Ark ตอนที่ 391 : ปราสาทแวมไพร์
อัลเบิร์ตหันมองไปทางปาชั่วครู่ก่อนจะเริ่มเอ่ยต่อ
“เจ้าไม่น่าทราบเรื่องนี้ แต่เมื่อนานมาแล้วพื้นที่แถบนี้เคย เกิดเหตุการณ์ครั้งใหญ่ ท้องฟ้าและผืนดินได้ถูกแบ่งแยก เปลวเพลิงได้ลุกโชนทั่วทั้งโลก”
มันน่าจะเป็นเหตุการณ์ที่ซอแทนดาลแยกตัวออกจากโลกกลางและจมหายเข้าในพายุมิติ
“ในตอนนั้นผู้คนต่างไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่แล้วท่านลอร์ดแห่งแวมไพร์ก็ได้นําเผ่าพันธุ์ของพวกท่านมาที่นี่ ท่านได้ใช้เวทมนตร์อันทรงพลังเพื่อตั้งการคุ้มกันรอบพื้นที่แถบนี้ พวกเรายังรอดชีวิตอยู่ได้เพราะเหตุการณ์ครั้งนั้น นอกจากนี้ ท่านลอร์ดยังกวาดล้างพวกมอนสเตอร์ในพื้นที่นี้ออกไปจนหมดสิ้น เพราะแบบนั้นแล้วป่าแห่งนี้จึงเงียบสงบไม่มีภัยอันตรายต่อชีวิตพวกเรา พวกเราต่างใช้ชีวิตโดยไร้ซึ่งความหวาดกลัวมานานยิ่งจนเริ่มขลาดเขลากันแทนที่ไปแล้ว หากพบเห็นสิ่งที่แตกต่าง”
อัลเบิร์ตยิ้มให้ขณะชี้เข้าไปในหมู่บ้าน เมื่ออาร์คหันกลับไปมอง ชาวบ้านที่กําลังแอบมองผ่านหน้าต่างก็พลันต้องซ่อนตัวกันอีกครั้งหนึ่ง อย่างไรแล้วสิ่งที่อัลเบิร์ตอธิบายก็พอเข้าใจได้ ตามที่เล่าคือแวมไพร์ในจินตนาการกับที่ปรากฏกายที่นี่แทบไม่เหมือนกันสักนิด อีกฝ่ายไม่ใช่แวมไพร์ที่คิดแต่จะดูดเลือดของเป้าหมาย แต่เป็นผู้ที่คิดถึงชีวิตของเอ็นพีซีทั่วไป ที่สถานที่แห่งนี้อยู่รอดมาได้ต้องขอบคุณพลังเวทอันทรงพลังอํานาจของลอร์ดแห่งแวมไพร์ ประชากรของที่นี่กระทั่งไม่ทราบว่าซอแทนดาลกลับคืนสู่โลกกลางแล้ว
“โอ้? ภายนอกเกิดเรื่องเช่นนั้น? แต่นั่นก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเราอยู่ดี ที่แห่งนี้ไม่ต่างกับสรวงสวรรค์ ไม่มีภัยร้ายจากมอนสเตอร์อีกทั้งยังไม่ขาดแคลนทรัพยากร พวกเราพอใจมากแล้วที่ได้อาศัยอยู่ที่นี่”
รอบด้านปาแห่งนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยผลไม้นานาชนิด ตามคํากล่าวของอัลเบิร์ตภายในปาลึกก็มีสัตว์ป่าอยู่จํานวนไม่น้อยเช่นกัน
“อา… พื้นที่แถบนี้นับว่าน่าตกตะลึงจริงๆนั่นแหละ ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคนยอมใช้ชีวิตอาศัยอยู่เคียงข้างแวมไพร์
อย่างไรแล้ว นี่ก็ไม่ใช่ข่าวที่เลวร้ายสําหรับอาร์คแต่อย่างใด หากแวมไพร์เป็นสุภาพชน เช่นนั้นแล้วการตามหาเดดริคคงไม่มีปัญหาอะไร น่าจะรวมถึงส่วนสุดท้ายของสามสิ่งมหัศจรรย์ด้วย
“ว่าแต่ ทําไมคนต่างถิ่นเช่นเจ้าถึงมาเยือนที่แห่งนี้? ทั้งยังเข้าใจแวมไพร์ผิดอีกต่างหาก เพราะอะไรถึงมาที่นี่กันล่ะ?”
