ตอนที่ 1935 รถศึกเก้าสวรรค์
กลางห้วงอากาศ ยานสมบัติลำหนึ่งเคลื่อนที่เหินทะยาน
บนยาน ก้วนซวีจัดงานเลี้ยงขึ้น เชิญพวกหลินสวินสิบคนมาร่วมดื่มสุราพูดคุยกัน
“แคว้นกลางมรรค นับตั้งแต่อดีตก็มีฉายาว่า ‘สถานที่รวมเหล่าจักรพรรดิ ดินแดนบรรพจารย์มรรคเร้นกาย’ พวกคนเช่นข้า หลังจากไปถึงที่นั่นก็ดูไม่ได้เลยสักนิด”
ก้วนซวีทอดถอนใจ “ที่นั่นเจริญรุ่งเรืองและเฟื่องฟูหาใดเปรียบ ไม่เพียงขุมอำนาจมากมาย ผู้แข็งแกร่งเหลือหลาย สุ่มเลือกออกมาหนึ่งขุมอำนาจ ไปอยู่ในแคว้นอื่นยังประหนึ่งเจ้าเหนือหัวก็ไม่ปาน”
พวกหลินสวินรับฟังเงียบๆ ในใจก็อดเลื่อนลอยไม่ได้
แคว้นกลางมรรค!
ใจกลางของโลกใหญ่หงเหมิง แดนมรรคแห่งหนึ่งที่รุ่งโรจน์ที่สุดทั่วทั้งฟ้าดารา ลือกันว่าความกว้างใหญ่ของแคว้นนี้เสมือนไร้ขอบเขตไร้สิ้นสุด ไม่อาจวัดได้สักนิด
หากเทียบแคว้นอื่นในโลกใหญ่หงเหมิงเป็นดั่งทะเลสาบที่มีขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน เช่นนั้นแคว้นกลางมรรคก็เป็นมหาสมุทรใหญ่ผืนหนึ่ง!
“รอให้งานชุมนุมถกมรรคครั้งนี้สิ้นสุด หากมีเวลาว่าง พวกเจ้าสามารถท่องชมแคว้นกลางมรรคกันได้ ดื่มด่ำความรุ่งเรืองและตระการของแดนมรรคแห่งนี้สักหน่อย นี่ย่อมมีประโยชน์อันประเมินค่าไม่ได้ต่อการฝึกปราณในภายหน้าของพวกเจ้าอย่างแน่นอน”
ก้วนซวีก็เหมือนผู้อาวุโสที่โอบอ้อมอารีคนหนึ่ง พูดคุยเรื่อยเปื่อยกับพวกหลินสวิน ไม่ได้วางมาดแต่อย่างใด
หลินสวินไม่รู้ว่าคนอื่นๆ คิดอย่างไร แต่อย่างน้อยความประทับใจที่เขามีต่อก้วนซวีก็ดีเยี่ยมยิ่ง นี่คือผู้อาวุโสที่ใจกว้าง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ยิ่งคนหนึ่ง
“แน่นอน จุดหมายในการเดินทางของพวกเราในครั้งนี้คืองานชุมนุมถกมรรค รอให้ถึงแคว้นกลางมรรค ข้าจะพาพวกเจ้ามุ่งหน้าสู่ภูเขาเทพแสงเขียวทันที เรือนมรรคโลกาสวรรค์ที่ชื่อเสียงสะท้านโลกก็ตั้งอยู่บนนั้นด้วย”
“ถึงตอนนั้นระดับมกุฎราชันอริยะที่โดดเด่นที่สุดทั่วหล้า ต่างก็จะรวมตัวอยู่ที่นั่น เข้าร่วมงานชุมนุมถกมรรคเช่นเดียวกับพวกเจ้า”
“จากข้อมูลที่ข้าได้รับมา งานชุมนุมครั้งนี้มีผู้อาวุโสไท่ซูหง เจ้าสำนักเรือนมรรคโลกาสวรรค์เป็นเจ้าภาพด้วยตัวเอง!”
เมื่อก้วนซวีเอ่ยถึงตรงนี้ คนไม่น้อยต่างสูดหายใจสะท้าน
ไท่ซูหง!
