ตอนที่ 363 : ทลายทางเข้า! (1)
ร่างกายของจักตูตอนนี้ปกคลุมไปด้วยเมือกสไลม์สีเหลือง
“ห้วงเวลาแห่งสไลม์!” ถูกต้อง อาร์คไม่ใช่เพียงคนเดียวที่มีห้วงเวลาแห่งสไลม์อีกต่อไป
แน่นอนว่าทักษะนี้สร้างขึ้นผ่านม้วนทักษะ ผลลัพธ์ที่ได้จึงไม่ใช่ 100% แต่สมาชิกกลุ่มทัณฑ์บนต่างก็กินเม็ดยาสไลม์อมตะกันเข้าไป มันจะช่วยทําให้การโจมตีทางกายภาพไร้ผล 100% เพราะเผ่านาคูจักไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้
“แต่ว่า…”
อาร์คมองจักตูด้วยความฉงน จักตูเองก็ทราบดี แต่สําหรับตอนนี้นี่คือวิธีการที่ดีที่สุด หากจักตูตายก็แค่เสียค่าสถานะเล็กน้อยก่อนไปฟื้นคืนชีพอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นเขาตั้งใจยอมรับถึงความสูญเสียเอาไว้ก่อนแล้ว แต่ปัญหาเรื่องความตายไม่ใช่สิ่งที่อาร์คกําลังเป็นกังวล
“เราไม่เคยคิดมาก่อนว่าเม็ดยาสไลม์อมตะที่ไม่สมบูรณ์จะมีบทลงโทษรุนแรงแบบนั้น”
เม็ดยาสไลม์อมตะที่กลุ่มทัณฑ์บนกินเข้าไปไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ระดับ A ตามปกติแล้วเม็ดยาสไลม์อมตะต้องใช้เวลาจัดทําถึงหนึ่งร้อยสิบแปดชั่วโมงด้วยกัน การจัดทําหกเม็ดก็เท่ากับเจ็ดร้อยแปดชั่วโมง! เพราะไม่มีทักษะการทําอาหารเพื่ออยู่รอด สมาชิกกลุ่มทัณฑ์บนจึงต้องกินผลิตภัณฑ์ระดับ B ซึ่งถูกสร้างจากม้วนตําราอีกทีหนึ่ง และผลลัพธ์ที่มันจะมอบให้ได้ก็มีเพียงแค่ 70% ของเม็ดยาดั้งเดิม ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ค่าสถานะไม่เต็ม แต่บทลงโทษสําหรับเม็ดยาระดับ B ต่างหากที่เกินจินตนาการถึง.. มันมาพร้อมกับทักษะใหม่ที่ได้เรียนรู้
ท่านได้เรียนทักษะเฉพาะทาง “ห้วงเวลาแห่งสไลม์” ภายในหนึ่งวันท่านสามารถเลือกใช้หนึ่งในทักษะทั้งสองได้
สามารถปกคลุมร่างกายเอาไว้ด้วยชั้นเมือกสไลม์เป็นระยะเวลา 10 นาที การโจมตีทางกายภาพทั้งหมดจะได้ผล 100% แต่หากโดนโจมตีด้วยเวทมนตร์จะกลายเป็นเพิ่มความเสียหาย 100% เพราะภูมิต้านทานเวทมนตร์ลดลง 100%
