Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1014 ทิ้งชื่อไว้บนแผ่นหยก

แม้ไม่ใส่ใจ แต่สีหน้าเซียวชิงเหอก็จริงจังไม่น้อย
ตั้งแต่ชั้นที่เจ็ดเป็นต้นไป ถึงจะเป็นช่วงเวลาทดสอบพลังของผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติอย่างแท้จริง
ด้วยการสังเกตการณ์ของเขาก่อนหน้านี้ เขาพบว่าแม้หลินสวินเป็นคนแปลกหน้า แต่กลิ่นอายรอบกายกลับไม่ธรรมดานัก ทำให้เขาไม่อาจมองทะลุตื้นลึกหนาบางได้ในปราดเดียว
เช่นเดียวกับเซียวชิงเหอ ผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ก็จับตามองเช่นกัน
ชั้นที่เจ็ด
คลื่นผนึกถาโถมควบรวมเป็นเงาร่างนักรบกระบี่เงาหนึ่ง กลิ่นอายทรงพลังถึงที่สุด น่ากลัวกว่าผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติขั้นสมบูรณ์ทั่วไป
ขั้นสุดยอด!
หลินสวินมองปราดเดียวก็ดูออก ในเวลาเดียวกันนี้เขาไม่ได้หยุดนิ่ง ก้าวเท้าไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง ชือน้ำแข็งสีขาวโพลนตัวหนึ่งก็ชูคอเคลื่อนออกไป
เผียะ!
นักรบกระบี่กระโจนมาได้ครึ่งทาง ร่างก็ถูกชือน้ำแข็งตวัดหางกระแทกอย่างรุนแรง แปรสภาพยเป็นละอองแสงฟุ้งกระจาย
ในขณะเดียวกันเสียงสูดหายใจหนาวเยือกก็ดังขึ้นที่โลกภายนอก
“สวรรค์!”
“ฝ่าผ่านชั้นที่เจ็ดเช่นนี้หรือ รวดเร็วจริง!”
นัยน์ตาเซียวชิงเหอหรี่ลงเล็กน้อย พึมพำว่า “น่าสนใจ…”
ชายชราผู้เฝ้าหอลองกระบี่แห่งนี้ก็อึ้งไป ท่าทีแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นไม่น้อย
ชั้นที่แปด
ตูม!
เงาร่างของนักรบกระบี่ที่กลิ่นอายเรียกได้ว่าเป็นผู้กล้าชั้นยอดเคลื่อนออกมา ความแกร่งกล้าของอานุภาพไม่ด้อยไปกว่าผู้แข็งแกร่งระดับหลี่ชิงฮวน ซาหลิวฉาน ชิงเหลียนเอ๋อร์แล้ว
แต่หลินสวินไม่แม้แต่มอง ยื่นมือขวาออกไป
ซ่า!
ธารดาราเปลวเพลิงสายหนึ่งแผ่ออกมา เกิดเป็นอานุภาพน่าหวาดหวั่นที่สามารถเผาฟ้าทลายดินได้
ระหว่าง ‘ออกเดินทาง’ ช่วงหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ หลินสวินบรรลุ ‘แก่นมรรค’ ของพลังมหามรรคธาตุไฟที่ตนครอบครองอยู่ก่อนแล้ว
และตอนนี้ทันทีที่สำแดงวิชาลับชั้นยอดวิชานี้ ในพริบตาก็เหมือนกำลังหลอมละลายท้องนภาที่แท้จริง ดวงดาราดวงแล้วดวงเล่าแผดเผาระเบิดออกภายในนั้น กลายเป็นปรากฏการณ์ประหลาดน่าตื่นตระหนก
และในชั่วพริบตานั้นเช่นกัน นักรบกระบี่ผู้นี้ก็ถูกเผาวอดวาย
“ตั้งแต่เริ่มจนจบใช้เวลาไปไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วน ก็ไม่รู้ว่าชั้นที่เก้านั่นจะเป็นการทดสอบระดับไหนกัน…” หลินสวินสูดหายใจลึกๆ ครู่ต่อมาเงาร่างก็หายไปจากชั้นที่แปด
ในขณะเดียวกัน โลกภายนอกก็อึกทึกครึกโครมโดยสมบูรณ์แล้ว
“บ้าเอ๊ย! ร้ายกาจนัก เพียงชั่วพริบตาก็ฝ่าด่านไปได้อีกแล้ว!”
มีคนร้องตะโกนเสียงหลง
“หรือเจ้าหมอนั่นก็เป็นบุคคลวิปริตที่เหยียบย่างบนมกุฎมรรคาผู้หนึ่ง”
มีคนพึมพำเสียงสั่นเครือ
ทั้งยังมีคนสีหน้าแปรเปลี่ยนไม่ว่างเว้น ใบหน้าชาร้อน ก่อนหน้านี้พวกเขาดูแคลนนัก เคยสบประมาทและเย้ยหยันหลินสวิน คิดว่าเขาไม่ประเมินพลังตัวเอง ต้องอับอายขายหน้าแน่
แต่ตอนนี้ความจริงกลับพลิกพลันอย่างรวดเร็วยิ่งนัก เหมือนถูกตบปากฉาดใหญ่อย่างไร้เสียง
“คนผู้นี้เป็นใครกัน หรือจะเป็นหนึ่งในสิบยักษ์ใหญ่ขอบเขตมกุฎของแดนชัยบูรพา ไม่สิ เขาไม่น่าจะเย้ยฟ้าได้ปานนั้น ในหมู่สิบยักษ์ใหญ่ไม่มีคนเช่นนี้อยู่!”
“หรือว่าเขาจะเป็นพวกร้ายกาจบน ‘กระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์’ เพียงแต่ในหมู่ยอดมกุฎสามสิบหกคนในปัจจุบัน เหมือนจะไม่มีคนที่มีคุณสมบัติไปในทางเดียวกับคนผู้นี้เลย”
“หรือว่า… เขาอยู่เหนือยอดมกุฎ… เป็นไปไม่ได้! คนพวกนั้นแต่ละคนล้วนสามารถเอาชนะผู้แข็งแกร่งที่สุดในรุ่นเดียวกันได้ ด้วยฐานะของพวกเขาแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมาปรากฏตัวที่นี่!”
คราวนี้ซูชิงเหอไหวหวั่นแล้ว ชั่วพริบตา สายตาก็มีรังสีอสนีสาดซัด ในใจไม่สงบนัก
ก่อนหน้านี้ยามเขาฝ่าด่านที่แปด แม้จะสบายมาก แต่ก็ใช้ความสามารถระดับหนึ่ง จึงชักช้าไปบ้าง
เมื่อเทียบกันแล้ว ความสามารถที่หลินสวินแสดงออกมาดูสะดุดตาอย่างยิ่งโดยไม่ต้องสงสัย!
แม้ตอนเริ่มจะต่างกันเล็กน้อย แต่ผลลัพธ์กลับห่างกันไกล
เวลาที่ใช้ฝ่าชั้นที่แปดเหมือนจะต่างกันเพียงเล็กน้อย แต่ความแตกต่างในนั้นไม่ว่าใครก็ไม่อาจเพิกเฉยได้
‘ไม่ว่าเขาเป็นใคร ก็ต้องดูว่าเขาจะทำลายสถิติของอวิ๋นชิ่วไป๋ในตอนนั้นได้หรือไม่แล้ว’ เซียวชิงเหอสูดลมหายใจลึก ในส่วนลึกของจิตใจ เขาทั้งตั้งตาคอนและต่อต้าน
สำหรับผู้กล้ารุ่นเยาว์ในโลกแล้ว อวิ๋นชิ่งไป๋ก็เหมือนเงามืดชั้นหนึ่งที่กดทับเหนือเวิ้งฟ้า ความรู้สึกที่มีชีวิตอยู่ใต้เงามืดแค่คิดก็รู้ว่าน่าอึดอัดแค่ไหน
ถ้ามีคนสามารถทำลายสถิติที่เขาสร้างไว้เมื่อสิบปีก่อนได้ นี่ย่อมเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง อย่างน้อยก็พิสูจน์ว่า ตำนานของอวิ๋นชิ่งไป๋เป็นสิ่งที่ถูกทำลายลงได้!
แน่นอนว่าเป็นอวิ๋นชิ่งไป๋เมื่อสิบปีก่อน…
แต่ในขณะเดียวกัน เซียวชิงเหอกลับไม่หวังให้สถิตินี้ถูกหลินสวินทำลายลง เหมือนกับถ้าเป็นเช่นนี้จะต้องก้มหัวลงต่อหน้าหลินสวิน
ความรู้สึกเช่นนี้ชอบกลนัก ทั้งยังย้อนแย้งมาก
ในเวลานั้นคนอื่นๆ ก็จ้องเขม็งไปยังชั้นที่เก้าของหอลองกระบี่ จิตใจจดจ่อจนลืมหายใจ ดวงตาไม่กะพริบแม้สักครั้ง
ไม่เหมือนกันเซียวชิงเหอ พวกเขาส่วนใหญ่ต่างเคารพนับถืออวิ๋นชิ่งไป๋ยิ่งนัก ดังนั้นในใจจึงไม่ต้องการให้สถิตินี้ถูกผู้อื่นทำลายลง!