นับว่าอัลเบิร์ตถามได้ตรงจุดยิ่งนัก
“ที่จริงแล้วผมมาหาอะไรบางอย่างนะครับ”
“ข้าอาจจะช่วยได้นะ”
“ที่ผมหาอยู่ก็คือ… ไม่สิ ผมกําลังหาคนสองคน หนึ่งคือแวมไพร์ที่ชื่อเดดริค เป็นชนชั้นสูงคนหนึ่ง”
“โอ้ เดดริคนี่เอง ข้ารู้จักอยู่ เป็นแวมไพร์ที่อาศัยอยู่ใกล้เคียงแถบนี้”
“จริงเหรอครับ?”
“ใช่แล้ว ข้านําทางเจ้าไปที่พํานักเขาได้”
“รบกวนด้วยครับ”
“แน่นอน แล้วอีกอย่างล่ะ?”
“พวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์สัตว์อสูร เคยเห็นสัตว์อสูรในพื้นที่แถบนี้มาก่อนหรือเปล่าครับ?”
อัลเบิร์ตขมวดคิ้วกับคําถามของอาร์ค ผ่านไปสักพักหนึ่ง เขาค่อยส่ายศีรษะตอบรับ
“ต้องขออภัย แต่ข้าไม่คล้ายจําได้เลยว่ามีสัตว์อสูรอยู่ในละแวกนี้ ต้องขออภัยนะ แต่ขอถามหน่อยว่าทําไมเจ้าถึงตามหาเผ่าพันธุ์สัตว์อสูรหรือ?”
“มีเรื่องนิดหน่อยนะครับ… ผมต้องขออภัยที่ไม่อาจบอกได้”
สามสิ่งมหัศจรรย์ก็นับเป็นสมบัติของเอ็นพีซี เขาจะบอกข้อมูลเช่นนี้ออกไปโดยง่ายได้อย่างไร? อาร์คปฏิเสธไป อัลเบิร์ตก็เลือกที่จะโบกไม้โบกมือให้
“ไม่เป็นไรๆ ข้าก็แค่สงสัยเล็กน้อยนะ… เอาเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปหาเดดริคก่อนแล้วกัน จริงด้วย ก่อนหน้านั้น หรือว่าเจ้าได้ยินข่าวลืออะไรก็เลยมาเพื่อสังหารแวมไพร์หรือเปล่า…”
“ไม่ใช่แน่นอนครับ เดดริคย่อมต้องยินดีอย่างแน่นอนถ้าได้เจอผมอีกครั้ง”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าก็แค่พูดไป ถ้าเจ้ามาสังหารแวมไพร์จริงก็คงไม่มีทางผ่านเสาผนึกพลังมาได้แหละนะ เอาล่ะ ตามข้ามา ไว้เสร็จธุระของเจ้าที่นี่แล้วอย่าลืมมาพูดคุยเรื่องโลกภายนอกให้ข้าฟังด้วยล่ะ”
อัลเบิร์ตหัวเราะไปพลางขณะเริ่มออกเดินอีกครั้ง สถานที่แห่งนี้สมแล้วที่เป็นบ้านของแวมไพร์ซึ่งมีธาตุความมืด หากต้องต่อสู้ก็จําเป็นต้องใช้นักบวชที่สังกัดธาตุแสงเข้าปะทะ เพราะเสาโลหิตมีดผนึกทักษะแสงสว่างทั้งหมดเอาไว้จึงยากทําความเสียหายให้พวกนั้นได้ หรือก็คือศัตรูโดยธรรมชาติของแวมไพร์ไม่อาจเข้ามาที่นี่
“ลอร์ดแห่งแวมไพร์ที่นี่แข็งแกร่งขนาดไหนกันถึงสร้างเสาผนึกพลังแบบนั้นขึ้นมาได้?”
ทว่าแม้เป็นอัลเบิร์ตที่อยู่อาศัยที่นี่ก็ยังไม่เคยพบเจอลอร์ดแห่งแวมไพร์ แวมไพร์ที่อาศัยอยู่แถวนี้ล้วนมีลําดับชั้นกันทั้งสั้น ลอร์ดแห่งแวมไพร์ย่อมต้องอาศัยในปราสาทซึ่งเป็นศูนย์กลางของพื้นที่แถบนี้และไม่เคยออกไปไหน ดังนั้นแล้วคงมีเพียงแค่แวมไพร์ระดับสูงเท่านั้นที่จะอนุญาตให้เข้าพบ แน่นอนว่าเดดริคก็น่าจะเป็นพวกอาศัยอยู่รอบนอกเช่นเดียวกัน
“อาร์คนิม ไม่คิดว่ามันแปลกไปหน่อยเหรอครับ?”
บุคชิลเข้ามากระซิบข้างหูระหว่างที่เดินผ่านป่า อาร์คส่งสายตาสงสัยกลับมาถาม
“อะไรล่ะ?”