(บทลงโทษผลิตภัณฑ์ระดับ B : หากท่านนําเม็ดยาไม่สมบูรณ์เข้าร่างกายและพยายามเปลี่ยนร่างเป็นสไลม์ ทั้งร่างของท่านจะมีความไวต่ออาการเจ็บปวดเมื่อโดนโจมตีถึง 50 เท่า)
ท่านสามารถเรียกสไลม์ทุกประเภทที่คงอยู่ภายในรัศมี 500 เมตรมาได้
(บทลงโทษผลิตภัณฑ์ระดับ B : หากท่านนําเม็ดยาไม่สมบูรณ์เข้าสู่ร่างกาย สไลม์ที่เรียกมาจะไม่ทราบว่าท่านคือพันธมิตร และมันจะเข้าโจมตีผู้เล่นทุกคนในระยะ)
นับเป็นบทลงโทษอันแสนน่ารังเกียจ ในนิวเวิลด์นั้นเมื่อโดนโจมตีอย่างมากที่สุดก็เจ็บปวดเพราะโดนไฟช็อตเล็กน้อย แต่ครั้งนี้เพิ่มขึ้นถึง 50 เท่าเลยทีเดียว
“ฉันใช้ทักษะห้วงเวลาแห่งสไลม์ไม่ได้”
แชมบาร่าบ่นออกมาตอนที่กินผลิตภัณฑ์ระดับ B เข้าไปและได้รับทราบถึงผลลัพธ์ หากใช้ทักษะแล้วต้องรับความเจ็บปวดยิ่งกว่าความเป็นจริงใครกันจะอยากรับ การที่พวกจักตูเลือกเข้าไปขวางทางโดยใช้ทักษะดังกล่าว สิ่งที่ต้องจ่ายนับว่าใหญ่หลวงเพียงเพื่อขัดขวางทางเข้าไว้แค่สิบนาที พวกเขาต้องยืนหยัดรับความเจ็บปวดยิ่งกว่าโดนกระทําในความเป็นจริงด้วยซ้ำ
“พวกพี่ชายถึงกับใช้ห้วงเวลาแห่งสไลม์…”
อาร์คกล้ำกลืนความรู้สึกลงไปขณะร้องตะโกน
“ผมจะทําทุกวิถีทางเพื่อให้ภารกิจสําเร็จให้ได้ครับ!”
สถานการณ์ตอนนี้ยิ่งมายิ่งสิ้นหวังมากขึ้น
“หึหึหึ ฉากน่าสนุกแบบนี้ไม่คิดพลาดแน่”
ความสัมพันธ์ระหว่างเดดริคและสมาชิกกลุ่มทัณฑ์บนไม่นับว่าดีนัก ก่อนหน้านี้ที่โดนเรียกตัวออกมา เดดริคก็มักจะโดนรังแกอยู่บ่อยครั้ง ดังแล้วพอเติบโตขึ้นและแข็งแกร่งขึ้นมามันก็คิดหาจังหวะรับชมเรื่องสนุกอยู่ตลอด
“ข้าคือชนชั้นสูงแห่งโลกใต้พิภพ” นั่นคือสิ่งที่เดดริคมักบอกกับตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าจนเกิดความมั่นใจในตัวเองฐานะเบอร์สองขึ้น
อย่างไรแล้ว ในช่วงก่อนหน้านี้อาร์คก็ยอมรับเป็นทางการแล้วว่าเดดริคเป็นเบอร์สองจากภายในใจ นั่นยิ่งทําให้เรื่องแย่ลง ดังนั้นแล้วมันจึงเริ่มกระทํากับราซาค ราดัน ลาริเอ็ตเต้ และบุคซิลไม่ต่างผู้ใต้บังคับบัญชา
“ข้าคือชนชั้นสูงแห่งโลกใต้พิภพและยังเป็นเบอร์สอง ข้าคือหัวหน้ากรณีที่เจ้านายไม่อยู่!”