บุคคลเทียมฟ้าคนหนึ่งที่แจ้งมรรคบรรลุจักรพรรดิมาเนิ่นนานก่อนหน้านี้ ชื่อเสียงสะท้านฟ้าดารา อานุภาพสะเทือนสี่ทิศ มีฉายา ‘มหาจักรพรรดิยอดฟ้า’
“พอจะคาดเดาได้ว่า ยามที่งานชุมนุมถกมรรคเปิดม่าน จะต้องมีระดับจักรพรรดิมากมายปรากฏตัวในงานชุมนุมในฐานะแขกกิตติมศักดิ์เป็นแน่…”
นัยน์ตาก้วนซวียังเผยแววตั้งตาคอย
งานชุมนุมถกมรรคครั้งหนึ่ง ไม่เพียงทำให้มกุฎราชันอริยะที่โดดเด่นเฉิดฉายนับไม่ถ้วนทั่วหล้ามารวมตัวอยู่ในที่เดียว ยังดึงดูดบรรดาจักรพรรดิเข้ามาร่วมชม เรียกได้ว่าไม่เคยมีมาก่อนในประวัติการณ์!
ตูม!
ทันใดนั้นไกลออกไปก็มีเสียงทำลายห้วงอากาศรุนแรงดังขึ้น
ก้วนซวีเงียบลงโดยพลัน หยัดกายขึ้นพาพวกหลินสวินเดินออกจากห้องโดยสาร ก็เห็นว่าในห้วงอากาศไกลออกไปมี ‘อสูรมังกรตะพาบเพลิง’ ตัวมหึมาหาใดเปรียบดุจดั่งแผ่นดินใหญ่ลอยฟ้า กำลังแล่นโฉบอยู่กลางห้วงอากาศ
บนหลังอสูรมังกรตะพาบเพลิงแบกภูเขาเทพงามวิจิตรลูกหนึ่ง บนภูเขาเทพมีหอเรือนตั้งเรียงรายเป็นทิวแถว
“ฮ่าๆๆ สหายยุทธ์ก้วนซวีเองหรือ”
บนอสูรมังกรตะพาบเพลิงปรากฏเงาร่างล่ำสันอย่างที่สุดสายหนึ่ง ส่งเสียงหัวเราะดังลั่น
“ที่แท้ก็สหายยุทธ์ซางหยานี่เอง”
ก้วนซวียิ้มพลางประสานมือคารวะ
“เฮ้อ ต้องเร่งเดินทาง ไม่คุยเล่นกับเจ้าแล้ว รอให้ถึงภูเขาเทพแสงเขียว ข้าค่อยไปชวนเจ้าดื่มสุรากันทีหลัง”
“ดี!”
“ขอตัวก่อน”
เงาร่างล่ำสันสายนั้นกล่าวทักทาย แล้วบังคับอสูรมังกรตะพาบเพลิงห้อตะบึงจากไป
“คนผู้นี้คือเจ้าสำนักสำนักยุทธ์หมู่ดารา สำนักอันดับหนึ่งของแคว้นดารา รับหน้าที่พาสิบอันดับแรกแคว้นดารามาร่วมงานชุมนุมถกมรรคครั้งนี้เหมือนกับข้า”
ก้วนซวีเอ่ยอธิบายประโยคหนึ่ง
“แคว้นดารา? ข้าจำได้ว่าอันดับหนึ่งแคว้นดาราชื่อสวีชิงเจียน คนผู้นี้ดูดีมีสง่า หน้าตาดุจภาพวาด ถูกมองเป็นเซียนอันดับหนึ่งแห่งแคว้นดารา”
มีคนหัวเราะเบาๆ “น่าเสียดายแล้ว เมื่อครู่ดันไม่ได้เห็นท่วงท่าสง่างามของโฉมงามแห่งยุคคนนี้กับตาตัวเอง”
คนไม่น้อยก็พลอยหัวเราะขึ้นมาด้วย
ในงานชุมนุมถกมรรคครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงหมู่ดาวพราวพร่าง ยังมีโฉมงามแห่งยุคในกระดานยอดจรัสฟ้าดารามากมายปรากฏตัวอีกด้วย!
สองวันให้หลัง
ยานสมบัติแล่นเข้าสู่อาณาเขตแคว้นกลางมรรค!
น่าเสียดาย เพื่อเร่งเดินทางพวกหลินสวินไม่สามารถดื่มด่ำทิวทัศน์ของแคว้นกลางมรรคอย่างละเอียดได้
“นี่คือ ‘เส้นทางห้วงอากาศ’ เชื่อมสู่ภูเขาเทพแสงเขียว เข้าไปในนั้น ภายในเวลาหนึ่งก้านธูปก็สามารถไปถึงเรือนมรรคโลกาสวรรค์”
เบื้องหน้ากำแพงเมืองเก่าแก่แห่งหนึ่ง มีอุโมงค์รุ้งวิเศษเป็นสายๆ ลอยอยู่ ก้วนซวีชี้ไปที่รุ้งวิเศษสายหนึ่งภายในนั้นแล้วกล่าวขึ้น
เส้นทางห้วงอากาศ!
เส้นทางที่เชื่อมต่อระหว่างเขตแดน เข้าไปในนั้นก็สามารถไปถึงปลายทางได้โดยตรง
มีเพียงขุมอำนาจใหญ่โตอย่างหกเรือนมรรคใหญ่ สิบเผ่านักรบใหญ่เท่านั้น จึงจะสามารถจัดวางเส้นทางวิเศษอัศจรรย์เช่นนี้ได้
หากเคลื่อนย้ายผ่านกระบวนค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ ก็ต้องผ่านกระบวนค่ายกลหลายต่อ ไม่เพียงสิ้นเปลืองผลึกมรรคมหาศาล ตอนที่เปลี่ยนกระบวนค่ายกลยังวุ่นวายถึงขีดสุด
ถึงอย่างไรแคว้นกลางมรรคนี่ก็กว้างใหญ่เกินไป ประหนึ่งกว้างขวางไร้ขอบเขต หากไม่อาศัยเส้นทางห้วงอากาศ ลำพังเพียงแค่จะไปถึงภูเขาเทพแสงเขียวยังต้องห้อทะยานไม่รู้กี่วันกี่คืน
“ไป”
ก้วนซวีหยิบป้ายคำสั่งโลกาสวรรค์อันลึกลับชิ้นหนึ่งออกมา โบกเบาๆ คราหนึ่ง ทันใดนั้นรุ้งวิเศษกลางห้วงอากาศสายหนึ่งก็ทอประกายแสงงดงามออกมา และปรากฏประตูบานหนึ่ง
เสียงสวบดังขึ้นหนึ่งครา ภายใต้การนำของก้วนซวี ยานสมบัติแล่นเข้าไปในนั้น พริบตาก็อันตรธานหายไป
ภายในเส้นทางห้วงอากาศเป็นทิวทัศน์อีกแบบหนึ่ง ราวกับเข้าสู่โลกขุ่นมัวที่คลุมเครือเลือนรางแห่งหนึ่งก็ไม่ปาน
และภายในเส้นทางห้วงอากาศที่เชื่อมสู่ภูเขาเทพแสงเขียวเส้นนี้ พวกหลินสวินมองเห็นเงาร่างมากมายไม่ขาดสาย
บ้างโดยสารยานสมบัติขนาดมหึมา บ้างควบขี่บนสัตว์ยักษ์ บ้างเหยียบเมฆมงคล บ้างบังคับสมบัติวิเศษ…
ตลอดทางก้วนซวีทักทายผู้คนไม่หยุด พร้อมกันนั้นก็แนะนำฐานะของอีกฝ่ายให้พวกหลินสวินรู้จัก ล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งที่มาจากแคว้นอื่นในโลกใหญ่หงเหมิงเช่นเดียวกับพวกเขา
อย่างเช่นแคว้นยมโลก แคว้นเขียว แคว้นหิมะเป็นต้น
“ที่แท้เจ้าหมอนั่นก็คือหมิงฉี่ยั่ง”
“คนเยอะจริงๆ กลิ่นอายแต่ละคนล้วนน่าสะพรึงปานนั้น…”
“นี่ถึงจะทำให้ผู้คนตั้งตาคอยไม่ใช่หรือ”
พวกลู่ตู๋ปู้ อู่หวง เซี่ยอวี่ฮวา หวังถูต่างก็พากันทอดถอนใจไม่สิ้น
ตลอดทางนี้พวกเขาได้เห็นคนโดดเด่นจากแต่ละแคว้นเยอะแยะมากมาย แต่ละคนล้วนมีมาดและบุคลิกแตกต่างกัน
ตั้งแต่ต้นจนจบหลินสวินมองดูเงียบๆ ความจริงแล้วในใจก็ร้องอุทานไม่สิ้นเช่นกัน
หากไม่เข้าร่วมงานชุมนุมถกมรรคครั้งนี้ ใครเลยจะคาดคิด ว่าคนโดดเด่นในใต้หล้านี้จะถึงกับมีมากปานนี้
ตูม!
ทันใดนั้นเสียงกัมปนาทสายหนึ่งดังกึกก้องบนเส้นทางห้วงอากาศนี้
รถศึกสำริดโบราณคันหนึ่งห้อตะบึงมาจากด้านหลัง ส่งเสียงอึกทึกครึกโครมราวกับฟ้าคำรามออกมา
ก็เห็นรถศึกสำริดคันนี้ดุจดั่งพาหนะของเทพดึกดำบรรพ์ ประกายศักดิ์สิทธิ์ไหลเวียน แสงมรรคพร่างพรม ปรากฏลักษณ์ประหลาดมหามรรคทั้งปวงออกมา
และสิ่งที่ลากรถศึกสำริดกลับเป็นนกดุร้ายสีเขียวแปดหัว มีปีกดุจเมฆที่ลู่ลงจากฟ้า มีขาหนึ่งข้าง ทั่วร่างแผ่เปลวเพลิงอันน่าสะพรึงไร้ขอบเขตออกมา กลิ่นอายระดับนั้นไม่ด้อยไปกว่าระดับกึ่งจักรพรรดิสักนิด!
สัตว์ร้ายดึกดำบรรพ์… นกปี้ฟาง!
ซ้ำยังมีแปดหัวเต็มๆ!
และยามนี้ กลับทำหน้าที่เป็นเพียงสัตว์ลากรถศึกเท่านั้น…
“รถศึกเก้าสวรรค์!”
“นี่คือพาหนะของจักรพรรดิกระบี่ยอดมาร!”
เงาร่างมากมายที่เร่งเดินทาง ล้วนเผยสีหน้าหวาดผวาขึ้นมาโดยไม่ได้นัดหมาย
พวกรุ่นอาวุโสบางส่วนที่นำทางยิ่งมีสีหน้ากริ่งเกรงหาใดเปรียบ รีบพาคนข้างกายถอยหลบไปอยู่ด้านข้างโดยไม่ลังเล แล้วค้อมกายก้มหัว
จักรพรรดิกระบี่ยอดมาร!
เจ้าตำหนักมหามรรคเก้าฟ้า หนึ่งในสามจอมจักรพรรดิมรรคมารฟ้าดารา บุคคลน่าสะพรึงที่เลื่องลือทั่วหล้า บารมีมารบันลือโลกคนหนึ่ง
ตำหนักมหามรรคเก้าฟ้า แม้รากฐานพลังจะไม่เท่ายักษ์ใหญ่อย่างพวกหกเรือนมรรคใหญ่ สิบเผ่านักรบใหญ่ แต่เพราะมีจักรพรรดิกระบี่ยอดมาร ต่อให้เป็นพวกยักษ์ใหญ่อย่างหกเรือนมรรคใหญ่ สิบเผ่านักรบใหญ่ ก็ยังไม่กล้าดูเบาการมีอยู่ของตำหนักมหามรรคเก้าฟ้า
กล่าวอย่างไม่เกินจริง จักรพรรดิกระบี่ยอดมารคนเดียวก็ยกทั้งตำหนักมหามรรคเก้าฟ้าให้ผงาดขึ้นได้!
และยามนี้ตอนที่เห็นพาหนะของจักรพรรดิกระบี่ยอดมารปรากฏขึ้น ใครจะไม่ตกใจ ใครจะกล้าไม่ยำเกรง
ชั่วขณะหนึ่งในพื้นที่ละแวกใกล้เคียงล้วนแหวกออกเป็นทางกว้างขวางถึงที่สุดสายหนึ่ง เงาร่างที่เร่งเดินทางนับไม่ถ้วนต่างถอยหลบไปด้านข้าง บรรยากาศเงียบกริบ
รวมถึงก้วนซวี เวลานี้ก็ยังค้อมกายก้มหัว และสื่อจิตกำชับพวกหลินสวิน บอกเล่าถึงสถานะของจักรพรรดิกระบี่ยอดมาร
‘น่าเกรงขามนัก!’
หลินสวินเองก็เผยสีหน้าสะท้านออกมาอย่างอดไม่ได้
แค่รถศึกคันหนึ่งปรากฏตัวเท่านั้น ยังไม่อาจฟันธงได้ว่าจักรพรรดิกระบี่ยอดมารอยู่ในนั้นหรือไม่ ทว่ายามที่ปรากฏออกมา กลับเหมือนจอมประมุขเสด็จ ทำเอาผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนต่างก้มหัวตลอดทาง!
จักรพรรดิกระบี่ยอดมาร นี่จะเป็นคนที่น่าสะพรึงปานใดกัน
หืม?
ทันใดนั้นนัยน์ตาหลินสวินก็ผุดแววประหลาดขึ้นมา บนตัวเขา ป้ายคำสั่งชิ้นหนึ่งที่ทิ้งไว้หลายปีจนเกือบจะถูกลืมไปแล้ว เวลานี้จู่ๆ ก็เรืองแสงสีเขียววูบหนึ่ง
…
บนรถศึกเก้าสวรรค์ ผ้าม่านปกคลุม พื้นที่ภายในนั้นกว้างใหญ่อย่างที่สุด ดุจดั่งตำหนักแปรพระราชฐานที่โอ่อ่าวิจิตรงดงามแห่งหนึ่ง!
เด็กสาวชุดขาวท่าทางงดงามบริสุทธิ์ นัยน์ตาดำขลับทอประกายสว่างไสวดุจหินหยกคนหนึ่ง ใช้มือเล็กขาวผ่องค้ำหน้า ท่าทางเหม่อลอย
บนโต๊ะตรงหน้านางมีผลไม้ประหลาดวิเศษและขนมเลิศรสจากทั่วฟ้าดารากองเกลื่อน ไม่ว่าชนิดใดล้วนเรียกได้ว่ามูลค่าล่มเมือง หายากถึงขีดสุด สามารถทำให้สัตว์ประหลาดเฒ่าบางส่วนน้ำลายไหลได้
และยามนี้ สมบัติล้ำค่าเหล่านี้ล้วนกลายเป็นอาหารว่างของเด็กสาวชุดขาว!
แต่ดูแล้วนางกลับไม่สนใจอาหารว่างพวกนี้เลยแม้แต่นิดเดียว…
“เสี่ยวฉง เป็นอะไรไป ยังคิดถึงเจ้าเด็กที่ชื่อหลินสวินคนนั้นอยู่อีกหรือ”
บนที่นั่งหลักตรงกลาง ชายวัยกลางคนที่สวมอาภรณ์สีเขียวคนหนึ่งจนปัญญาไปชั่วขณะ
เงาร่างของเขาผอมซูบ หว่างคิ้วกว้าง จอนผมขาวโพลน นั่งสบายๆ ก็เจือกลิ่นอายดุดันแข็งกร้าวอย่างหนึ่ง
ขณะพูด เขาปลดน้ำเต้าเปลือกเหลืองตรงเอวลงมา จิบสุราหนึ่งอึก ในใจค่อนข้างซับซ้อนอยู่บ้าง
ช่วงหลายปีมานี้สิ่งที่นางหนูเสี่ยวฉงคนนี้ใส่ใจและเฝ้าคิดถึงมากที่สุด ดันเป็นเจ้าเด็กอ่อนหัดจากดินแดนรกร้างโบราณคนนั้น
ควรรู้ว่าหลายปีมานี้ เพื่อชดเชยความผิดก่อนหน้านี้ เขารวบรวมสมบัติล้ำค่าทั่วหล้า ใช้สารพัดวิธีเพื่อเอาใจบุตรสาว
ขอเพียงเป็นสิ่งที่บุตรสาวร้องขอ เขาย่อมตกปากรับคำโดยไม่ลังเลเป็นอันขาด!
ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาจนปัญญาคือ บุตรสาวคนนี้ของตนดันยังเอาแต่เฝ้าคิดถึงคะนึงเจ้าเด็กที่ชื่อหลินสวินนั่นอยู่ตลอด!
สิ่งนี้ทำให้คนเป็นพ่ออย่างเขานึกอิจฉายิ่ง
“ท่านพ่อ ท่านว่าพี่หลินสวินจะเข้าร่วมงานชุมนุมถกมรรคด้วยหรือไม่”
เด็กสาวชุดขาวกล่าวเสียงใส
ชายชุดเขียวนวดขมับไปมา กล่าวว่า “นี่ก็พูดยาก ปีนั้นข้าบอกว่าจะพาเขามาฝึกปราณที่ทางเดินโบราณฟ้าดารา แต่เจ้าหมอนั่นดันปฏิเสธ ข้ายังสงสัยว่าจนป่านนี้เขาก็ยังอยู่ในดินแดนรกร้างโบราณ…”
น้ำเสียงหยุดชะงักทันควัน
เพราะจู่ๆ เขาก็เห็นว่าในดวงตากลมโตสุกใสของเด็กสาวชุดขาวมีหยาดน้ำตาคลอรื้น ท่าทางเหมือนปวดใจอย่างยิ่ง
ทันใดนั้นชายชุดเขียวก็ลนลานแล้ว เขาฝึกปราณจนป่านนี้ ผงาดกร้าวทั่วหล้า ผ่าเผยอหังการ ไม่เกรงกลัวสิ่งใด ไม่เห็นสิ่งใดในสายตาทั้งสิ้น
ทว่าเวลานี้ กลัวก็แต่บุตรสาวจะไม่อภิรมย์!
………………..