……
ชั้นที่เก้า
หลินสวินรู้สึกถึงแรงกดดันในที่สุด
นักรบกระบี่ฝั่งตรงข้ามมีคลื่นจิตมรรคตลบอบอวลทั้งร่าง พลานุภาพราวดวงตะวันแรงกล้าบนเวิ้งนภา รังสีเปล่งประกาย เขายืนถือกระบี่ ดั่งมหาบรรพตที่ไม่อาจสั่นคลอน
ผู้ฝึกปราณทั่วไปเมื่อเห็นดังนี้ เกรงว่ายังไม่ทันลงมือจิตวิญญาณก็ถูกทำให้หวาดผวา สูญเสียเจตจำนงต่อสู้
เขาแข็งแกร่งเกินไปแล้ว!
สำหรับหลินสวิน กลิ่นอายของนักรบกระบี่ผู้นี้ เทียบเท่ากับบุคคลขอบเขตมกุฎอย่างซุ่นไป๋เซวียน อวี่หลิงคง จี้ซิงเหยา
อวี่หลิงคงเคยถูกเขากำราบไปครั้งหนึ่ง ซุ่นไป๋เซวียนก็เคยเพลี่ยงพล้ำให้แก่เขาไปหนึ่งครั้ง แม้ไม่เคยประมือกับจี้ซิงเหยา แต่หลินสวินรู้ดีว่า แม้หญิงผู้นี้แข็งแกร่งกว่าสองคนนี้ ก็ไม่อาจเอาชนะตนได้!
นับประสาอะไรกับหลินสวินในตอนนี้ที่ไม่เหมือนแต่ก่อนนานแล้ว
เขาบรรลุระดับกระบวนแปรจุติขั้นปลาย พลังต่อสู้ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงชนิดถอดรยางค์เปลี่ยนกระดูกอยู่ก่อนแล้ว เวลานี้ยามได้เผชิญหน้ากับนักรบกระบี่ผู้นี้ แม้จะรู้สึกกดดันแต่กลับไม่มีทางข่มขวัญเขาได้
ชิ้ง!
พูดแล้วเหมือนช้าแต่ทุกอย่างรวดเร็วนัก นักรบกระบี่ยกกระบี่ขึ้นฟันลงมา
ชั่วพริบตาเหมือนอสนีบาตสายหนึ่งฟาดลงมาจากเหนือเก้าชั้นฟ้า ดุดันและอหังการ มีท่วงท่าสังหารจักรวาล
ในขณะเดียวกันหลินสวินก็ออกโจมตี มือกำหมัด พลังหมัดราวถล่มฟ้าสะเทือนดินพุ่งซัดออกมา ห้วงอากาศใกล้เคียงพลันยุบลงไปอย่างอึกทึกครึกโครม
ผนึกของหอลองกระบี่แห่งนี้พิเศษยิ่ง ยามฝ่าด่านไม่สามารถยืมพลังจากสิ่งของภายนอก ทำได้เพียงอาศัยพลังที่แท้จริงภายในกายเข้าต่อสู้
หากไม่เป็นเช่นนี้ เกรงว่าสถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋คงถูกทำลายไปนานแล้ว อย่างไรเสียบนโลกนี้ก็ไม่ได้มีแค่หลินสวินเท่านั้นที่ครอบครองสมบัติอริยะ
ปึงๆๆ!
การต่อสู้ปะทุขึ้น เจตกระบี่กับพลังหมัดเข้าปะทะ เกิดเป็นคลื่นน่าหวาดหวั่นแผ่กระจายออกมา
นี่ยังโชคดีที่ในหอลองกระบี่แห่งนี้มีพลังผนึกป้องกันไว้ หากอยู่ในโลกภายนอก ผลลัพธ์นั้นย่อมไม่อาจคาดคิดได้
สวบ!
ปราณกระบี่แน่นขนัดเกี่ยวกระหวัดไปทั่ว ปราณกระบี่ทุกสายล้วนดุดันและเปล่งประกายหาใดเทียบ พุ่งมาเยือนนับหมื่นนับพัน เพียงแค่ทัศนียภาพเช่นนี้ก็ทำให้ผู้อื่นหมดหวังได้
นี่เป็นถึงวิชากระบี่ชั้นยอดวิชาหนึ่ง!