ทุกครั้งที่อาร์คไม่อยู่ในพื้นที่มันจะทําตัวเป็นใหญ่โดยทันที แม้เป็นเรื่องเล็กน้อยแต่อาร์คก็รับทราบดีถึงความอหังการภายในตัวเดดริค อย่างไรแล้วระหว่างที่อาร์คอยู่ในโลกใต้พิภพ สมุนปีศาจของเขาจําเป็นต้องคงสภาพไว้ตลอด ทางด้านราดันและราซาคนั้นเขามักพาไปด้วยอยู่แล้ว และบ่อยครั้งอาร์คกลับให้ลาริเอตเต้อยู่โดยลําพัง นอกจากนี้เขายังไม่เชื่อใจบุคซิล เพราะงั้นแล้วเดดริคจึงกลายเป็นผู้ที่อยู่เหนือห่วงโซ่อาหารกรณีอาร์คไม่อยู่ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทําไมเดดริคเมื่อได้รับตําแหน่งเบอร์สองจึงยิ่งมายิ่งแข็งกร้าว และเมื่อไม่นานมานี้เหตุการณ์ครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้นกับเดดริค อาร์คได้ตกลงเป็นพันธมิตรและผู้บัญชาการของสมาคมแห่งความมืดและเผ่าบารัน
“เดี๋ยวนะ ไม่ใช่ว่าเราอยู่ใต้เพียงคนเดียวคือเจ้านายหรอกหรือ? แบบนั้นแล้วเราที่เป็นเบอร์สองย่อมต้องอยู่เหนือผู้คนนับพันของทัพพันธมิตรหรือไม่ใช่? นะ-ในที่สุด… เราก็ก้าวมาถึงจุดนี้จนได้! เราได้รับรางวัลเป็นกองกําลังอันเกรียงไกรแล้ว!”
นับว่าเจ้าค้างคาวนี่สําคัญอํานาจตัวเองผิดอย่างร้ายแรงถึงกับเผยธาตุแท้ออกมาในช่วงที่อาร์คละสายตาเท่านั้น
“หึหึหึ ในเมื่อเจ้านายไม่อยู่ข้าก็คือผู้บัญชาการของกองทัพนี้! ข้าขอบอกไว้ก่อนเลยว่าข้าหาได้ใช่คนใจดีอย่างเจ้านายไม่!”
เดดริคบินไปรอบป้อมปราการฮามานขณะเริ่มทําการพล่ามไปเรื่อย จนถึงขนาดว่ามีคนคิดอยากจัดการให้มันเงียบปากไปเสีย… แต่ผู้อาวุโสเผ่าของพวกเขาล้วนถูกอาร์คจับเป็นตัวประกัน เพราะงั้นแล้วเผ่าบารันจึงไม่กล้าต่อต้านเดดริค อีกทั้งลาริเอตเต้กับบุคซิลยังมองท่าที่เช่นนี้เป็นเรื่องปกติไปแล้ว แต่เดดริคกลับไปสร้างความหัวร้อนและล้ำเส้นเข้า
“เฮ้ยพวกแกน่ะ ทําอะไรอยู่กัน?”
เดดริคถึงกับหาญกล้าพูดจาเช่นนี้กับสมาชิกกลุ่มทัณฑ์บน พวกเขาต่างเผยสีหน้าไม่พอใจขณะจ้องไม่วางตา
“ว่าอะไรนะ? เมื่อกี้แกพูดว่าอะไรนะ?”
“เฮือก เจ้าพวกนี้ ทําไมถึงมีสายตาโหดเหี้ยมขนาดนี้กัน?”
เดดริคคิดอยู่ครู่ว่าตนทําอะไรผิดพลาดไปหรือไม่ แต่แล้วมันกลับส่ายหัวไปมา
“ไม่ได้ เราจะกลัวไม่ได้ ในช่วงการบุกโจมตีที่นาการัน เจ้านายก็ทําตัวเป็นหัวหน้าเสมอ เจ้าคนพวกนี้คือลูกน้องของเจ้านาย และเราคือเพียงผู้เดียวที่อยู่ภายใต้เจ้านาย เราคือเบอร์สอง! ไอ้เจ้าพวกนี้ล้วนอยู่ต่ำกว่าเรา! หากพวกมันกล้าขัดคําสั่งก็ต้องนับเป็นพวกกบฎ!”
“ว่าอะไรนะ? มองหาอะไร? คิดกล้าแข็งขึ้นงั้นรึ? อยากตาย?”
