Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1002 ขอความช่วยเหลือและแก้แค้น

คิ้วหลิงหงจินดุจจันทร์เสี้ยว เครื่องหน้าทั้งห้างามประณีต ผมดำขลับทั้งศีรษะยุ่งเหยิงแผ่สยาย นัยน์ตาเจือความโกรธแค้นเหลือคณนา ฟันกระจ่างขบจนเกิดเสียงกรอด
ไม่จำเป็นต้องสงสัย หลิงหงจินคือหญิงงามที่ยากพบเห็น แม้ยามเดือดดาลหาใดเปรียบก็สร้างความเสียหายแก่ความงามของนางไม่ได้ ไม่ว่าใครต่างไม่อาจปฏิเสธจุดนี้
เพียงแต่นางในตอนนี้ไม่เหมือนผู้กล้าหญิงแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ที่สูงส่งอีก กลับประหนึ่งลูกแกะรอความตายตัวหนึ่ง
“เจ้าต้องถูกพันมีดหมื่นแล่แน่! แน่นอน!” ดวงหน้าพริ้งเพราของนางโกรธจนคล้ำเขียวหาใดเปรียบ ในดวงตาเปี่ยมความแค้นเข้ากระดูก
“หากมีวันนั้นจริง เจ้าเองคงอับอายต่อหน้าผู้คนไม่เหลือก่อน” สุดท้ายหลินสวินยังไม่ได้ลงมือต่อ
เขาลุกขึ้นจับร่างอีกฝ่ายพาดบ่า
เมื่อสัมผัสได้ว่าผิวชุ่มชื้นของอีกฝ่ายพลันแข็งเกร็ง หลินสวินจึงรับรู้ได้ทันใดว่า ในใจหญิงผู้นี้ไม่พังทลายสิ้น ยังกำลังดิ้นรนรุนแรง
“ข้าว่าเจ้าอย่าดิ้นรนดีกว่า ดิ้นรนไปก็เปล่าประโยชน์ หากถูกคนอื่นเห็นเจ้าสภาพนี้เชื่อว่ารสชาตินั้นคงเหลือทน” หลินสวินยิ้มพลางโฉบไปที่ห่างไกล
“เจ้ามันสมควรตาย!” หลิงหงจินคับแค้นอับอายแทบวายชีวา แค้นจนกัดไหล่หลินสวิน
แต่ต่อมานางก็ต้องร้องโอดโอย หัวไหล่หลินสวินมีปราณป้องกัน เกือบทำฟันขาวดุจหิมะเรียงเป็นระเบียบของนางแตก
เพียะ!
หลินสวินเงื้อมือฟาดก้นอีกฝ่ายกล่าว “เชื่อฟังหน่อย!”
สัมผัสถึงความเจ็บปวดร้อนผ่าวบนร่าง หลิงหงจินแทบเป็นบ้า ทั้งอดสูทั้งเดือดดาล หากเป็นไปได้นางแทบอยากกลืนหลินสวินกินทั้งเป็น
น่าชังเกินไปแล้ว!
นาง ศิษย์แกนหลักแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ผู้งามสง่าเจิดจรัสหาใดเปรียบ รูปโฉมโดดเด่นดุจจันทร์กระจ่างบนฟากฟ้า ที่ผ่านมาล้วนถูกห้อมล้อมและชื่นชมมาตลอด ไหนเลยจะเคยพบเจอการโจมตีและหยามหน้าเช่นนี้
“เจ้าคนระยำ ภายหน้าต้องไม่ตายดี!”
หลินสวินทำหูทวนลม สีหน้าไม่สะทกสะท้าน ได้ยินดังนั้นจึงกล่าวราบเรียบ “ตะโกนด่าก็เปลี่ยนสถานการณ์เจ้าไม่ได้ ทางที่ดีเจ้าน่ะร่วมมือกันหน่อย หากทำข้าโมโหผลที่ตามมาคงร้ายแรงยิ่งกว่า”
“…” หลิงหงจินเบิกตากว้าง ในใจราวม้าหมื่นตัวควบทะยานตะบึงผ่าน เจ้านี่ไม่เพียงไร้ยางอาย ยังเป็นอันธพาลชั่วช้าคนหนึ่ง! สมควรถูกเฉือนพันมีดหมื่นแล่!
