อยคนจึงทำได้เพียงแค่เรียงแถวหน้ากระดานกันเข้ามาทีละยี่สิบเท่านั้น จีเวลหยุดการรุกคืบของชาวนาคูจักโดยการส่งนักรบไปไว้ที่แนวหน้าขณะคอยหนุนเสริมด้วยการโจมตีระยะไกลจากทางด้านหลัง ด้วยเหตุนี้การรับมือมอนสเตอร์หลายร้อยชีวิตของพวกเขาจึงไม่ได้รับความเสียหายอะไรเลย แต่จีเวลก็ทราบดีว่านี่เป็นแค่ทางแก้ไขชั่วคราวเท่านั้น
‘ไม่ช้าพลังมานาของเรายังไงก็ต้องหมด พวกเราต้องหาทางทะลวงการบุกโจมตีนี้แล้วหนีไปให้ได้ หากปล่อยไว้แบบนี้เราจะไม่มีโอกาสได้ฆ่าไอ้เจ้าอาร์คนั่น!’
จีเวลเริ่มกัดริมฝีปากจนกระทั่งเลือดไหลซิบออกมาและเริ่มครุ่นคิด ไม่ช้า ดุ๊คพลันอุทานออกมาพร้อมนัยน์ตาสีดำที่เบิกกว้าง
“จีเวล หัวหน้าของพวกมันใกล้มาถึงทางเข้าหุบเขาแล้ว!”
นี่เป็นทักษะขั้นสูงของอาชีพเรนเจอร์ ‘ดวงตาเหยี่ยว’ มันจะช่วยสามารถให้เห็นทุกสิ่งในระยะสองร้อยเมตรได้! ขณะที่มองสำรวจสภาพโดยรวมถึงจำนวนของศัตรู ดุ๊คจึงได้เห็นร่างขนาดใหญ่ของตัวหัวหน้าพวกมัน
“ระยะล่ะ?”
“ด้านหลังกองทหารด้านนี้ เลเวล 350”
“ดี อย่างน้อยก็มีโอกาสได้พลิกสถานการณ์!”
ดวงตาของจีเวลทอประกาย ในการศึกระหว่างผู้เล่นและมอนสเตอร์ การมีตัวตนของหัวหน้าไม่ว่าจะฝ่ายใดล้วนสำคัญ หากหัวโดนฆ่า แบบนั้นกองทหารก็จะแตกตื่นไปพักหนึ่ง ขวัญกำลังใจของพวกมันจะลดน้อยลงขณะที่รูปขบวนพังทลาย หากเป็นแบบนั้นแล้ว นั่นคือโอกาสที่จะทะลวงวงล้อมของพวกนาคูจักออกไป
“ถ้าพวกเราฆ่ามันได้ ลูกน้องของมันก็จะแตกตื่นเอง!”
“เข้าใจแล้ว งั้นทะลวงกลุ่มศัตรูด้วยรูปขบวนสามเหลี่ยม เป้าหมายคือระยะห้าสิบเมตร!”
“ไปกันเลย!”
วูบ ครึก เคร้ง!
นักรบเปลี่ยนตำแหน่งจากป้องกันเข้าสู่การโจมตีขณะเริ่มผลักดันชาวนาคูจัก จีเวลและดุ๊คต่างก็ใช้การโจมตีทะลุทะลวงขณะที่นักรบใช้งานโล่เพื่อผลักชาวนาคูจักให้พ้นทาง ฉับพลัน ศัตรูที่เหลืออยู่ด้านหน้าของคณะจีเวลตอนนี้คือมอนสเตอร์ระดับหัวกะทิแล้ว อีกฝ่ายตัวค่อนข้างใหญ่พร้อมขวานขนาดมหึมาที่ถือเอาไว้ด้วยมือทั้งสอง
“อย่าไปสนใจตัวเล็กตัวน้อย โจมตีแต่เฉพาะตัวหัวหน้า!”
“โอ้ พุ่งปะทะฟาดฟัน!”
คณะคนทั้งสิบต่างปิดล้อมมอนสเตอร์ระดับหัวหน้าเอาไว้ขณะเริ่มใช้งานทักษะที่รุนแรงออกมา แม้ว่ามอนสเตอร์ระดับหัวกะทิจะมีพละกำลังและความอดทนเยอะกว่าปกติมากมาย แต่ภายใต้อำนาจการรุมโจมตีเช่นนี้พลังชีวิตจึงลดลงอย่างรวดเร็ว ไม่ช้า ด้วยการยิงอันแม่นยำของดุ๊คจึงเข้าปะทะที่เข่าของมันจนล้มคุกเข่าลง
“อั่ก ปะ-เป็นไปไม่ได้!”
“จบกันเสียที!”
วูบ!
นักรบที่วิ่งเข้าใส่เตรียมปลิดชีพด้วยการเหวี่ยงดาบ ฉับพลันปรากฏเสียงกรีดร้องแหลมคมจากท้องฟ้า เป็นเหยี่ยวสีดำขนาดใหญ่ที่ร่อนบินลงมาในสมรภูมิรบ ขณะเดียวกัน แสงสว่างได้สาดส่องเข้าใส่ตัวหัวหน้า พร้อมกับสร้างคลื่นกระแทกขนาดใหญ่ผลักดันให้นักรบต้องถอยกลับ
“อั่ก นี่มัน อะไรกัน…?”
“ใครกัน? คนที่ลงมาเมื่อกี้น่ะ”
คณะของจีเวลกระชับอาวุธในมือแน่น ร่างของบุคคลเริ่มปรากฏขึ้นม่านหมอกฝุ่น เป็นชายที่มีเส้นผมสีแดงและสวมใส่หน้ากากสีขาว!
‘ชายคนนี้คือ? ศัตรู? แต่แล้วทำไมบรรยากาศมัน…?’
จีเวลเริ่มคิดไม่ถูกว่าจะรับมืออย่างไร
“พวกที่บุกเข้าสู่หุบเหวแห่งความสิ้นหวังสินะ ครั้งนั้นทำได้ดีเลยทีเดียว”
ชายสีแดงจ้องมองคณะของจีเวลพร้อมพยักหน้าให้
“เอาแบบนี้เป็นยังไง? สนใจร่วมมือกันหรือไม่? หากยอมทำงานให้ ฉันสัญญาว่าจะตอบแทนให้อย่างงาม”
“ว่าอะไร? ร่วมมือ? โผล่พรวดออกมาแล้วก็พูดโพล่งอะไรแบบนี้เนี่ยนะ?”
“หรือ… คิดอยากตายอยู่ที่นี่กัน?”
ชายสีแดงเคลื่อนไหวมือเป็นท่าทางเล็กน้อย จีเวลเริ่มกลายเป็นตัวแข็งทื่อ จีเวลไม่ทันได้ตระหนัก แต่ชาวนาคูจักต่างหยุดการกระทำเมื่อชายคนนี้ปรากฏตัว หัวหน้าของพวกมันก็หยุดมือเช่นกันและยังมองด้วยอาการแตกตื่น ดังนั้นแล้วชายสีแดงจะต้องทรงอำนาจต่อเผ่านาคูจักอย่างแน่นอน ถ้าหากพวกเขาปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว ก็พอจะเดาได้ว่าเรื่องราวใดจะเกิดขึ้น
“นาย… เป็นใครกัน?”
จีเวลกลอกตาขณะถามด้วยสีหน้าไม่ค่อยพึงพอใจนัก ไม่ช้า ท่าทีคล้ายขบขันได้เผยออกภายใต้หน้ากากนั่น
“ฉันเป็นผู้เล่น เหมือนกับพวกเธอยังไงล่ะ”