ท้ายที่สุดเดดริคคล้ายไปกดสวิตช์ระเบิดนิวเคลียร์เข้า เพียงชั่วครู่เท่านั้น เดดริคมีสภาพไม่ต่างอะไรกับเค้กเละ ๆ โดยฝีมือกลุ่มทัณฑ์บน แต่แล้วแม้กระทั่งโดนทุบตีไปชั่วครู่เดดริคกลับยังไม่คล้ายเข้าใจ
“อั่ก พวกแก… รอเจ้านายกับมาก่อนเถอะ… ได้ตายกันหมดแน่…”
“โห ขนาดนั้นเลย? เฮ้ยพวกเราไอ้ค้างคาวนี่อยากโดนอีกแน่ะ”
“โอ้ย โอ้ย! ยะ-หยุด… หยุดทุบตีข้าเดี๋ยวนี้ ไม่ ไม่ ข้ายกโทษให้ก็ได้”
“ยกโทษให้? เหอะ นี่หัวไอ้เจ้านี่เจ็บจนเป็นบ้าไปแล้วหรือไงเนี่ย”
“โอ๊ย โอ้ย! อีก เจ็บนะ หยุดทุบตีข้าได้แล้ว ได้โปรดให้อภัยข้าด้วย”
ท้ายที่สุดกว่าเดดริคจะหลุดพ้นจากกลุ่มทัณฑ์บน ร่างกายก็มีสภาพแทบดูไม่ได้
“หึหึหึ คราวนี้แหละพวกแกต้องโดนบ้าง!?”
เดดริคบาดเจ็บหนักจนต้องขวัญผวาอยู่นับสัปดาห์ ตอนนี้พอได้เห็นโอกาสที่พวกจักตูจะโดนเผ่านาคูจักเล่นงานบ้างก็สะใจไม่น้อย แต่แล้วเสียงหัวเราะของเดดริคกลับเริ่มเลือนหายเพราะสิ่งที่ปรากฏ
“โอ้ นี่มัน ไม่ใช่เล่นเลยนี่นา?”
“อีก โดนดาบฟัน รู้สึกแบบนี้เองสินะ”
“อา… ไม่เคยคิดเลยว่าจะแย่ขนาดนี้”
จักตู แยปแซบ และทัสซ่าต่างร้องครางต่ำกันออกมา ความเจ็บปวดที่เพิ่มขึ้นห้าสิบเท่านั้นเกินจินตนาการ มันให้ความรู้สึกสมจริงคล้ายพวกเขาโดนทิ่มแทงหรือทุบตีเข้าที่กะโหลกศีรษะ! พลังชีวิตของพวกเขาไม่ได้ลดน้อยลงแม้แต่1% ก็จริง แต่ความรู้สึกเพียงพริบตาก็แทบทําเอาพวกเขาวิกฤตกันได้แล้ว
“อึก!”
ท้ายที่สุดแยปแซบที่ทนรับความเจ็บปวดต่อไปไม่ไหวจึงคุกเข่าลงข้างหนึ่ง
“อดทนไว้เอก ถ้าพวกเราไม่ยืนหยัด…. อาร์คและโลกใต้พิภพก็จบสิ้น!”
“รู้น่า!”
แยปแซบกัดฟันแน่นขณะพยายามชันเข่าลุกขึ้นด้วยอาการสั่นเทิ้ม จากนั้นเขาเริ่มลากสังขารร่างตัวเองเข้าไปคว้าที่ข้อเท้าของนาคจักคนหนึ่ง
“ไอ้พวกบ้านี่!”
เผ่านาคูจักเป็นกลุ่มเริ่มฟาดแทงเข้าใส่ร่างของแยปแซบ
แม้ทุกครั้งแยปแซบจะกรีดร้องออกมา แต่เขาไม่เคยปล่อยให้ผู้ใดหลุดรอดไป
“ตอนนี้ พวกเราคือผู้พิทักษ์ จงแสดงจิตวิญญาณออกมา!”
“พวกเรา… เพื่อความยุติธรรม… จะยอมแพ้ไม่ได้!”
“โอ้ โอ้ โอ้! แสดงให้พวกมันเห็นพลังของพวกเรา!”
