ตอนที่ 1931 กึ่งจักรพรรดิสามชั้น
หลังจากกึ่งจักรพรรดิสองคนอย่างสุ่ยชิวและจินจิ่วหลิงเข้าไป ภายในแดนลับนั้นก็เท่ากับมีกึ่งจักรพรรดิห้าคนกำลังต่อสู้ดุเดือดกับหลินสวิน!
เมื่อเหิงเซียวคิดถึงตรงนี้มุมปากก็กระตุก
ปีศาจเย้ยฟ้าเช่นนี้ ทอดสายตามองไปทั่วทั้งทางเดินโบราณฟ้าดารา ล้วนเรียกได้ว่าหายากเหมือนขนหงส์เขากิเลน
อย่างน้อยจากที่เหิงเซียวรู้มา ก็มีแค่ในขุมอำนาจใหญ่อย่างพวกหกเรือนมรรคใหญ่ถึงอาจจะได้พบเจอบ้าง
เวลาเคลื่อนคล้อยไปทีละนิด
ภายในแดนลับไม่เคยมีเสียงวิงวอนร้องขออะไรเล็ดลอดออกมา สิ่งนี้ทำให้เหิงเซียวลอบถอนหายใจโล่งอก หากยังไม่ไหวอีก เช่นนั้นก็คงต้องให้เขาออกโรงด้วยตัวเองแล้วจริงๆ…
วู้ม…
เวลาหนึ่งถ้วยชาให้หลัง ปากทางเข้าแดนลับปรากฏระลอกคลื่น เงาร่างของหลินสวินเดินซวนเซออกมา เสื้อผ้าขาดวิ่น ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างสะบักสะบอม
เมื่อมองดูดีๆ สีหน้าเขาล้วนซีดขาวไปพักหนึ่ง พลังปราณทั่วร่างอ่อนแรง
เหิงเซียวหนังตากระตุก กล่าวอย่างใส่ใจว่า “สหายน้อย เป็นพวกเขาลงมือโหดเหี้ยมเกินไปจนทำร้ายเจ้าแล้วหรือ”
หลินสวินส่ายหน้า ยิ้มกล่าวว่า “ไม่ใช่ การต่อสู้ครั้งนี้ถึงใจสุดๆ ยังต้องขอบคุณสหายยุทธ์ยิ่งแล้วที่ช่วยอนุเคราะห์”
เหิงเซียวหัวเราะ “เช่นนั้นก็ดีๆ สหายน้อยเพิ่งผ่านการต่อสู้ครั้งใหญ่มา อย่างไรก็กลับไปพักผ่อนเอาแรงให้เต็มที่ก่อน สร้างความมั่นคงให้ระดับขั้นตัวเองสักหน่อย”
หลินสวินพยักหน้าแล้วขอตัวจากไป
มองส่งเงาร่างของเขาจากไป เหิงเซียวอดทอดถอนใจไม่ได้ “อาจารย์อาเล็กของบรรพจารย์สำนักข้าคนนี้… ช่างร้ายกาจจนพูดไม่ถูกจริงๆ”
“ไม่ถูกสิ!”
ทันใดนั้นเหิงเซียวก็ตระหนักถึงความไม่เข้าที เหตุใดพวกหงอวี่ ไท่เจิงถึงยังไม่ออกมา
ร่างเขาพริบไหวเข้าไปในแดนลับนั่น ยามเห็นพวกหงอวี่กำลังขัดสมาธิอยู่บนพื้น ลูกตาเหิงเซียวก็แทบจะหลุดออกมา
ก็เห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นหงอวี่ ไท่เจิง หรือจินจิ่วหลิง สุ่ยชิว เฮ่อจู้ แต่ละคนบ้างก็จมูกเขียวหน้าบวม ใบหน้าไม่สมประกอบ บ้างก็อาภรณ์ยับเยิน น่าสมเพชดุจขอทาน…
นี่เป็นถึงกึ่งจักรพรรดิห้าคน เป็นคนใหญ่โตที่ชื่อเสียงเกรียงไกรของสำนักยุทธ์เสวียนจีเชียวนะ!
ทว่ายามนี้พวกเขาถึงกับถูกซัดหมอบทุกคน สภาพนั้น… ทำเอาเหิงเซียวยังทนดูต่อไปไม่ได้อยู่บ้าง
“เจ้าหนุ่มนั่นเป็นสัตว์ประหลาด!”
“เฮ้อ แก่แล้วๆ ใช้การไม่ได้แล้วจริงๆ”
“เรื่องในวันนี้ใครกล้าเผยแพร่ออกไป ข้าจะสู้ไม่คิดชีวิตกับเขาแน่นอน!”
พวกหงอวี่แต่ละคนกัดฟันกรอด สีหน้าเศร้าแกมโกรธ
เวลานี้เหิงเซียวยิ่งรู้สึกโชคดีขึ้นเรื่อยๆ ที่ตอนนั้นไม่ได้ไปแลกเปลี่ยนกับหลินสวินด้วยตนเอง หาไม่ สภาพของกลุ่มคนตรงหน้าคงต้องเป็นจุดจบของเขาอย่างแน่นอน
……
หลังจากกลับสู่ถ้ำสถิต หลินสวินก็เริ่มนั่งทำสมาธิ
การต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งระดับกึ่งจักรพรรดิห้าคนก่อนหน้านี้ สองฝ่ายต่างตกลงกันว่าจะไม่มีการใช้สมบัติและพลังที่เป็นไพ่ตายบางอย่าง
แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ จากพลังต่อสู้ตอนนี้ของเขา ก็สามารถต้านการร่วมมือกันของกึ่งจักรพรรดิห้าคนได้!
สภาพน่าอนาถของพวกหงอวี่ ไท่เจิงก่อนหน้านี้ อันที่จริงก็เป็นเพราะตอนเพิ่งเริ่มจำนวนคนยังน้อย ต้านการลงมือเต็มกำลังของหลินสวินไม่ไหว
จนกระทั่งพวกสุ่ยชิว จินจิ่วหลิงตามมาสมทบพร้อมกันในตอนสุดท้าย นี่จึงทำให้หลินสวินรู้สึกถึงแรงกดดันและการคุกคามใหญ่ยิ่ง ยามต่อสู้โรมรันถูกกดข่มลงไป
ทว่าหลินสวินมั่นใจยิ่ง ว่าหากใช้สมบัติไม่ก็พลังอภินิหารหยุดเวลา คนที่จะพ่ายแพ้ในท้ายที่สุดจะต้องไม่ใช่ตนอย่างแน่นอน!
และเมื่อผ่านการต่อสู้ครั้งนี้ ทำให้หลินสวินล่วงรู้ถึงพลังต่อสู้ของตนอย่างลึกซึ้ง ขณะเดียวก็ทำความเข้าใจนัยเร้นลับที่เป็นส่วนหนึ่งของระดับกึ่งจักรพรรดิได้ในที่สุด
กึ่งจักรพรรดิ เหนือกว่าเหล่าอริยะ เฉียดใกล้ระดับจักรพรรดิอย่างที่สุด!
ในระดับนี้พลังปราณสามสายอย่างหลอมกาย หลอมจิต และหลอมปราณของผู้ฝึกปราณ แต่ละอย่างจะควบรวม ‘เพลิงเทพมหามรรค’ ออกมา
และถูกเรียกอีกอย่างว่า ‘กึ่งจักรพรรดิสามเพลิงหลอม’!
ควบรวมเพลิงเทพมหามรรคอย่างหนึ่งออกมา ก็ถูกจัดเป็นระดับกึ่งจักรพรรดิหนึ่งชั้น
ควบรวมได้สองอย่าง เป็นกึ่งจักรพรรดิสองชั้น
เมื่อควบรวมเพลิงเทพมหามรรคอย่างหลอมกาย หลอมปราณ หลอมจิตได้ทั้งหมด ก็จะถูกมองเป็นกึ่งจักรพรรดิสามชั้น
ระดับกึ่งจักรพรรดิเก้าส่วนในโลก ล้วนติดอยู่ในระดับกึ่งจักรพรรดิหนึ่งชั้น
สาเหตุนั้นอยู่ที่ ผู้ฝึกปราณเหล่านี้ตั้งแต่เริ่มฝึกปราณ บ้างก็เน้นเคี่ยวกรำการหลอมปราณ ไม่ก็เน้นเคี่ยวกรำการกลหลอมจิต หรือไม่ก็เป็นหลอมกาย
และเพราะมรรคาที่เสาะแสวงหาจำกัดอยู่เพียงชนิดเดียว ฉะนั้นต่อให้หลังจากนี้จะเริ่มคำนึงถึงการฝึกปราณของอีกสองเส้นทางที่เหลือ ทว่าหลังจากบรรลุระดับกึ่งจักรพรรดิ เพราะติดที่รากฐานมหามรรค จึงได้แต่ติดแหง็กอยู่ที่ขั้นหนึ่งชั้น ไม่สามารถทะลวงขั้นได้เสียที
เหมือนอย่างกึ่งจักรพรรดิเหล่านั้นที่หลินสวินโจมตีสังหารก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นชวีเหรากับข่งอินจากเผ่าจักรพรรดิตระกูลข่ง หรือจะเป็นพวกระดับกึ่งจักรพรรดิตระกูลเฮ่อเหลียนหกคนนั่น
ก็แทบจะอยู่ระดับกึ่งจักรพรรดิหนึ่งชั้นกันทั้งนั้น
ขณะเดียวกันระดับกึ่งจักรพรรดิห้าคนของสำนักยุทธ์เสวียนจีอย่างพวกหงอวี่ ไท่เจิง ก็มีแต่หงอวี่ที่เป็นกึ่งจักรพรรดิสองชั้น สี่คนที่เหลือล้วนติดอยู่ที่หนึ่งชั้น
และจากที่หงอวี่ว่ามา ทั้งสำนักยุทธ์เสวียนจีก็มีเพียงเจ้าสำนักเหิงเซียวคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ในขั้นสมบูรณ์ของกึ่งจักรพรรดิสามชั้น
ตอนนี้หลินสวินก็รู้เพียงว่า ระดับกึ่งจักรพรรดิสามชั้น แต่ละชั้นยากลำบากยิ่งขึ้นไป หัวใจหลักก็อยู่ที่ความยากในการหลอม ‘เพลิงเทพมหามรรค’ ออกมา
สัตว์ประหลาดเฒ่าบางส่วนต่อให้อยู่มานานในกาลเวลาไร้สิ้นสุด แต่ก็เพราะไม่อาจควบรวมเพลิงเทพมหามรรค อย่างที่สองออกมาได้ พาให้ปราณหยุดชะงัก ไม่อาจก้าวหน้า!
นอกจากนี้ระดับกึ่งจักรพรรดิก็มีความแตกต่างของขอบเขตมกุฎด้วย
มกุฎกึ่งจักรพรรดิกับกึ่งจักรพรรดิทั่วไป ก็เหมือนกับข้อแตกต่างระหว่างมกุฎราชันอริยะกับราชันอริยะทั่วไป ต่างกันราวฟ้ากับเหวอย่างสิ้นเชิง ห่างชั้นกันหลายโข
แต่จากที่พวกหงอวี่ว่ามา บุคคลขอบเขตมกุฎทั่วหล้ามีมากมาย ระดับมกุฎอริยะก็มีให้เห็นถมเถ แต่มีเพียงมกุฎกึ่งจักรพรรดิที่หายากยิ่งกว่ายาก
สาเหตุก็เพราะ ยามที่ทะลวงระดับอริยะขึ้นไปจะประสบกับมหาเคราะห์แห่งยุคที่น่าสะพรึงถึงขีดสุด โดยเฉพาะมกุฎราชันอริยะ หากหมายจะฝืนแจ้งมรรคเหยียบย่างระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิ แทบจะไม่มีความหวังในการประสบความสำเร็จเลย!
ผู้ที่สามารถเหยียบย่างระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิ มีหนึ่งในหมื่น!
นี่คือความเห็นร่วมกันทั่วทั้งโลกฟ้าดารา
เมื่อเข้าใจข้อมูลเหล่านี้แล้ว ในที่สุดก็ทำให้หลินสวินรู้ชัดแจ้งว่า บางทีพลังต่อสู้ในปัจจุบันของตนอาจสามารถข้ามระดับใหญ่ไปสังหารพวกระดับกึ่งจักรพรรดิได้
แต่ถ้าบังเอิญเจอกับพวกน่าสะพรึงที่หาตัวจับยากถึงขีดสุดอย่างมกุฎกึ่งจักรพรรดิ จะต้องโชคร้ายมากกว่าดีอย่างแน่นอน!
‘มกุฎกึ่งจักรพรรดิ หนึ่งในหมื่น…ก็ไม่รู้ว่าตอนที่ทะลวงระดับอริยะ หมายจะก้าวสู่ระดับกึ่งจักรพรรดิ สิ่งที่ต้องพบเจอจะเป็นพิบัติเคราะห์ที่ยิ่งใหญ่ปานใด…’
เมื่อหลินสวินคิดถึงตรงนี้ก็อดหนาวเยือกไม่ได้ เส้นทางแห่งมกุฎเต็มไปด้วยอันตรายและสิ่งต้องห้ามตลอดกาล น่าสะพรึงสุดหยั่ง
จากวันนี้เป็นต้นไป หลินสวินปิดด่านอีกครั้ง
ในแง่ของพลังปราณ เขาอยู่ระดับมกุฎราชันอริยะขั้นปลายแล้ว ภายในเวลาอันสั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฝ่าทะลวงได้อีก
จิตใจของเขาจึงจดจ่ออยู่ที่การเคี่ยวกรำวีถียุทธ์และหยั่งถึงมหามรรค
……
เดือนที่สามที่หลินสวินปิดด่าน
ภายในถ้ำสถิตทั่วร่างหลินสวินสว่างเรืองรอง ละอองแสงเจิดจรัสดุจกระแสน้ำไหลเวียน และในปอดก็มีท่วงทำนองแห่งชีวิตที่น่าตกใจกำลังสั่นสะเทือนอยู่
ไม่ทนไรเมื่อเสียงกึกก้องประหนึ่งเบิกฟ้าแยกดินดังขึ้น ที่แท่นบูชาเหนือศีรษะหลินสวินพลันมีแสงขาวที่แสบตาหาใดเปรียบสายหนึ่งออกมาพุ่งออกมา
เจิดจ้าดุจดวงอาทิตย์ คมกริบแสบตา!
แสงสีขาวสายนั้นค่อยๆ ควบรวม กลายเป็นเงาร่างในชุดคลุมสีขาว ทั่วกายคละคลุ้งด้วยกลิ่นอายดุกร้าว ราวกับกระบี่เทพร่วงลงมาจากฟ้า ประกายคมของมันไร้ทัดเทียม แสงสะท้านเก้าชั้นฟ้า!
กายมรรคทองขาว!
ทองคือโลหะ ธาตุโลหะหนึ่งในห้าธาตุ คือต้นกำเนิดแห่งความกร้าวแกร่ง ความเหิมหาญแห่งสรรพสิ่ง ควบคุมพลังพิฆาตเยียบเย็น บรรจุแก่นแห่งพลังมรรควัฏจักร
นี่คือร่างแยกมหามรรคที่ฟูมฟักมาจากครรภ์เทพทองขาว กลิ่นอายของมันแหลมคมสะท้านโลก ดุกร้าวเผด็จการ มีท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่ตีแตกได้ทุกสิ่ง ทำลายได้ทุกอย่าง
นี่ก็คือร่างแยกมหามรรคร่างที่ห้า ที่หลินสวินควบรวมออกมาได้นับตั้งแต่ฝึกปราณมาจนถึงปัจจุบัน!
จนบัดนี้ครรภ์เทพอวัยวะตันห้าล้วนควบรวมเป็นร่างแยกมหามรรค ทำให้การฝึกฝนคัมภีร์มหามรรคหวงถิงของหลินสวินบรรลุถึง ‘ระดับห้ากลิ่น’ ขั้นสมบูรณ์แล้ว
ควรรู้ว่าคัมภีร์มหามรรคหวงถิงแบ่งออกเป็นสี่ระดับใหญ่ แยกเป็นห้าเร้น ห้าสี ห้ากลิ่น ห้าธรรม
ห้าเร้น คือการสั่งสมปราณวิญญาณแท้ในอวัยวะตันห้า
ห้าสี คือการใช้ปราณวิญญาณแท้ควบรวมเป็นครรภ์เทพอวัยวะตันห้า
ห้ากลิ่น ก็คือใช้ครรภ์เทพอวัยวะตันห้าหลอมเป็นกายมรรคห้าธาตุ ซึ่งก็คือระดับที่หลินสวินอยู่ในปัจจุบันนั่นเอง
ต่อไปก็คือระดับห้าธรรม ยามเมื่อบรรลุถึงระดับนี้ ร่างแยกมหามรรคห้าร่างก็จะมีจิตรับรู้และมรรควิถีเป็นของตน มีปราณที่ไม่ด้อยไปกว่าร่างต้น!
เพียงแต่ ระดับห้าธรรมคลุมเครือถึงขีดสุด เกี่ยวโยงไปถึงการแบ่งแยกมรรควิถีและนัยเร้นลับของจิตรับรู้ จากระดับในปัจจุบันของหลินสวิน ยังไม่สามารถไปหยั่งถึงและควบคุมได้
จากที่เขาคาดเดา ยามมีปราณระดับกึ่งจักรพรรดิเท่านั้น จึงอาจจะมีรากฐานพลังเพียงพอไปหยั่งถึงนัยเร้นลับของระดับห้าธรรม
ตูม!
เมื่อสารกาย พลังชีวิต และจิตวิญญาณของหลินสวินผสานเข้าไปในกายมรรคทองขาว การรับรู้แสนวิเศษอัศจรรย์นับไม่ถ้วนประหนึ่งกระแสน้ำเชี่ยวก็ไหลทะลักกลางใจ
หยั่งถึงเงียบๆ อยู่เนิ่นนาน หลินสวินในชุดขาวจิตขยับไหว พลังขับเคลื่อนทั่วร่างกู่ก้องทันควัน เห็นได้รางๆ ว่าปราณสีขาวทองอันคมปลาบร้ายกาจนับไม่ถ้วนพุ่งโฉบออกมาจากรูขุมขนบนผิวกายเขา เสมือนคมกระบี่นับล้านสายพุ่งทะลักออกมาพร้อมกัน แผ่แสงน่าสยดสยองออกมา
ห้วงอกาศละแวกใกล้เคียงล้วนถูกฉีกทำลาย ส่งเสียงร้องระเบิดกึกก้องออกมา
ทอดมองจากไกลๆ ทั้งตัวหลินสวินก็เหมือนกระบี่สวรรค์มาเยือนโลกเล่มหนึ่ง คมประกายเผยออกเสมือนจะฟันเฉือน ทำลายฟ้านี้ ดินนี้ สรรพสิ่งทั่ววัฏจักรนี้ให้สิ้นซาก!
“ควบ!”
หลินสวินยกมือขึ้น ปราณสีขาวทองนับไม่ถ้วนรอบๆ กายก็พุ่งไปรวมกันที่ฝ่ามือเขา สุดท้ายกลายเป็นลำแสงสายหนึ่ง
ลำแสงสายนั้นควบหลอมถึขีดสุด และกร้าวแกร่งถึงขีดสุดเช่นกัน บาดตาหาใดเปรียบ ราวกับสามารถฉีกทึ้งจิตวิญญาณของผู้คนได้
ทั้งถ้ำสถิตเวลานี้จมสู่บรรยากาศเคร่งขรึมที่น่าสะพรึงยิ่งยวดอย่างหนึ่ง!
ทว่าสุดท้าย เมื่อความคิดของหลินสวินผันเปลี่ยน ลำแสงที่บาดตากร้าวแกร่งถึงขีดสุดสายนี้ก็ค่อยๆ หายลับเข้าไปกลางฝ่ามือเขา
แต่ในใจหลินสวินไม่อาจสงบได้
เพราะอภินิหารนี้ มีชื่อว่า ‘หนามแสงคม’! เป็นพลังพรสวรรค์ของกายมรรคทองขาว อานุภาพหนึ่งหนามสะท้านจิตวิญญาณ!
จากที่หลินสวินคาดเดา ทันทีที่หนามแสงคมพุ่งโฉบ แม้จะเป็นกึ่งจักรพรรดิหนึ่งชั้น เกรงว่าก็ยังไม่อาจหลบได้
เพราะหนามนี้เร็วเกินไป แกร่งเกินไป เผด็จการเกินไป ควบรวมพลังของกายมรรคทองขาวเอาไว้ในหนึ่งเดียว ยามพุ่งโจมตีกะทันหัน อานุภาพที่ปะทุออกมาก็น่ากลัวเป็นที่สุด
‘กายมรรคไม้เขียวครอบครองพลังแห่งเป็นตายรุ่งโรจน์โรยร่วง กายมรรคดินเหลืองครอบครองประทับแห่งสรรพชีวิต กายมรรควารีดำครอบครองสามพันลี้วารียาว กายมรรคเพลิงแดงครอบครองเนตรผลาญเผา…’
‘ส่วนกายมรรคทองขาวนั้นครอบครองหนามแสงคม! พลังโจมตีชั้นยอดเช่นนี้ ต้องเป็นสิ่งที่คมกริบที่สุดในห้ากายมรรคอย่างไม่ต้องสงสัย’
หลินสวินหยั่งรู้นัยเร้นลับกายมรรคทองขาวเงียบๆ ในใจก็ร้องอุทานไม่สิ้น
ห้าร่างแยกมหามรรค พรสวรรค์แข็งแกร่งห้าอย่าง พลังที่ต่างกันสิ้นเชิงห้ารูปแบบ คัมภีร์มรรคเช่นนี้ เรียกได้ว่าสะท้านอดีตสะเทือนปัจจุบันอย่างที่สุด
ด้วยเหตุนี้ก็ยิ่งตระหนักได้ว่า ความเชี่ยวชาญในมหามรรคของศิษย์พี่เก้าเก่ออวี้ผูนั้นโดดเด่นน่าทึ่งปานใด!
——