ตอนที่ 1929 ถกมรรคาแห่งมหามรรค
พูดถึงตรงนี้ เจียงซิงเชวี่ยเงยมองหลินสวินแล้วกล่าวว่า “ศิษย์น้อง เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดศิษย์พี่เสวียนคงของเจ้าจึงสามารถเรียกได้ว่าไร้ศัตรูในระดับอริยะ”
พูดถึงตรงนี้ เจียงซิงเชวี่ยเงยมองหลินสวินแล้วกล่าวว่า “ศิษย์น้อง เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดศิษย์พี่เสวียนคงของเจ้าจึงสามารถเรียกได้ว่าไร้ศัตรูในระดับอริยะ”
หลินสวินหัวใจสะท้าน กล่าว “โปรดชี้แนะ”
“เพราะสิ่งที่เขาต้องการ คือมรรคาที่ไม่เคยมีมาก่อน เพราะฉะนั้นพลังที่เขาครอบครองจึงเรียกได้ว่าไม่เคยมีมาก่อน“
ได้ยินคำพูดนี้ของเจียงซิงเชวี่ย หลินสวินเกิดความรู้สึก ‘มรรคข้าไม่โดดเดี่ยว’ ขึ้นมาตามธรรมชาติ
“ที่แท้ ข้าไม่ใช่คนแรก…” หลินสวินพึมพำ
เจียงซิงเชวี่ยเองก็อึ้งไป จากนั้นพลันกระจ่างแจ้ง ยิ้มพูด “ดูท่าศิษย์น้องหยั่งถึงจุดนี้นานแล้ว”
นางหยุดไปครู่หนึ่งค่อยกล่าวอีกว่า “ศิษย์พี่เสวียนคงของเจ้าเคยพูดว่า บนโลกนี้คนที่ต้องการแสวงหาหนทางที่ไม่เคยมีมาก่อนเหมือนเช่นเขามีนับไม่ถ้วน แต่สุดท้ายคนที่ประสบความสำเร็จกลับน้อยมาก”
“ไม่ใช่เพราะยากลำบากเกินไป แต่เพราะตอนที่พวกเราฝึกปราณ จะถูกพลังมากมายรบกวน”
“อย่างเช่น เจ้าฝึกปราณมาถึงตอนนี้ คงหยั่งถึงตำรามรรคและวิชาลับมากมายแล้ว และเคยได้รับการชี้แนะจากผู้แข็งแกร่งมากมาย ถูกไหม”
หลินสวินพยักหน้า
เพียงแค่มรดกที่เขาครอบครอง ก็มีคัมภีร์มหาครรภ์จุติ คัมภีร์มหามรรคหวงถิง คัมภีร์เก้ากระถางสยบหล้า คัมภีร์กลืนกินไร้สิ้นสุด…
วิชายุทธ์มากมายเช่นคัมภีร์กระบี่ไท่เสวียน มังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร เคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ ดรรชนีมหาอุดมสลายมายา หนึ่งกระบวนวัฏจักรฟ้า…
ล้วนถ่ายทอดมาจากคนอื่น
รวมทั้งในหลายปีมานี้ ในเส้นทางการฝึกปราณหลินสวินก็เคยได้รับคำชี้แนะจากผู้สูงส่งมากมาย อย่างเช่นชายหนุ่มจักจั่นทอง อย่างเช่นซี หรืออย่างเช่นจักรพรรดิดาบชิงหยาง
แม้แต่วิชายอดนิรันดร์ไร้รั่ว ก็ถ่ายทอดมาจากศิษย์พี่เสวียนคง!
เจียงซิงเชวี่ยพูดเสียงเบา “มรดกและพลังเหล่านี้มีประโยชน์อย่างมากในการฝึกปราณของคนเช่นเรา แต่ก็ส่งผลกระทบต่อการแสวงมรรคาของเราโดยไม่รู้ตัวเช่นเดียวกัน”
“ประสบการณ์ การหยั่งรู้ มรดก วิชามรรคเหล่านั้น… ล้วนประทับสติปัญญาและความเข้าใจต่อมหามรรคของคนอื่น เมื่อถูกพวกเราซึมซับรับหลอม ดูแล้วเหมือนจะกลายเป็นของตนแล้ว แต่ว่ากันถึงแก่นแท้ สุดท้ายก็ยังเป็นมรดกของพวกเขา และเจ้าเป็นเพียงแค่ผู้สืบทอดเท่านั้น”
“บนโลกนี้ผู้ฝึกปราณมากมายแยกแยะจุดนี้ไม่ได้ คิดเองเออเองว่ามรรคาที่เสาะแสวงหาแตกต่างจากคนอื่น แท้จริงแล้วได้รับอิทธิพลมาจากผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว ถึงขั้นทำให้ยามซึมซับพลังที่ ‘ไม่เคยมีมาก่อนตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน’ ล้วนจบลงด้วยความพ่ายแพ้โดยไม่มียกเว้น”
หลินสวินอดกล่างชมไม่ได้ “เป็นเช่นนั้นจริง”
เจียงซิงเชวี่ยยิ้มน้อยๆ “พวกนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ศิษย์พี่เสวียนคงของเจ้าพูดเอาไว้ตอนนั้น ข้าเพียงแค่ส่งต่อให้เจ้าเท่านั้น”
หลินสวินเองก็เล่าการหยั่งรู้ของตน “มหาสมุทรรวมร้อยแม่น้ำ นี่เป็นยอดวิชาแห่งการมุ่งสู่อริยะ ใช้หนึ่งได้สาม บุกเบิกวิถีทางของตน นี่เป็นมหามรรคที่แตกต่างจากโลกที่ข้าเสาะแสวง เป็นการสืบทอดต่อและเบิกเส้นทางใหม่”
เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อว่า “แกนหลักของการสืบทอดอยู่ที่การใช้เป็นกระจกเงามองสะท้อน หาใช่กลายเป็นมรรคาของตน เช่นนี้จึงจะมีโอกาสทำได้ถึงขั้น ‘ไม่เคยมีมาก่อน’”
เจียงซิงเชวี่ยประหลาดใจกว่าเดิม กล่าวว่า “ศิษย์น้อง ดูท่าว่ามรรคาของเจ้าไม่จำเป็นต้องให้ใครชี้แนะนานแล้ว บอกมรรคที่เจ้าเสาะแสวงกับข้าสักหน่อยได้หรือไม่”
หลินสวินคิดๆ แล้วพูดว่า “บรรจุหมื่นมรรค วิวัฒน์หมื่นวิชา ทั่วหล้าบนล่างไร้มรรคที่ไม่อาจบรรจุ ในวัฏจักรจักรวาลไร้วิชาที่ไม่อาจวิวัฒน์ ต่างเรื่องราวสุดท้ายล้วนเปลี่ยนเป็นผลลัพธ์เดียว มรรคข้าเป็นหนึ่ง”
ในใจเจียงซิงเชวี่ยเกิดความตะลึงอย่างไม่ทราบสาเหตุ มรรคาระดับนี้… เป็นสิ่งต้องห้ามเกินไปแล้ว!
ควรรู้ว่าหมื่นมรรคทั่วหล้ากว้างใหญ่เพียงใด หลอมพลังแปลงบรรพจารย์ในระดับจักรพรรดิ จึงสามารถเรียกได้ว่าเป็นบรรพจารย์มรรค
แต่ตอนนี้ หลินสวินกลับบอกว่าจะบรรจุหมื่นมรรคทั่วหล้า!
หากเป็นเช่นนี้หลังจากเขาแจ้งมรรคบรรลุจักรพรรดิ จะไม่ใช่เสาะหาวิชามรรคแห่ง ‘บรรพจารย์หมื่นมรรค’ หรือ
ยิ่งคิดในใจเจียงซิงเชวี่ยยิ่งตกใจ เท่าที่นางรู้ สมัยบรรพกาลก็เคยมีบุคคลชั้นลิศที่น่าทึ่งอย่างที่สุดบางส่วน เพราะมหามรรคที่ต้องการเสาะแสวงหาเป็นสิ่งต้องห้ามเกินไป ทำให้ประสบเคราะห์เสียชีวิต
“ศิษย์น้อง เจ้าฝึกปราณมาถึงตอนนี้เคยประสบข้อห้ามอะไรหรือไม่”
นางอดถามไม่ได้
“เคย”
หลินสวินไม่ได้ปิดบัง เล่าเคราะห์ใหญ่ที่ตนประสบตอนบรรลุมกุฎอริยะ รวมถึงพิบัติภัยที่เกิดตอนสร้างวิชาแห่งตนอย่างละเอียด
“สลายไปหมดแล้วหรือ” เจียงซิงเชวี่ยถาม
หลินสวินพยักหน้า
ในใจของเจียงซิงเชวี่ยตอนนี้ไม่สามารถใช้คำว่าตะลึงมาอธิบายได้อีกต่อไปแล้ว แววตาที่มองหลินสวินเหมือนมองดูสัตว์ประหลาดตนหนึ่งไม่มีผิดเพี้ยน
ครู่ใหญ่นางอดยิ้มพูดไม่ได้ว่า “ตอนนั้นศิษย์พี่เสวียนคงของเจ้าก็สามารถสร้างความตะลึงและพลิกฟ้าได้ ไม่คิดว่าเจ้าจะน่าทึ่งยิ่งกว่าเขา”
หยุดไปครู่หนึ่งเจียงซิงเชวี่ยพลันหยิบม้วนหยกกระดูกสัตว์ม้วนหนึ่งออกมายื่นให้หลินสวิน “แต่ก็เพราะเป็นเช่นนี้ ข้าก็สามารถมอบสิ่งนี้ให้เจ้าได้อย่างวางใจแล้ว”
หลินสวินอึ้งไป “นี่คืออะไรหรือ”
“นี่คือการหยั่งรู้และใจความการเสาะแสวงหาในระดับอริยะของศิษย์พี่เสวียนคงของเจ้า ยามพวกเราสองคนอยู่ด้วยกัน เพื่อช่วยเหลือข้าในการฝึกปราณจึงทิ้งของสิ่งนี้ไว้ เจ้าเก็บไว้เถอะ”
เจียงซิงเชวี่ยแววตาอ่อนโยน
หลินสวินตระหนักได้ถึงมูลค่าอันยิ่งใหญ่ของสิ่งนี้ทันที!
ศิษย์พี่เสวียนคงในตอนนั้นถูกขนานนามว่า ‘ใต้หล้าบนล่าง ไร้ศัตรูในระดับอริยะ’ การหยั่งรู้และใจความที่เขาทิ้งเอาไว้จะเป็นของธรรมดาทั่วไปได้อย่างไร
“แม้มหามรรคที่เจ้ากับศิษย์พี่ของเจ้าเสาะแสวงไม่เหมือนกัน แต่ล้วนเรียกได้ว่าเป็นมรรคที่ไม่เคยมีมาก่อน ม้วนหยกนี้ให้เจ้าเหมาะสมที่สุด”
สีหน้าของเจียงซิงเชวี่ยอ่อนโยนเป็นมิตร ราวกับปฏิบัติต่อคนรุ่นเยาว์ที่สนิทสนมที่สุด
ความจริงว่ากันถึงระดับความอาวุโส บุคคลที่ผงาดตั้งแต่สมัยบรรพกาลอย่างนาง เป็นผู้อาวุโสของหลินสวินยังถือว่าเหลือเฟือ
“ขอบคุณพี่สะใภ้ยิ่ง”
หลินสวินสูดหายใจลึกคราหนึ่ง สองมือรับของขวัญชิ้นใหญ่นี้มา
“เจ้าจะต้องตั้งใจฝึกปราณ ตอนนั้นศิษย์พี่ของเจ้าสามารถไร้ศัตรูในระดับอริยะได้ เจ้าก็ต้องทำได้แน่ ข้าคาดหวังกับการแสดงฝีมือในงานชุมนุมถกมรรคของเจ้า”
แววตาของเจียงซิงเชวี่ยแฝงความหวังจากใจจริง
ความอบอุ่นพวยพุ่งขึ้นในใจหลินสวิน เขาพยักหน้าเล็กน้อย
คุยกันอีกครู่เสียงของเจียงสุ่ยพลันดังก้องขึ้นในโลกหินหนืดนี้กะทันหัน…
“ซิงเชวี่ย ได้เวลาแล้ว”
เจียงซิงเชวี่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย มองไปยังหลินสวินพร้อมสื่อจิตว่า ‘ศิษย์น้อง อย่าได้โทษพวกคนตระกูลข้าพวกนั้นเลย แม้พวกเขาจะเคียดแค้นคีรีดวงกมล แต่ศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิในตอนนั้น เหล่าบุคคลระดับจักรพรรดิของตระกูลเจียงเคยสู้เคียงบ่าเคียงไหล่คีรีดวงกมล’
‘ยิ่งกว่านั้น แม้ข้าถูกขังอยู่ที่นี่ แต่ก็รู้ดีว่ามีเพียงการทำเช่นนี้ตระกูลจึงสามารถรักษาชีวิตของข้าได้ ไม่เช่นนั้นสามเรือนมรรคใหญ่อย่างดึกดำบรรพ์ ยุทธจักร และจักรวาลย่อมไม่ยอมหยุดง่ายๆ แน่’
‘หวังเพียงว่าเจ้าจะเข้าใจความทุกข์ยากของตระกูลเจียง’
หลินสวินพยักหน้าพูดอย่างจริงจัง “พี่สะใภ้วางใจเถอะ”
ไม่นานหลินสวินก็บอกลาและจากไป
เจียงหลันสุ่ยรออยู่ตรงนั้นนานแล้ว มองเจียงซิงเชวี่ยที่ยืนส่งอยู่ห่างออกไปด้วยสายตาซับซ้อนแวบหนึ่ง สุดท้ายเพียงส่งเสียงถอนหายใจคราหนึ่ง ไม่พูดอะไรมากก็พาหลินสวินไปจากโลกลึกลับแห่งนี้พร้อมกัน
ทะเลเพลิงพลุ่งพล่าน เรือสีดำลำเล็กล่องลอยอยู่
ชั่วขณะหนึ่งโลกทั้งใบก็เหลือเพียงเจียงซิงเชวี่ยคนเดียว
และตอนนี้เอง นางยกมือขึ้นดึงปิ่นปักผมที่เสียบอยู่บนศีรษะลง มือทั้งคู่กำแน่น ใบหน้าขาวซีดที่งดงามบริสุทธิ์มีน้ำตาไหลร่วงลงมาเป็นสาย
นางกลับเหมือนไม่รู้ตัว นั่งตัวตรงอยู่ตรงนั้น เพ่งมองปิ่นปักผมสีเขียวรูปใบไผ่ในมืออย่างเหม่อลอย
พี่เสวียนคง ข้าได้เจอศิษย์น้องแล้ว เขาบอกว่าท่านยังมีชีวิตอยู่ แต่ข้ารู้ว่าหากท่านยังมีชีวิตอยู่จริงๆ ไม่มีทางไม่มาหาข้าแน่…
นับดูแล้วพวกเราจากกันแสนกว่าปีแล้ว เวลาช่างผ่านไปไวจริงๆ… ท่านไม่ต้องห่วง อีกไม่นานข้าก็จะไปหาท่าน
แต่ก่อนจะไปหาท่าน ข้าจะแก้แค้นให้ท่านก่อน!
จู่ๆ เจียงซิงเชวี่ยพลันสูดหายใจลึกคราหนึ่ง ในดวงตาที่ราวกับน้ำพุใสปรากฏความชิงชังเข้ากระดูกและบ้าคลั่ง
ผมที่ดำสนิทราวกับหมึกของนางพลันกลายเป็นสีหิมะน้ำแข็ง
“ท่าน… ต้องรอข้านะ…”
นางลุกขึ้น ผมขาวราวกับหิมะ เสื้อผ้าสีเรียบ เรือสีดำใต้ฝ่าเท้าลอยอยู่บนทะเลเพลิงที่พลุ่งพล่าน
……
ในแดนมงคลแห่งหนึ่งของเมืองจักรพรรดิเพลิง
พอเห็นเงาร่างของหลินสวินตามเจียงหลันสุ่ยกลับมา ป๋อหยาจื่อที่รอมาโดยตลอดถึงได้โล่งอก
“ขอบคุณสหายยุทธ์ที่ช่วยอนุเคราะห์”
ป๋อหยาจื่อประสานหมัด
เจียงหลันสุ่ยสีหน้าซับซ้อนกล่าวว่า “ข้าหวังเพียงว่า คนของคีรีดวงกมลอย่างพวกเจ้าจะไม่มารบกวนซิงเชวี่ยอีก ตระกูลเจียงของพวกเราทนให้พวกเจ้าทรมานไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว”
ป๋อหยาจื่อกับหลินสวินสบตากัน ต่างไม่ได้พูดอะไรมาก ลุกขึ้นบอกลา
เพียงแต่ตอนที่ทั้งสองจากไป จู่ๆ เจียงหลันสุ่ยก็พูดว่า “หลายปีที่ผ่านมานี้ข้าคิดเรื่องหนึ่งมาโดยตลอด ด้วยรากฐานพลังของคีรีดวงกมล สามารถกำราบการร่วมมือกันของสามเรือนมรรคใหญ่อย่างดึกดำบรรพ์ จักรวาลและยุทธจักรได้ แต่เหตุใดจึงถูกทำลายเช่นนี้”
หลินสวินชะงักเท้า นัยน์ตาหดรัดเล็กน้อย
“อันที่จริงในศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิ สำนักคีรีดวงกมลของพวกเจ้ามีคนออกรบไม่ถึงหกคน ผู้สืบทอดคนอื่นๆ ล้วนไม่เห็นร่องรอย หลายคนคิดว่าบรรดาผู้สืบทอดที่ไร้ร่องรอยถูกกำจัดไปนานแล้ว”
เจียงหลันสุ่ยพูดถึงตรงนี้ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยต่อว่า “แต่ข้าไม่ได้คิดเช่นนี้”
พูดจบเขาก็ไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้
ในใจหลินสวินแอบคิดว่า ‘ข้าเองก็ไม่ได้คิดเช่นนั้น’
จวบจนกระทั่งออกจากภูเขาเทพหมอกโอสถอันเป็นที่ตั้งของเผ่าจักรพรรดิตระกูลเจียงพร้อมกับป๋อหยาจื่อ หลินสวินก็ยังใคร่ครวญเรื่องหนึ่งมาโดยตลอด
ตอนนั้นเขาเคยเจอศิษย์พี่เก้าเก่ออวี้ผู ที่ใต้ยอดเขากักเทพสวรรค์ซึ่งอยู่ในแท่นสักการะของแหล่งสถานคุนหลุน และเคยได้ยินเก่ออวี้ผูพูดถึงเรื่องศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิ เขาจำได้แม่นว่า ตอนนั้นผู้สืบทอดคีรีดวงกมลที่เข้าร่วมต่อสู้ มีเพียงศิษย์พี่ไม่กี่คนอย่างพวกเก่ออวี้ผูเท่านั้น
นี่ดูผิดปกติมาก
ควรรู้ว่าสมัยบรรพกาล คีรีดวงกมลก็มีผู้สืบทอดสี่สิบเก้าคนแล้ว อย่างเช่นศิษย์พี่หลี่เสวียนเวย ศิษย์พี่ผู่เจิน ศิษย์พี่หญิงจวินหวน….
ในบรรดาพวกเขาใครบ้างที่ไม่ใช่บุคคลที่แข็งแกร่งอย่างที่สุด แต่กลับไม่ได้เข้าร่วมในศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิเหมือนอย่างศิษย์พี่เก่ออวี้ผู นี่เป็นเพราะอะไร
อีกอย่างหลังจากศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิสิ้นสุดลง ศิษย์พี่เก่ออวี้ผูยังเคยบอกว่า เพราะเขาขอร้องท่านอาจารย์เจ้าสำนักคีรีดวงกมล ให้เขามาอยู่ที่ยอดเขากักเทพสวรรค์เพื่อกำราบจักรพรรดิอสูรมารตู๋เทียน แก้แค้นให้กับเหล่าศิษย์พี่ที่ร่วงหล่นในศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิ
ไม่เอ่ยถึงอย่างอื่น อย่างน้อยนี่ก็หมายความว่า หลังจากศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิสิ้นสุดลง ท่านอาจารย์เจ้าสำนักคีรีดวงกมลยังมีชีวิตอยู่!
เพียงแต่หากท่านอาจารย์ยังมีชีวิตอยู่ เหตุใดจึงไม่ปรากฏตัวมาตลอด
เห็นสำนักคีรีดวงกมลถูกทำลาย เหตุใดท่านอาจารย์จึงไม่ไปแก้แค้น
‘เรื่องนี้จะต้องมีความลับอื่นแน่’
หลินสวินใคร่ครวญอยู่นานก็คิดคำตอบไม่ออก
แต่เขารู้ว่าเหล่าศิษย์พี่ที่กระจายอยู่ทั่วโลก บางทีอาจจะกำลังล่องลอยเหมือนวิญญาณเร่ร่อน
แต่พวกเขาจะต้องทำเรื่องที่ไม่มีใครรู้บางอย่างเพื่อคีรีดวงกมลอยู่อย่างแน่นอน!
——