จักตูเดินโซเซก่อนที่จะคํารามร้องออกเปล่งคําพูดอันเร่าร้อนออกมา แต่เพียงแค่ชั่วครู่เขาก็โดนทุบตีจนความเจ็บปวดแล่นปราดไปทั่วร่าง
“เหอะ อย่าได้กรีดร้อง เพื่อสหายแล้ว จงอย่าได้ล้มลง…”
“ยากจะอดทนนัก… คงต้องร้องเพลงปลอบขวัญ”
“โอ้ อีก… อก… อืม สหายร่วมรบเคียงบ่า…อั่ก… จงมุ่งหน้า มุ่งหน้าไป!”
จักตูจ้องมองเผ่านาคูจักที่ดาหน้ากันเข้ามาด้วยดวงตาอันเกรี้ยวกราดขณะร้องเพลงปลุกขวัญกําลังใจไปด้วย เสียงนั้นยิ่งผ่านไปยิ่งดังคล้ายหนทางนี้สามารถระบายความเจ็บปวดที่ได้รับ กระทั่งเผ่านาคูจักที่อยู่แนวหน้ายังตกตะลึงจนเริ่มถอยกันไปที่ละน้อย
“จะ-เจ้าพวกนี้ ไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็นคนดีถึงเพียงนี้!”
เดดริคที่รับชมเรื่องราวอยู่พลันตัวสั่นเทิ้ม เดดริคไม่อาจมองเหยียดหยันและคิดหัวเราะต่อกลุ่มทัณฑ์บนได้อีกต่อไป ราวกับภาพยนตร์สงครามยุคปี 80 มันทําให้ค้างคาวตัวหนึ่งถึงกับรู้สึกบีบรัดหัวใจ
“บ้าฉิบ! เจ้าพวกนี้ ทําไมถึงมาทําตัวเท่เอาป่านนี้กัน?”
“เฮ้ เกิดอะไรขึ้น? ทําไมโหมดสอดแนมทํางานไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลยล่ะ?”
ขณะนั้นเอง เดดริคได้ยินเสียงอาร์คดังขึ้นมา
“งี่เง่าน่าขอรับ! ตอนนี้ไม่ใช่เวลาเสียหน่อย เจ้านายไม่รู้หรือว่าพวกจักตูสกัดกั้นศัตรูอย่างอาจหาญแค่ไหนกัน? ฮึก ข้า… ข้ามองไม่เห็นเลยเพราะน้ำตา…”
“หนวกหูน่า ถ้าพวกเราตายที่นี่ไม่คิดเหรอว่าที่พวกพี่ชายเสียสละไปจะกลายเป็นเปล่าประโยชน์นะ? ถ้าไม่อยากตายก็ทํางานให้ดีเดี๋ยวนี้”
“เชอะ เจ้านายไม่ใช่คนที่โดนฉีกกระชากจนเลือดตกยางออกนี่”
เดดริคถูไถดวงตาไปมาเพื่อเช็ดน้ำตา จากนั้นจึงหันกลับไปมองจักตูที่ยังคงร้องเพลงปลุกใจอยู่ก่อนจะทําความเคารพให้
“พวกเจ้าคือทหารหาญแท้จริง!”
บทเพลงของพวกเขาทําให้บรรยากาศชวนซาบซึ้ง แต่แล้วแก้วหูของเดดริคกลับต้องสั่นเทิ้มอีกครั้งเพราะอาร์คตะโกน
“อยากตายจริง ๆ ใช่ไหม? ทําไมยังไม่บินไปอีก?”
“ขอรับ เข้าใจแล้วขอรับ! มีหน่วยพลธนูกําลังเข้าไปใกล้ทางสามนาฬิกา!”
เดดริคหันมองจักดูอีกครั้งก่อนที่จะบินมุ่งหน้าจากไป ด้วยเหตุนี้กลุ่มของอาร์คที่รอดพ้นไปได้จึงสามารถได้รับความช่วยเหลือจากโหมดสอดแนมของเดดริคให้หลบเลี่ยงจากศัตรูอีกครั้ง