“ก็รู้นี่ครับ แวมไพร์กับมนุษย์อาศัยร่วมกันได้อย่างสงบสุข… ชัดเจนเลยว่าคนพวกนี้ต้องโดนพวกแวมไพร์ควบคุมอ
“ก็บอกให้ใจเย็นก่อนไง ดูที่คอของหมอนั่น เห็นรอยกัดหรือเปล่าล่ะ?”
อาร์คชี้ไปยังคอของอัลเบิร์ตแล้วถามออก แน่นอนว่าอาร์คพิจารณาถี่ถ้วนแล้ว แต่ไม่ว่าจะมองยังไงก็ไม่มีรอยกัดแม้สักเล็กน้อย อาร์คแท้จริงไม่ได้กลัวแวมไพร์อะไรมากมายอย่างบุคซิล ไม่ใช่ว่าสมุนปีศาจของเขาก็เป็นแวมไพร์เหมือนกันหรือยังไง? หลังมาคิดเรื่องเดดริคแล้ว เขาก็สงสัยอยู่พอสมควรว่าแวมไพร์ในนิวเวิลด์จะน่ากลัวอย่างไร แวมไพร์ย่อมต้องดูดเลือด แต่ใครจะทราบกันว่ามีความสามารถควบคุมผู้คนได้ด้วยหรือเปล่า? แต่ถ้าจะมีทักษะแบบนั้นคงอยู่ เขาก็สงสัยว่าแวมไพร์จะสามารถใช้มันกับคนหมู่มากได้ถึงขนาดนี้เลยหรือ
“ถ้าเรื่องไปได้ไม่สวยค่อยว่ากันแล้วกัน”
“ที่นั่นคือปราสาทของเดดริคครับ”
หลังเดินมาได้กว่าครึ่งชั่วโมง อัลเบิร์ตก็ชี้ไปยังหอคอย ปราสาทแห่งหนึ่งที่อยู่ท่ามกลางแมกไม้บนยอดผา
“นะ-นั่นปราสาทของเดดริคงั้นเหรอ?”
อาร์คและบุคซิลอ้าปากตาค้าง ปราสาทตรงหน้านี้จัดตั้งไว้บนหน้าผาอย่างสวยสดงดงาม มันคล้ายปราสาทโบราณที่ปรากฏในภาพโฆษณาชวนท่องเที่ยวประเทศฝรั่งเศสหรือไม่ก็อังกฤษ ด้วยความมืดขมุกขมัวที่มีอยู่แล้วจึงช่วยเสริมบรรยากาศให้สมกับเป็นปราสาทแวมไพร์มากขึ้น ทว่าอาร์คกลับมีความโกรธพวยพุ่งแทบจะทันทีที่เห็นปราสาทตรงหน้า (0)
อะไรกัน ไอ้เจ้าเดดริค มันรวยขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย?”
หลังจากคิดให้ถี่ถ้วนขึ้น ก็นับว่าไม่แปลกอะไรนัก อย่างไรแล้วเดดริคก็เป็นชนชั้นสูง นอกจากนี้ยังได้สืบทอดมรดกทั้งหมดของดันพิลหลังวิวัฒนาการขึ้นมาได้ ตามสิ่งที่ควรมีให้สมฐานะชนชั้นสูงก็ต้องประมาณนี้
“บ้าบอคอแตก สมุนปีศาจเรามีปราสาทแสนวิเศษขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย?”
“เป็นอะไรไปหรือเปล่าครับ?”
อัลเบิร์ตเอ่ยถามหลังเห็นอาร์คเผยสีหน้า
“อา ไม่มีอะไรครับ”
“งั้นได้โปรดตามมาอย่างระมัดระวังด้วยครับ จากตรงนี้ ทางค่อนข้างลาดชัน”
มีบันไดที่ทําจากหินเลื้อยไปตามหน้าผาสูงขึ้นจนถึงปราสาทดังกล่าว หลังบากบั่นเดินขึ้นบันไดหินมาได้ ทหารยามที่เฝ้าระวังตรงประตูหน้าก็ปรากฏ เป็นปกติที่ปราสาทเช่นนี้ จะต้องมีทหารยามเฝ้ารักษาการณ์ ทว่ามันยิ่งทําให้อาร์ครู้สึกคล้ายโดนตบหน้ามากขึ้น
“อะไรกัน? หมอนี่มีทหารยามส่วนตัวด้วย? เหอะ…”
“รอสักครู่นะครับ”
อัลเบิร์ตพูดคุยกับทหารยามชั่วครู่หนึ่งก่อนจะเดินกลับมา
“ทหารยามได้ตรวจสอบชื่อของเจ้ากับท่านลอร์ดแห่งปราสาทแล้ว พวกเขาบอกว่าเจ้าสามารถเข้าไปได้ พวกทหารยามจะนําพาไปเอง เช่นนั้นข้าขอตัว…”
“เชิญครับ”
ทหารยามเดินเข้ามาใกล้อาร์คหลังอัลเบิร์ตเดินจากไป อาร์คและบุคซิลยิ่งเบิกตากว้างมากขึ้นตั้งแต่เข้ามาในปราสาท ภายนอกว่าเหลือเชื่อแล้ว ภายในกลับเหลือเชื่อยิ่งกว่า ทุกอย่างภายในล้วนเหมาะสมที่จะเป็นปราสาทของผู้สูงศักดิ์ในยุคกลาง ทั่วทั้งตลอดแนวผนังจะมีผลงานศิลปะประดับเอาไว้ พร้อมทั้งทหารจํานวนหนึ่งและข้ารับใช้ที่เดินไปมา ข้ารับใช้บางคนกระทั่งสวมใส่คล้ายชุดเมด แน่นอนว่าหญิงสาวรับใช้ก็จะมีสภาพคล้ายผู้คนในหมู่บ้าน จึงไม่ค่อยน่ารื่นรมย์สักเท่าใดนัก อย่างไรแล้วมันก็ยิ่งทําให้อารมณ์ขุ่นมัวของเขาดํามืดมากยิ่งขึ้นอยู่ภายใน
“บ้าบอ เจ้านายของมันต้องผ่านความยากลําบากมากมายเพื่อมีชีวิตรอด แต่พอมันตายทุกครั้งกลับได้มาใช้ชีวิตหรูหราสบายเช่นนี้? เหอะเหอะ ไม่แปลกใจเลยว่าทําไมถึงอยากกลับมาบ้านนัก เดี๋ยวเราได้เจอกันแน่ หลังลงทะเบียนพอร์ตอัญเชิญเรียบร้อยแล้วจะใช้งานให้หนัก!”
อาร์คเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน กระทั่งบันไดนี่ยังสูงเทียบเท่าตึกสิบชั้น ไม่ช้าอาร์คก็มาถึงตรงหน้าประตูที่มีรูปค้างคาวสลักเอาไว้อย่างงดงาม
“เข้ามา” ประตูบานใหญ่พลันเปิดออก ห้องที่เดดริคอาศัยอยู่จึงปรากฏแก่สายตา แม้เขาจะทราบว่าสมุนปีศาจอาศัยอยู่ที่นี่ แต่ห้องนี้มันหรูหราเกินไปจนทําให้อาร์คต้องลังเลที่จะเหยียบย่าง อีกด้านหนึ่งของห้อง เงาร่างหนึ่งกําลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ขนาดใหญ่โดยหันเพียงด้านหลังให้อาร์คเห็น
“ท่านลอร์ด พวกเราพาเขามาแล้วขอรับ”
“ลอร์ด? งั้นเดดริคก็นั่งอยู่ที่นั่น? ไอ้หมอนั่นเนี่ยนะ? ได้ยินชื่อเราแล้วยังจะมาวางท่าแบบนี้อีกเนี่ยนะ? ไม่ใช่ว่าหมา แม้อยู่ในบ้านมันยังรู้จักสํานึกบุญคุณเจ้านายหรือยังไง? แค่ไม่เจอกันหลายวันถึงกับใจกล้าถึงขนาดนั้นแล้วก็ดี เราจะได้เห็นดีกัน หลังจากนี้จะไม่มีคําว่าปราณี!
“เฮ้ย แกนะ! แก…”
อาร์คตะโกนเข้าไปก่อนที่จะต้องชะงักปากเงียบเสียง เก้าอี้นั้นค่อยๆหันกลับมาพร้อมเผยร่างของลอร์ดแห่งปราสาทให้ได้เห็น เป็นเด็กหนุ่มที่เส้นผมถูกจัดไว้อย่างเรียบร้อยตามสไตล์ผู้สูงศักดิ์ อีกฝ่ายจ้องมองอาร์คพร้อมเม้มริมฝีปาก เขี้ยวที่แหลมคมค่อยเผยขึ้น นั่นทําให้เขาได้ทราบว่าอีกฝ่ายเป็นแวมไพร์ ปัญหาคือคนตรงหน้าไม่ใช่เดดริค
“ยินดีต้อนรับสู่ปราสาทของข้า คนต่างถิ่น”
“นายเป็นใครกันเนี่ย?”
“ข้าคือเอิร์ลแห่งเผ่าพันธุ์แวมไพร์ คารากุล จะเรียกข้าว่าท่านเอิร์ลก็ได้นะ”
เขี้ยวของคาราคุลแง้มออกอย่างภาคภูมิพร้อมเสียงหัวเระ
“เอิร์ลคาราคุล? ละ-แล้วเดดริคล่ะ?”
“เดดริค? เหมือนเคยได้ยินชื่อนี้ที่ไหนสักที่ แต่จําไม่ได้แล้วด้วยสิ”
“ไม่ใช่? แต่ที่นี่เป็นบ้านของเดดริคไม่ใช่หรือไง?”
ฉับพลันนั้นเอง คาราศุลจึงระเบิดเสียงหัวเราะออกดังลั่น
“ฮ่าฮ่าฮ่า สติปัญญาของมนุษย์ยังคงต่ําต้อยยิ่งกว่าสัตว์ชั้นต่ําไม่เคยเปลี่ยนแม้จะผ่านมานับร้อยปี เขลาอย่างไรก็เขลาอยู่เช่นนั้น เจ้านั้นหลอกง่ายยิ่งนักจึงต้องเผชิญหน้ากับเรื่องราวแบบนี้”
“ว่าอะไรนะ?”
“นี่เจ้ายังไม่เข้าใจ? เจ้าไม่ได้บังเอิญมาที่ปราสาทของข้าโดยความผิดพลาด หึหึหึ มันคือโชคชะตา ข้าโชคดีเสียจริงในตอนที่สํารวจพื้นที่แล้วเจอเจ้าเข้า ข้ามองดูเจ้าตั้งแต่เหยียบย่างเข้าสู่อาณาเขตของข้าด้วยตาคู่นี้มาตลอด”
และถึงตอนนั้นเอง อะไรบางอย่างพลันลอยขึ้นจากทางด้านหลังของบุคซิล สิ่งนั้นชวนแตกตื่นยิ่ง มันคือลูกตา! เมื่อลูกตาดวงนั้นปรากฏขึ้นจากหลังคอ บุคซิลถึงกับกรีดร้องลงไปกลิ้งกับพื้น ระหว่างนั้นลูกตาดวงนั้นก็ลอยกลับ ไปหาคาราคุล คาราคุลคว้าลูกตานั้นเอาไว้ก่อนจะยัดมันกลับคืนสู่เบ้าตาด้านซ้ายของตนแล้วจึงหัวเราะออก
“เป็นหมูที่น่ารําคาญนัก ช่างเถอะ เดี๋ยวอีกสักพักก็จะไม่มีเสียงแล้ว”
“อะไรกันนะ? ดวงตานั่นคือ? งั้นความรู้สึกไม่สบายใจที่รู้สึกในป่านั่น?”
ในที่สุดอาร์คก็เข้าใจ ว่าอะไรคือต้นตอของความรู้สึกไม่สบายใจภายในป่า มันเป็นดวงตาที่สามารถลอยไปไหนมาไหนได้ เพราะแบบนั้นราดันจึงไม่อาจตรวจพบร่อง รอยบนพื้นได้ อีกทั้งยังซ่อนอยู่ด้านหลังคอของบุคซิลภายในเส้นผม ไม่มีทางเลยที่เขาจะรับรู้ถึงการคงอยู่ของมัน
“จะบอกว่าแวมไพร์ตัวนี้เฝ้ามองเราอยู่ตั้งแต่ที่ชายหาดแล้วล่อลวงเรามาที่นี่? แต่ทําไมกันล่ะ?”
คาราคลพลันหัวเราะออกขณะอาร์คพยายามถอยเท้าไปหลายก้าว
“เหอะ มนุษย์ที่แสนโง่เขลาคล้ายเข้าใจเรื่องราวขึ้นมาบ้างแล้ว”
“นี่แกตั้งใจจะทําอะไรกันแน่? ทําไมถึงได้?”
“สมองน้อยนิดเช่นไรก็เป็นเช่นนั้น มนุษย์ตนแรกที่ข้าพบเจอหลังผ่านกาลเวลาหลายร้อยปียังคงโง่เขลาไม่เปลี่ยนแปลง ข้าหวังว่าจะไม่โง่ตามไปด้วยหลังดูดเลือดไปแล้ว”
“ดูดเลือด?”
“ต่ําตม! โง่เขลา! ขนาดนี้แล้วเจ้ายังไม่เข้าใจเรื่องราว? น่าสมเพชอะไรเช่นนี้? คิดว่าข้าจะลากพวกแกมาพล่ามไร้สาระด้วยอย่างนั้นเรอะ?”