“คู่หมั้นของข้าคือฉู่เป่ยไห่ หากเขารู้เรื่องนี้เจ้าก็รอถูกฆ่าเถอะ!” นางส่งเสียงขู่ ถูกบีบจวนตัวเข้าจริงๆ แล้ว
“อ้อ”
“อาจารย์ของข้าคือราชันของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ที่ก้าวสู่อมตะหกเคราะห์ผู้หนึ่ง!”
“อ้อ”
“ข้า…”
“อ้อ”
ไม่ว่าหลิงหงจินจะพูดอะไร หลินสวินก็ทำท่าเฉยเมยตลอด คล้ายไม่รู้สึกหวาดกลัวแม้แต่น้อย นี่ทำให้หลิงหงจินจะพังทลายเข้าจริงๆ แล้ว
“อันที่จริงหากเจ้าเชื่อมั่นในแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ของพวกเจ้านัก บอกข้อมูลข้าหน่อยจะเป็นไร ว่ากันตามจริงเจ้าก็แค่กลัว” หลินสวินกล่าวราบเรียบ
“ความตายข้าล้วนไม่กลัว นับประสาอะไรกับเจ้า” น้ำเสียงหลิงหงจินราวลอดจากไรฟัน
นางถูกหลินสวินแบกขึ้นบ่ามาตลอด ไม่อาจขยับเขยื้อน เสมือนเหยื่อที่ไม่ว่าอย่างไรก็ถูกเชือด
แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นก็ยังทำให้นางแข็งทื่อไปทั้งตัว คับแค้นอับอายถึงขีดสุด กระทั่งกังวลว่าหากระหว่างทางพบคนสัญจรบางส่วนเข้าจะทำอย่างไร
“ด้านหน้าประมาณหลายร้อยลี้มีเมืองแห่งหนึ่ง ตอนนี้เหลือเวลาสองชั่วยามก่อนฟ้าสาง ข้าให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าก็คิดให้ถี่ถ้วนเสียเถอะ”
หลินสวินกล่าวทิ้งท้ายประโยคนี้ก็ไม่พูดอีกสักคำ
แต่ท่าทีนิ่งสงบของเขากลับทำให้หลิงหงจินรับรู้ว่า เจ้าหมอนี่จริงจัง ต้องพูดจริงทำจริงแน่!
ชั่วขณะนั้นในใจนางโกลาหลไม่หยุด ดิ้นรนขัดแย้งถึงขีดสุด สัมผัสถึงความระทมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
รสชาติความอัปยศอับอายเช่นนี้เป็นสิ่งที่นางไม่เคยเจอนับตั้งแต่ฝึกปราณมา นางคิดปาดคอตัวเองตายยังไม่ได้ เลือกได้เพียงหนทางเดียว!

ใกล้ช่วงฟ้าสางขึ้นเรื่อยๆ ภูเขาสูงและผืนป่าที่ห่างไกลก็ทยอยบางตา
แม้แต่ตัวหลิงหงจินก็มองออกว่า ใช้เวลาไม่นานบนเส้นขอบฟ้าห่างไกลนั่นต้องปรากฏเมืองแห่งหนึ่งแน่
พอนึกถึงว่าตนมีโอกาสสูงที่จะถูกแขวนร่างเปลือยเปล่าบนประตูเมืองให้คนเรือนหมื่นเชยชม ความแน่วแน่เส้นสุดท้ายในใจหลิงหงจินก็พังทลายอย่างสิ้นเชิง
“พวกเขาอยู่เมืองกาฬพฤกษ์ ผู้ดูแลภารกิจครั้งนี้คือ…”
ในเสียงว่างเปล่าไร้ความรู้สึก สุดท้ายหลิงหงจินก็ยอมจำนน บอกข่าวส่วนหนึ่งที่ตนรู้ออกมา
กล่าวถึงตอนท้ายทั้งตัวนางราวสูญสิ้นจิตวิญญาณ ดวงตาไร้แวว สีหน้ามืดมน
หลินสวินหยิบอาภรณ์ตัวเองชุดหนึ่งคลุมร่างหลิงหงจิน เห็นท่าทางเช่นนี้ของอีกฝ่ายเขาอดถอนใจไม่ได้ “ถ้ารู้แบบนี้ทำไมต้องทำเช่นนั้นแต่แรก”
หลิงหงจินเงียบงัน
“วางใจเถอะ เรื่องในวันนี้มีเพียงเจ้ากับข้าที่รู้ ในเมื่อข้ารับปากจะปล่อยเจ้า แน่นอนว่าต้องพูดจริงทำจริง”
หลินสวินกล่าวประโยคนี้ไว้ ก่อนที่เงาร่างจะวาบไหว หายไปท่ามกลางรัตติกาลเวิ้งว้างห่างไกล ทิ้งหลิงหงจินไว้ที่เดิมเพียงคนเดียว
ลมราตรีพัดแผ่ว หลิงหงจินซึ่งหยุดยืนที่เดิมครู่ใหญ่คล้ายฟื้นคืนสติส่วนหนึ่ง แววตาซึ่งเดิมหม่นมัวไร้แววคืนสู่ความกระจ่างใหม่อีกครั้ง
นางสัมผัสได้ว่าพลังของตนกำลังฟื้นคืนทีละน้อย
“สักวันหนึ่งข้าจะฆ่ามารร้ายอย่างเจ้าด้วยมือตัวเอง!”
นางกัดฟันกรอด จากนั้นจึงกระชากชุดที่คลุมกายลงราวกับรังเกียจ แล้วเหยียบย่ำผลาญเผาอย่างรุนแรง
เพลิงศักดิ์สิทธิ์หลากสายห้อมล้อมทั่วกายนาง กลายเป็นอาภรณ์ชั้นหนึ่งบดบังร่างเปลือยเปล่า ขณะนี้นางคืนสู่ท่วงท่าหยิ่งทะนงมาดมั่นดังเก่าก่อนอีกครั้ง
‘น่าเสียดาย ต่อให้เจ้าสับปลับดั่งภูตผีก็คิดไม่ถึง ว่าข้อมูลที่ข้าบอกเจ้าล้วนเป็นเท็จทั้งสิ้น!’ นางยิ้มเยาะในใจ เปี่ยมความสะใจราวได้แก้แค้น
จากนั้นนางไม่รีรอ มุ่งทะยานไปที่ห่างไกล
ฟุ่บ!
หลิงหงจินจากไปไม่นาน เงาร่างหลินสวินก็ปรากฏตรงตำแหน่งที่นางเคยอยู่กะทันหัน
‘ฟื้นคืนมาดเร็วเช่นนี้ เห็นชัดว่าเมื่อครู่ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้สิ้นหวังจริง ดูจากจุดนี้สีหน้าท่าทางที่แปรเปลี่ยนของนางเมื่อครู่ เกรงว่าต่อให้ไม่ได้เสแสร้ง ก็ต้องมีส่วนหนึ่งที่เสแสร้งแกล้งทำออกมา…’
หลินสวินใคร่ครวญ จากนั้นเงาร่างพลันวูบไหวตามไปอย่างเงียบเชียบ
คนผู้หนึ่งหลังประสบการโจมตีจวนสิ้นลม สิ่งแรกที่ต้องทำคืออะไร
ขอความช่วยเหลือ?
แก้แค้น?
บางทีอาจทำสองอย่างพร้อมกัน
จากมุมมองหลินสวิน หลิงหงจินคงแค้นตนเข้ากระดูก ต้องคิดแก้แค้นตนทันทีจนทนไม่ไหวแน่
และหากอยากแก้แค้นก็ต้องขอความช่วยเหลือ
หลินสวินอยากดูนักว่าหลิงหงจินจะทำอย่างไรกันแน่
สำหรับข้อมูลส่วนนั้นที่นางบอกก่อนหน้า บางทีอาจเป็นจริงหรือเป็นเท็จ แต่ล้วนไม่สำคัญทั้งสิ้น
เพราะตั้งแต่ต้นจนจบ หลินสวินก็ไม่ได้คิดเค้นข้อมูลจากปากอีกฝ่ายแต่แรก!