หลินสวินก็อดประหลาดใจไม่ได้ พลังผนึกของหอลองกระบี่แห่งนี้อัศจรรย์ดังคาด นักรบกระบี่ผู้นั้นไม่ใช่สิ่งมีชีวิต แต่กลับสามารถใช้วิชามรรค นี่ก็น่าตื่นตระลึงนัก
แต่น่าเสียดาย ยังไม่เท่าไรเหมือนเดิม!
หลินสวินยื่นมือออกไป รัศมีศักดิ์สิทธิ์สีเขียวอ่อนห้าสายเปล่งประกายเคลื่อนผ่านอากาศ พัดกวาดอยู่ในห้วงอากาศ ห่ากระบี่เต็มฟ้าระเบิดแหลกโครมคราม
ในขณะเดียวกันผมสีดำของเขาก็ปลิวสยาย ก้าวย่างออกมาแล้วพุ่งทะยานไปเบื้องหน้า
โครม!
ภายใต้การโจมตีของประทับปี้อั้นที่แฝงพลังแก่นมรรคแห่งธาตุน้ำ นักรบกระบี่ผู้นั้นก็ระเบิดออกดังลั่น
‘จบลงเท่านี้หรือ’ หลินสวินเลิกคิ้ว
กระทั่งตอนนี้ยังแลกกระบวนท่าไม่กี่ครั้งเท่านั้น ยังใช้พลังในกายเขาไปไม่ถึงห้าส่วน
ไม่ใช่!
ทันใดนั้นนัยน์ตาหลินสวินก็หดรัดลง มองเห็นว่ามีผนึกปรากฏขึ้น รวมตัวเป็นเงาร่างนักรบกระบี่ผู้นั้นอีกครั้งเสียอย่างนั้น
เพียงแต่เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ พลังของนักรบกระบี่ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น!
‘คลื่นมหามรรคขั้นแก่นมรรค…’ นัยน์ตาหลินสวินหดรัด ตอนนี้ถึงได้รู้ว่า ชั้นที่เก้าของหอลองกระบี่แห่งนี้ไม่ง่ายดายดังคาด!
ตู้ม!
การต่อสู้ปะทุขึ้นอีกครั้งอย่างไม่ต้องสงสัย
แม้นักรบกระบี่จะแข็งแกร่ง อีกทั้งมรรคกระบี่ที่สำแดงออกมาสามารถกำราบบุคคลขอบเขตมกุฎในโลกได้ แต่สำหรับหลินสวินแล้ว พลังคุกคามยังไม่มากเหมือนเดิม
หลังจากผ่านไปหลายสิบกระบวนท่าเท่านั้น นักรบกระบี่ก็ถูกหลินสวินทะลวงอกสะเทือนในหมัดเดียว
‘ยังดี เพิ่งผ่านไปเกือบหนึ่งในสามเค่อเท่านั้น…’ หลินสวินลอบถอนหายใจ
จากชั้นที่หนึ่งฝ่ามาถึงชั้นที่เก้า ตั้งแต่เริ่มจนจบเวลายังไม่ถึงเศษเสี้ยว มีเพียงในชั้นที่เก้าเท่านั้น ที่เสียเวลาไปมาก
แต่เทียบกับสถิติหนึ่งเค่อของอวิ๋นชิ่งไป๋นั้น ในแง่เวลาก็ลดลงไปมากกว่าสามเท่า
หืม?
แต่หลินสวินยังไม่ผ่านด่าน เขารับรู้ได้ว่าเงาร่างของนักรบกระบี่ผู้นั้นกลับปรากฏขึ้นอีกครั้งแล้ว…
นี่ทำให้สีหน้าหลินสวินแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังหนักแน่นขึ้นไม่น้อย
ก่อนหน้านี้เขายังออกจะประหลาดใจ รู้สึกว่าแม้ชั้นที่เก้าของหอลองกระบี่แห่งนี้จะวิปริต แต่ก็ไม่เท่าไร
แต่ตอนนี้เขาถึงรู้ว่าตนคิดผิดแล้ว
นักรบกระบี่ผู้นี้ไม่ได้ฆ่าง่ายขนาดนั้น!
ตู้ม!
การต่อสู้ปะทุขึ้น คราวนี้หลินสวินไม่ออมมือแต่อย่างใด ใช้พลังทั้งหมดที่มี เพียงชั่วไม่กี่อึดใจก็ทำลายนักรบกระบี่ได้อย่างแข็งกร้าว
แต่ทันใดนั้นนักรบกระบี่ก็รวมตัวออกมาอีกครั้ง…
ฟุ่บ!
ฟุ่บ!
ฟุ่บ!
นักรบกระบี่ถูกสังหารครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่หลังจากถูกฆ่าทุกครั้ง พลังของอีกฝ่ายก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นไป
ครั้งที่สิบหก
ครั้งที่สิบเจ็ด
……
เมื่อนักรบกระบี่ฟื้นคืนมาเป็นครั้งที่สิบแปด ความแข็งแกร่งของพลังต่อสู้ของเขา ก็ทรงพลังจนทำให้หลินสวินรู้สึกตระหนก
‘เวลาผ่านไปเกือบครึ่งเค่อแล้ว’
‘ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้แต่แรก ตอนลงมือครั้งแรกก็น่าจะใส่พลังทั้งหมดไปเลย ถ้าเป็นเช่นนี้อย่างน้อยก็ประหยัดเวลาไปได้มาก…’
หลินสวินนิ่วหน้า เขาสูดหายใจลึก ยื่นมือออกไป รัศมีเทพรวมตัวแปรสภาพเป็นดาบหักเล่มหนึ่ง
สวบ!
เผชิญหน้ากับนักรบกระบี่ที่แปรเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งหาใดเทียบแล้ว เขาไม่ออมมือแต่อย่างใด สำแดงกระบวนเฉือนนภาสงัด
ทันทีที่โจมตีออกไป กาลเวลาและห้วงอากาศเหมือนตกสู่ความเงียบงันถึงที่สุด ไม่มีเสียงอีกแม้สักนิด มีเพียงคมดาบเดียว คล้ายแทงทะลุกาลเวลาและอากาศออกมา
ฟุ่บ!
เพียงการโจมตีเดียว นักรบกระบี่ก็ถูกฆ่า!
ดูเหมือนง่ายดาย แต่กลับเป็นการโจมตีที่หลินสวินใส่พลังทั้งหมดลงไป ใช้พลังของเขาไปเกือบสองส่วน!
เคร้ง!
ในเวลาเดียวกัน มีเสียงระฆังดังขึ้นที่หอลองกระบี่
ภาพตรงหน้าพร่ามัว หลินสวินถูกเคลื่อนย้ายมายังสถานที่แปลกประหลาดแห่งหนึ่ง ที่นี่มีเพียงแผ่นหยกขนาดยักษ์แผ่นหนึ่งตั้งอยู่
บนแผ่นหยกประทับชื่อสีทองอร่ามชื่อแล้วชื่อเล่า
เหนือสุดเขียนตัวอักษรอวิ๋นชิ่งไป๋ไว้ แต่ละตัวดุดันถึงที่สุด แสงส่องประกายปะทุออกมาราวกระบี่เทพไร้เทียมทาน
เพียงมองไปก็รู้สึกแสบตา ราวจิตวิญญาณถูกสะบั้น
‘ชื่อเหล่านี้ น่าจะเป็นสิ่งที่ผู้แข็งแกร่งซึ่งเคยผ่านด่านชั้นที่เก้านี้ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดเหลือทิ้งไว้’ หลินสวินตระหนักได้ในใจ
จากนั้นเขาก็เห็นว่าพื้นผิวของแผ่นหยกพลิกตลบระลอกหนึ่ง ยามคืนสู่สภาพเดิม ชื่อของอวิ๋นชิ่งไป๋ก็ปรากฏขึ้นที่ตำแหน่งอันดับสองแล้ว
ตำแหน่งอันดับหนึ่งกลับว่างเปล่า
ในขณะเดียวกัน คลื่นผนึกระลอกหนึ่งก็ผุดขึ้น รวมตัวกันเป็นพู่กันเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าหลินสวิน
ทิ้งชื่อไว้บนแผ่นหยก!
ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน มีเพียงผู้ที่ฝ่าผ่านชั้นที่เก้าของหอลองกระบี่ได้ภายในหนึ่งก้านธูป ถึงสามารถทิ้งชื่อของตนไว้บนป้ายหินนี้
นี่เป็นเกียรติยศสูงสุดอย่างหนึ่ง
หากแพร่งพรายออกไป จะต้องทำให้ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนเคารพนับถือ
——

Battling Records of the Chosen One

Battling Records of the Chosen One

Type: Author: ,
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์ ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้ แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน… In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history. In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing. Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned. Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset