ข่งหลิงนำกระบี่แสงราตรีออกจากยอดเขาเทียมฟ้าอย่างเคารพนบนอบ
‘ไม่เจอกันเกือบสิบปี ศิษย์พี่อวิ๋นเปลี่ยนเป็นน่ากลัวยิ่งขึ้นแล้ว…’ ข่งหลิงจิตใจเลื่อนลอย ยังคงลืมภาพชั่วขณะที่สบตากับอวิ๋นชิ่งไป๋เมื่อครู่ไม่ลง
กระทั่งตอนนี้ ความเครียดดเกร็งที่ไม่อาจสลัดทิ้งไปจากใจยังรัดพันอยู่ในจิตใจของนาง!
สิบปีก่อน นางยังเป็นเพียงศิษย์สืบทอดแท้จริงผู้หนึ่งของสำนักกระบี่เทียมฟ้า
ส่วนอวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนั้น สังหารราชันกึ่งระดับในดินแดนรกร้างโบราณไปมากกว่าร้อยคน พาให้ใต้หล้าตื่นตระหนก มองเขาเป็นบุคคลอันดับหนึ่งใต้ระดับราชันไปแล้ว
อวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนั้นสามารถทำให้ไม่ว่าผู้ใดก็เคารพยำเกรง ประหนึ่งภูเขาเทพที่สูงจนไม่อาจป่ายปีนลูกหนึ่ง ไม่มีทางถูกสั่นคลอนได้
วันนี้ในสิบปีต่อมา ข่งหลิงอาศัยพรสวรรค์พิเศษของเผ่านกยูงห้าสี เติบโตขึ้นเป็นศิษย์แกนหลักของสำนักกระบี่เทียมฟ้า ชื่อเสียงสะท้านเหล่าผู้แข็งแกร่งระดับเดียวกันในรุ่นเยาว์ของแดนชัยบูรพา
ตอนนี้ นางยังถูกจัดอันดับอยู่ใน ‘ยอดมกุฎรุ่นเยาว์’ ด้วย!
เดิมข่งหลิงคิดว่าตนสามารถเข้าใกล้อวิ๋นชิ่งไป๋มากขึ้นได้บ้าง
แต่การพบกันในวันนี้กลับทำให้นางได้สติโดยสมบูรณ์ สิบปีมานี้ตนอาจจะแข็งแกร่งขึ้น แต่ศิษย์พี่อวิ๋นก็ไม่ใช่ศิษย์พี่อวิ๋นเมื่อสิบปีก่อนมานานแล้วเช่นกัน!
‘เพียงแค่แววตาเท่านั้น ก็ทำให้ข้าหวาดหวั่นและกระวนกระวาย หากลงมือเกรงว่าข้าจะไม่มีกำลังตั้งกระบวนท่าด้วยซ้ำ…’ ข่งหลิงทอดถอนใจในใจ
อยู่ในระดับพลังปราณเดียวกันกับเขาต้องเป็นโชคร้ายอย่างหนึ่งโดยไม่ต้องสงสัย
ภายใต้รัศมีของเขา คนร่วมระดับที่ไม่ว่าจะโดดเด่นสะดุดตาเพียงใด เกรงว่าต่างต้องหม่นหมองจืดชืด
ดุจดังไข่มุกเท่าเมล็ดข้าว จะแข่งรัศมีกับสุริยันจันทราได้อย่างไร
‘แม้พลังปราณของศิษย์พี่อวิ๋นจะไม่ได้บรรลุอีกในช่วงที่ปิดด่านหลายปีมานี้ แต่การตกตะกอนและสั่งสมนานปีนี้ทำให้เขามีรากฐานพลังแข็งแกร่ง สามารถผงาดเหนือผู้กล้าในปัจจุบันได้อย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว ยามมหายุคมาเยือน ศิษย์พี่อวิ๋นออกจากด่าน ทั้งดินแดนรกร้างโบราณแห่งนี้… คงสั่นสะท้านเพราะเขากระมัง’
ข่งหลิงทอดถอนใจในใจ
ทันใดนั้นนางก็เก็บความรู้สึกนึกคิด แววตางดงามกระจ่างราวเพชรใส
‘แม้ศิษย์พี่อวิ๋นไม่สนใจเรื่องสถิติของตนเมื่อสิบปีก่อนถูกผู้อื่นทำลายลง แต่ข้าก็อยากไปดูเสียหน่อยว่านี่เป็นเรื่องที่อริยเทพที่ไหนทำกันแน่…’
ข่งหลิงรู้ถึงความอัศจรรย์ของสิบสองหอเป็นอย่างดี ทั้งรู้ดีว่าหมายจะทำลายสถิติในตอนนั้นของอวิ๋นชิ่งไป๋เป็นเรื่องยากลำบากและไม่น่าเชื่อปานใด
แต่ตอนนี้ ทุกอย่างนี้กลับเปลี่ยนไปแล้ว!
นี่ทำให้ข่งหลิงเหมือนเห็นตำนานที่ตนชื่นชมยกย่องเรื่องหนึ่งถูกทำลาย ในใจจึงไม่อาจยอมรับได้
สวบ!
ไม่นานนักนางก็แปลงร่างเป็นนกยูงที่มีปีกงามเด่นสะดุดตา พุ่งทะลุเมฆาออกไปจากสำนักกระบี่เทียมฟ้า เคลื่อนตัวไปยังเมืองนภาม่วง
……
เมืองแสงเขียว หอสำแดงมรรค
ต้นหญ้าขึ้นเต็ม ตะไคร่เขียวขึ้นเป็นลายพร้อย
หนึ่งในสิบสองหอแห่งนี้กลับมีทัศนียภาพเงียบเหงาไร้ร่องรอยมนุษย์
หลินสวินอึ้งไป “ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้”
เซียวชิงเหอเอ่ยทอดถอนใจ “ปกตินัก หอนี้ตั้งแต่ถูกสถิติที่อวิ๋นชิ่งไป๋สร้างขึ้นเมื่อสิบปีก่อนยึดครอง ก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นรกร้างแล้ว”
ตามคำพูดของเขา มีเพียงผู้ที่ทำลายสถิติสูงสุดของหอสำแดงมรรคแห่งนี้เท่านั้น ถึงมีโอกาสได้วาสนาที่ซ่อนอยู่ในหอนี้ไปครอง
สิบปีก่อนอวิ๋นชิ่งไป๋เหยียบเข้ามาในหอสำแดงมรรคแห่งนี้ แล้วขึ้นไปถึงจุดสูงสุดได้ในครั้งเดียว
ความสูงของสถิติที่เขาสร้างไว้ย่อมเรียกได้ว่ายากพบเห็นในอดีต ทำให้ผู้ที่มาทีหลังคว้าน้ำเหลวกลับไป ไม่ได้อะไรติดมือเลย
มิหนำซ้ำเพื่อเข้าไปในหอสำแดงมรรค จะต้องจ่ายแกนวิญญาณขั้นสูงถึงห้าหมื่นก้อนเต็มๆ ผู้ฝึกปราณส่วนใหญ่บนโลกเห็นสถานการณ์เช่นนี้ต่างถอยกลับไป
“สำหรับผู้ฝึกปราณที่ระดับต่ำกว่าระดับราชันแล้ว สถิติที่อวิ๋นชิ่งไป๋สร้างไว้ที่หอสำแดงมรรคก็เหมือนมหาบรรพตที่ไม่อาจสั่นคลอนได้ลูกหนึ่ง อีกทั้งจะขึ้นหอก็ต้องเสียแกนวิญญาณก้อนยักษ์ ใครจะกล้ามาฝ่าด่านกัน”
เซียวชิงเหอสีหน้าซับซ้อน
หอสำแดงมรรคยิ่งรกร้างและเงียบเหงา ก็ยิ่งขับเน้นว่าอวิ๋นชิ่งไป๋เมื่อสิบปีกก่อนไม่ธรรมดาปานไหน กำราบจนผู้ฝึกปราณต่างไม่กล้ามาท้าทาย เรียกได้ว่าพลานุภาพราวดวงระวี ส่องสว่างเหนือเวิ้งฟ้าเพียงดวงเดียว!
“แกนวิญญาณขั้นสูงห้าหมื่นชิ้น”
มุมปากหลินสวินก็กระตุกขึ้นอย่างยากสังเกต
เพียงแค่ขึ้นหอก็ต้องจ่ายแกนวิญญาณก้อนใหญ่ยักษ์เช่นนี้ อย่าว่าแต่ผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติทั่วไปเลย เกรงว่าต่อให้เป็นผู้สืบทอดของสำนักโบราณก็รู้สึกเปลืองแรงและเข้าเนื้อกันทั้งสิ้น
“แน่นอนว่าถ้าหากสามารถทำลายสถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋ได้ เช่นนั้นคุณประโยชน์ก็มหาศาล ลือกันว่าบนชั้นบนสุดของหอสำแดงมรรคนั่นมีเบาะรองนั่งมหามรรคในระดับต่างๆ กันเก้าแบบ”
“เบาะรองนั่งมหามรรคทุกแบบ ต่างสามารถช่วยเหลือและยกระดับการบำเพ็ญมหามรรคของผู้ฝึกปราณไม่มากก็น้อย”
ดวงตาเซียวชิงเหอเจือแววประหลาด “ในอดีต ที่หอสำแดงมรรคแห่งนี้เคยมีเบาะรองนั่งมหามรรคแบบต่างๆ เช่นสีดำ สีขาว สีเหลือง สีชาด… กระทั่งอวิ๋นชิ่งไป๋เมื่อสิบปีก่อนขึ้นหอไป ก็ปรากฏเบาะรองนั่งมหามรรคสีม่วงเพียงครั้งเดียวเท่านั้น”
“ตามการคาดเดา เบาะรองนั่งมหามรรคสีม่วงนี้เป็นเบาะรองนั่งที่มีคุณภาพดีที่สุด นั่งสมาธิบนนั้นสามารถทำให้พลังมหามรรคของผู้ฝึกปราณแปรสภาพ!”
หลินสวินก็รู้ข้อมูลเหล่านี้มาก่อน แต่รู้เพียงคร่าวๆ และตอนนี้พอได้ยินคำพูดของเซียวชิงเหอทำให้ใจเขาสั่นสะท้านแรงกล้า
ทำให้พลังปราณมหามรรคแปรสภาพ!
นี่ต้องเป็นสิ่งล่อใจที่ไม่ว่าผู้ฝึกปราณคนไหนต่างไม่อาจปฏิเสธได้
มหามรรคยาก บำเพ็ญมรรคยิ่งยากกว่า โดยเฉพาะพลังหยั่งรู้มหามรรคยิ่งยากเสียยิ่งกว่ายาก!
ด้วยการหยั่งรู้และรากฐานพลังของหลินสวิน ตอนนี้ก็ทำได้เพียงบรรลุระดับแก่นมรรคของมหามรรคแห่งธาตุน้ำและไฟ
ส่วนการควบคุมมรรคดับดารากลืนกิน ยังเพิ่งถึงระดับท่วงทำนองแห่งมรรค ห่างจากระดับเจตจำนงแห่งมรรคอีกไม่น้อย ระดับแก่นมรรคยิ่งไม่ต้องพูดถึง
แต่วาสนาที่ซ่อนอยู่ในหอสำแดงมรรคแห่งนี้กลับสามารถทำให้พลังปราณมหามรรคของผู้ฝึกปราณแปรสภาพได้ นี่ย่อมดูเหลือเชื่อนักอย่างไม่ต้องสงสัย
แน่นอนว่าเรื่องที่ต้องทำให้ได้ก่อนได้วาสนามาครองก็คือ ต้องทำลายสถิติที่อวิ๋นชิ่งไป๋สร้างไว้เมื่อสิบปีที่แล้วให้ได้ก่อน!
ซ่า!
หลินสวินสะบัดแขวนเสื้อหนึ่งครั้ง แกนวิญญาณขั้นสูงก็ไหลเข้าไปในปากรูปปั้นเทพผีซิวหน้าประตูใหญ่หอสำแดงมรรคราวกระแสน้ำ
“เจ้า… คิดจะฝ่าด่านจริงหรือ” เซียวชิงเหอกำลังทอดถอนใจ ทันใดนั้นก็เห็นหลินสวินทำเช่นนี้เข้าจึงพลันตกใจสะดุ้งโหยง
“ข้าไม่ได้เป็นนักเดินทางที่มาทัศนาโบราณสถาน ใคร่ครวญอดีตปัจจุบันสักหน่อย” หลินสวินไม่แม้แต่จะหันหน้ามามอง เงาร่างไหวูบพุ่งเข้าไปในหอสำแดงยุทธ์แล้ว
“ไอ้หมอนี่ไม่วิปลาสก็วิปริต!”
เซียวชิงเหอตื่นตะลึงอ้าปากค้าง เขาออกจะสงสัยว่าหลินสวินมีความแค้นกับอวิ๋นชิ่งไป๋หรือไม่
เมื่อผู้ฝึกปราณคนอื่นได้ยินสถิติและกิตติศัพท์ของอวิ๋นชิ่งไป๋ ก็ต้องรู้สึกกดดันและลังเลบ้างไม่มากก็น้อย แต่เจ้าหมอนี่กลับต่างไป ทุกครั้งล้วนตรงไปตรงมาเฉียบคมเช่นนั้น ไม่มีการไตร่ตรองเลย
ราวกับว่าสำหรับเขาแล้ว การเอาชนะสถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋เดิมทีก็เป็นเรื่องที่เขาควรทำ
“สีม่วงก็เป็นตัวแทนเบาะรองนั่งมหามรรคที่คุณภาพดีที่สุดแล้ว เจ้าหมอนี่คิดจะทำลายสถิตินี้ น่ากลัวว่าจะเหลือเชื่อนัก…” ไม่นานนักเซียวชิงเหอก็ขมวดคิ้ว
เขาไม่ได้ไม่ชื่นชมหลินสวิน แต่ก็รู้ดีว่าสถิติสูงสุดตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันของหอสำแดงมรรคได้ถูกอวิ๋นชิ่งไป๋เอาไปแล้ว คิดจะทำลายก็แทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
นอกเสียจาก…
มีปาฏิหาริย์บังเกิด!
……
เมื่อหลินสวินเดินเข้าไปในหอสำแดงยุทธ ถึงได้พบว่าที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าคือแท่นมรรคลายพร้อยและเก่าแก่แท่นหนึ่ง และบันใดหินแถวหนึ่งเป็นชั้นๆ ขึ้นไป
ขั้นบันไดมีเก้าขั้น ธรรมดาสามัญนัก
เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไป เหนือแท่นมรรคก็เป็นเพียงยกพื้นว่างเปล่าที่มีพื้นที่ไม่กี่จั้ง
แต่เมื่อหลินสวินก้าวขึ้นไปบนขั้นบันไดขั้นแรก ภาพตรงหน้าก็แปรเปลี่ยนในทันใด
ความมืดมิดเข้าปกคลุม มืดสนิท ยื่นมือออกไปไม่เห็นนิ้วมือทั้งห้า ในการรับรู้ของหกรับรู้ก็ไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายใดๆ เงียบสงัดจนพาให้กดดัน
ยืนอยู่ภายในนั้นน่ากลัวเสียยิ่งกว่าดวงตามืดบอด เพราะขนาดการรับรู้ยังไม่อาจจับภาพอื่นได้นอกจากความมืดมิด
“เริ่มสำแดงมรรค!” เสียงคลุมเครือเลื่อนลอยเสียงหนึ่งดังขึ้น
หลินสวินสูดลมหายใจลึก หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก็ยื่นมือขวาออกไป เหนือนิ้วมือพลันปรากฏหยดน้ำใสแวววาวขึ้นหยดหนึ่ง
ต่อมาหยดน้ำก็สั่นเบาๆ แล้วพลันระเบิดออกเป็นฝอยน้ำเล็กละเอียดราวขนโคเส้นแล้วเส้นเล่าดุจสายหมอก
จากนั้นฝอยน้ำแต่ละเส้นก็หมุนวนในจิตใจหลินสวิน แปรสภาพเป็นน้ำใสเส้นหนึ่ง ธารน้อยสายหนึ่ง ทะเลสาบแห่งหนึ่ง แม่น้ำสายยาวสายหนึ่ง…
โครม!
ท่ามกลางความมืดมิด คลื่นน้ำส่งเสียงโครมคราม ลูกคลื่นซัดสาด มหาสมุทรไพศาลแห่งหนึ่งปรากฏขึ้น แสดงให้เห็นพลังเกรียงไกรของมหาสมุทรรวมร้อยนที หมื่นธารากลับสู่ต้นกำเนิด
เหนือเวิ้งฟ้า พายุฝนชโลมลงมาบดบังห้วงอากาศ
ชั่วพริบตา พื้นที่ว่างเปล่ามืดมิดและเงียบเชียบไร้เสียงแห่งนี้ก็กลายเป็นพิภพวารี
กว้างใหญ่ราวมหาสมุทร เล็กดังหยาดพิรุณ ต่างสำแดงลักษณะอันงดงามต่างๆ ของ ‘น้ำ’ ออกมา
เพียงแต่พร้อมๆ กับที่หลินสวินสะบัดแขนเสื้อ ลูกไฟลูกหนึ่งก็ปรากฏขึ้น ในตอนแรกเล็กจิ๋วเหมือนเมล็ดเพลิง จากนั้นก็แปรสภาพเป็นคบเพลิงแผดเผาแรงกล้า และต่อมาก็กลายเป็นธารเพลิงหินหนืด ทะเลเพลิงห้อตะบึง…
กระทั่งต่อมากลางฟ้าดินมีแสงเพลิงกำเริบเสิบสาน เผาไหม้ฟ้าดิน สลายความมืดมิด ให้ความรู้สึกเจิดจ้าเหลือคณา
โครม!
โลกของน้ำและไฟเป็นตัวแทนของพลังแก่นมรรคที่หลินสวินครอบครองสองชนิด และสำแดงออกมาในขณะนี้
สิ่งแรกไพศาลเกรียงไกร หมื่นธารากลับสู่ต้นกำเนิด สิ่งหลังเหิมเกริมโอหัง เจิดจ้าเหลือคณา แสดงให้เห็นภาพงดงามสะท้านใจคน
ตู้ม!
เพียงแต่ทั้งหมดนี้ยังไม่จบลง หลังหลินสวินสำแดงพลังมรรคดับดารากลืนกินออกมาอย่างไม่ออมมือแม้แต่น้อย กลางฟ้าดินราวกับปรากฏเหวใหญ่เหวหนึ่ง เบื้องบนกลืนกินสรวงสวรรค์ เบื้องล่างกลืนกินใต้พิภพ!
ปรากฏการณ์ทั้งหมดเริ่มบิดเบี้ยว สั่นสะเทือน ยุ่งเหยิง… กระทั่งดับสลายกลายเป็นความว่างเปล่าไปพร้อมกัน
โลกแห่งน้ำและไฟได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน ถูกพลังน่าหวาดหวั่นที่ทั้งกลืนกินและดับสลายเช่นนั้นควบคุมชักใย
ชั่วพริบตามหาสมุทรไพศาลก็พัดกระพือหลุมดำวังน้ำวนดุดัน หินหนืดคำรามกลายเป็นพายุเปลวเพลิงม้วนตลบฟ้าดิน…
โดยไม่ทันรู้ตัวกลับมีปรากฏการณ์น่าหวาดหวั่นอย่างวันเสื่อมถอย จะพาให้หมื่นมรรคสูญสิ้นอุบัติขึ้น!
โครม!
และไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร หลังจากหลินสวินสำแดงพลังปราณมหามรรคเสร็จสิ้น ภาพปรากฏการณ์ที่เรียกได้ว่าสะท้านโลกาตรงหน้าแต่ละภาพก็มลายหายไปด้วย
จากนั้นทัศนวิสัยตรงหน้าก็ผันแปรไป ยามเห็นภาพตรงหน้าได้ชัดเจน หลินสวินถึงได้ค้นพบในทันทีว่าตนมาถึงบนแท่นมรรคโบราณลายพร้อยนั่นไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร
สำเร็จแล้วหรือ
หลินสวินออกจะงุนงงไม่เข้าใจ
และในตอนนี้เอง บนแท่นมรรคที่ว่างเปล่าไม่มีสิ่งใดแต่เดิม กลับมีเบาะรองนั่งเก้าใบปรากฏขึ้นมาอย่างต่อเนื่องพร้อมกับเสียงคำรามแปลกประหลาดระลอกหนึ่ง
บ้างมีสีชาดราวเพลิงแผดเผา
บ้างมีสีขาวโพลนราวหิมะ
บ้างมีสีเขียวราวหยก
……
สายตาของหลินสวินกวาดมองแต่ละใบ ในที่สุดก็มาหยุดที่เบาะรองนั่งใบที่เก้า
เบาะรองนั่งนี้มีสีม่วงที่งดงามและศักดิ์สิทธิ์ ดูโดดเด่นผิดธรรมดา
เมื่อเทียบกับเบาะรองนั่งใบนี้ แม้เบาะรองนั่งอีกแปดใบจะต่างมีความอัศจรรย์ แต่รังสีของพวกมันกลับถูกเบาะรองนั่งสีม่วงใบนั้นบดบังไว้
สีหน้าหลินสวินพลันประหลาดไป
——
Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1021 เบาะรองนั่งสีม่วง
Posted by ? Views, Released on September 20, 2021
, Battling Records of the Chosen One
Type: Web Novel Author: Xiao Jinyu, 萧瑾瑜
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…
In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history.
In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing.
Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned.
Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?
Recommended Series
Comment
Facebook Comment