หลิงหงจินรอบคอบและระวังนัก เปลี่ยนทิศทางมุ่งหน้าตลอดเวลา กระทั่งบางครั้งยังอ้อมวนสองสามรอบค่อยมุ่งหน้าต่อ
นี่ทำให้หลินสวินที่ตามประชิดข้างหลังนางแน่ใจยิ่งกว่าเดิม ว่าเจตนาของผู้หญิงคนนี้น่าสงสัย!
จวบจนฟ้าสาง รัตติกาลลาลับ เค้าโครงเมืองใหญ่แห่งหนึ่งก็ปรากฏบนเส้นขอบฟ้า
หลังหลิงหงจินมาถึงที่แห่งนี้ก็ราวเป่าปากโล่งอก จากนั้นจึงหันศีรษะมองหนทางที่จากมา บนหน้างามพริ้งเพรานั่นเผยความแค้นเข้ากระดูก
“เจ้ารอก่อนเถอะ!” นางกำหมัดขาวดุจหิมะแน่นอย่างเงียบๆ จากนั้นจึงหันกลับทะยานเข้าเมืองใหญ่เก่าแก่นั่น
ตอนแรกหลินสวินที่ตามประกบตกใจสะดุ้งโหยง นึกว่าตนถูกอีกฝ่ายค้นพบแล้ว
แต่เห็นชัดว่าเขาคิดมากไปเอง การกระทำของหลิงหงจินเมื่อครู่เจือความรู้สึกระบายอารมณ์ชัดเจน
‘เมืองแสงอุดร… หรือเหล่าผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ที่ตามล่าข้าในครั้งนี้ล้วนส่งมาจากที่นี่’
หลินสวินใคร่ครวญพลางเข้าไปในเมือง

ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองแสงอุดร ในสิ่งปลูกสร้างเก่าแก่โอ่อ่าหาใดเปรียบแห่งหนึ่ง ขณะนี้ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ซึ่งสวมชุดนักพรตน้ำค้างดารากำลังชุมนุมกัน
หนานกงหั่วและกู้อวิ๋นถิงเองก็อยู่ในนั้นด้วย
ในโถงผู้คนมากมาย แต่กลับมีสามคนที่เห็นได้ว่าถูกจับตามองที่สุด ข้างกายแต่ละคนต่างห้อมล้อมด้วยกลุ่มชายหญิง ประหนึ่งหมู่ดาวล้อมจันทรา
นี่คือชายสองหญิงหนึ่ง ชุดนักพรตน้ำค้างดาราที่สวมใส่ประทับสัญลักษณ์ดาวสีทอง มีเพียงศิษย์แกนหลักของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์เท่านั้นจึงจะครอบครองได้
ไม่จำเป็นต้องสงสัย พวกเขาคือขอบเขตมกุฎที่มาจับตายหลินสวินครั้งนี้เหมือนลี่จั้นหนานและหลิงหงจิน!
“นี่มันเรื่องอะไรกัน เป้าหมายกำลังเข้ามาใกล้พวกเรา! หรือพวกลี่จั้นหนานกับหลิงหงจินไปช้าก้าวหนึ่ง ถูกเป้าหมายชิงหนีเสียก่อน”
ทันใดนั้นหนึ่งในศิษย์แกนหลักมุ่นคิ้วกล่าว
นี่คือชายผมยาวสีทองทั้งศีรษะ ร่างผึ่งผายกำยำ นามว่าเสวี่ยเชียนเหิน ในเมื่อจัดอยู่ในศิษย์แกนหลักก็ย่อมเป็นยอดบุคคลชั้นแนวหน้า
ในมือเขากำลังถือ ‘คันฉ่องกักวิญญาณสองลักษณ์’ ซึ่งเดิมหนานกงหั่วครอบครอง
“อะไรนะ” คนอื่นต่างตะลึงงัน ทยอยเหลือบมองมา
“น่าสนุก เจ้าลี่จั้นหนานยังพลาดท่า ช่างทำให้ข้าผิดคาดจริงๆ” ชายหนุ่มชุดเทาคนหนึ่งเอ่ยปากหัวเราะ
เขาผมยาวกระเซิง แต่งกายไม่เรียบร้อย เห็นชัดว่าเกียจคร้านและทำตามอารมณ์นัก เขามีนามว่าจางเจิง เป็นศิษย์แกนหลักผู้หนึ่งเช่นกัน
“น่าจะไม่ถึงขั้นพลาดท่า ลี่จั้นหนานและหลิงหงจินออกปฏิบัติการพร้อมกัน รับมือขอบเขตมกุฎคนหนึ่งก็เพียงพอเหลือเฟือ สาเหตุที่เป็นเช่นนี้คงเหมือนที่ศิษย์พี่เสวี่ยเชียนเหินกล่าว เป้าหมายสังเกตเห็นว่าไม่เข้าทีจึงชิงหนีก่อนก้าวหนึ่ง”
เด็กสาวสวมชุดฉูดฉาด ใบหน้าประณีตอ่อนหวานเอ่ยปาก นางร่างเล็กอรชร ทั่วร่างแผ่ความอ่อนช้อยน่าอัศจรรย์ ทุกการเคลื่อนไหวล้วนเจือกลิ่นอายเย้ายวนตรึงใจคนตามธรรมชาติ
นางมีนามว่าอวี้เป๋าเป่า
“เหอะๆ ถูกเป้าหมายชิงหนีก็นับว่าพลาด เปลี่ยนเป็นข้าออกเคลื่อนไหว เทพมารหลินนี่คงถูกสังหารนานแล้ว!” จางเจิงกล่าวอย่างเกียจคร้าน วาจาสบายอารมณ์ แต่มีความยโสไม่อาจอำพราง
“เจ้าคุยโวกระมัง” อวี้เป๋าเป่ากล่าวพลางหัวเราะคิกคัก
ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์คนอื่นต่างเงียบงัน
เพราะนี่คือการสนทนาของศิษย์แกนหลักสามคน พวกเขาไม่มีสิทธิ์สอดปากแต่แรก
“ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้ ที่ข้าไม่เข้าใจคือทำไมเป้าหมายถึงเข้ามาใกล้พวกเรา ไม่ตั้งใจหรือมีเจตนากันแน่” เสวี่ยเชียนเหินมุ่นคิ้ว
“ง่ายมาก ต้องเป็นเขาโชคไม่ดีรีบหนีไม่ดูทาง หากเขารู้ว่าพวกเราอยู่ที่นี่ ให้เขากล้าอีกร้อยเท่าก็ไม่บังอาจวิ่งเข้าหาความตาย” จางเจิงกล่าวเยาะหยัน
คนไม่น้อยต่างอดยิ้มไม่ได้ ในความรู้สึกของพวกเขาต่างก็คิดว่าคำพูดของจางเจิงไม่ผิด
ขอแค่สมองไม่เลอะเลือน เหยื่อที่ไหนจะโง่วิ่งมาถิ่นนักล่า นี่ไม่รนหาที่ตายหรือ
“นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตา สมน้ำหน้าที่เด็กนี่มันซวย!”
จางเจิงยืดเหยียดกล้ามเนื้อ สีหน้าที่เดิมเกียจคร้านเต็มประดาพลันแผ่อานุภาพดุดันชวนประหวั่น “ครั้งก่อนถูกลี่จั้นหนานและหลิงหงจินชิงตัดหน้า แต่ความเป็นจริงพิสูจน์แล้วว่าพวกเขาโชคไม่ดีนัก ถูกเป้าหมายหนีรอดไปได้ คราวนี้ในเมื่อเป้าหมายเข้ามาในแหเอง พวกเจ้าใครก็อย่าแย่งข้า ถึงตาข้าออกโรงแล้ว!”
วาจาก้องกังวานสะท้านปฐพี ไอสังหารชวนตะลึงแผ่ขยายทั่วโถง ทำให้คนไม่น้อยสั่นไปทั้งตัว
………………….

Battling Records of the Chosen One

Battling Records of the Chosen One

Type: Author: ,
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์ ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้ แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน… In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history. In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing. Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned. Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset