ตอนที่ 1953 เรื่องราวบนโลกก็เช่นนี้แหละ
เสวียนคง!
ชื่อนี้ทำให้ในใจระดับจักรพรรดิที่อยู่ที่นี่เกิดคลื่นอารมณ์บางอย่าง
เมื่อครั้งอดีต ในหมู่พวกเขาก็มีหลายคนที่ยังไม่ได้แจ้งมรรคบรรลุจักรพรรดิ จะว่าไปก็เป็นคนรุ่นเดียวกับเสวียนคง
แต่ในสมัยนั้น รัศมีของพวกเขาถูกคนผู้หนึ่งบดบังโดยสมบูรณ์ นั่นก็คือผู้สืบทอดอันดับที่สี่สิบเก้าของคีรีดวงกมล…
เสวียนคง!
“เสวียนคง… เฮ้อ!”
จู่ๆ ไท่ซูหงก็ส่งเสียงถอนหายใจยาว ศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิในตอนนั้น เรือนมรรคโลกาสวรรค์รักษาจุดยืนเป็นกลาง วางตัวเป็นคนนอก แต่สำหรับการร่วงหล่นของเสวียนคง ในใจไท่ซูหงยังอดเสียดายไม่ได้
ตอนนั้นสัตว์ประหลาดเฒ่าที่จัดกระดานราชันอริยะปวงสวรรค์โดยเฉพาะคนหนึ่งเคยประเมินว่า หากเสวียนคงบรรลุจักรพรรดิ จะต้องโดดเด่นที่สุดในระดับจักรพรรดิอย่างแน่นอน!
น่าเสียดาย…
ตำนานที่เป็นหนึ่งในช่วงเวลาหนึ่ง กลับร่วงหล่นในศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิ…
“มีอะไรน่าเสียดาย พวกคีรีดวงกมลล้วนสมควรตาย!”
หว่างคิ้วของจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงเต็มไปด้วยความเย็นเยียบ
“เรื่องในอดีตพวกนี้อย่าพูดถึงอีกเลย แม้เสวียนคงร่วงหล่นไป แต่ก็เคยเป็นผู้ที่ตอนนั้นคนรุ่นเราทำได้เพียงชื่นชม หมีอู๋หยาคนนี้เองก็ไม่ธรรมดา เทียบกับเสวียนคง สิ่งที่ขาดไปก็แค่โอกาสในการพิสูจน์ให้โลกเห็นว่าตนไร้ศัตรูจริงๆ”
ไท่ซูหงเอ่ยเสียงขรึม “และงานชุมนุมถกมรรคครั้งนี้ สำหรับหมีอู๋หยาก็เป็นโอกาสครั้งหนึ่งแล้ว ทุกคนรอดูก็พอแล้ว”
……
เวลาล่วงเลยไป ภายใต้การคัดเลือกถกมรรคที่ดุเดือดและโหดร้าย เวลาในแดนลับโลกาสวรรค์ได้ผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว
ครึ่งเดือนนี้มีการเข่นฆ่าและการต่อสู้ดุเดือดเกิดขึ้นแทบจะทุกวัน ไม่ว่าจะเพื่อช่วงชิงยันต์ชีวิตหรือเพื่อรักษาชีวิต ผู้ฝึกปราณทุกคนล้วนแข่งขันกันอย่างสุดกำลัง
จนถึงตอนนี้ ผู้เข้าร่วมการถกมรรคหนึ่งพันแปดร้อยสี่สิบเก้าคนได้ถูกคัดออกไปเกินครึ่งแล้ว เหลือผู้แข็งแกร่งเพียงหกร้อยกว่าคนที่ต่อสู้อยู่ภายใน
ในนั้นผู้แข็งแกร่งที่มาจากแคว้นต่างๆ เสียหายมากที่สุด เป็นส่วนใหญ่ของผู้แข็งแกร่งที่ถูกคัดออก
พวกปีศาจที่มาจากโลกอื่นๆ ในฟ้าดาราก็เสียหายไม่น้อย แต่ในขณะเดียวกันก็ปรากฏพวกร้ายกาจสะดุดตาอย่างมากกลุ่มหนึ่ง
อย่างเช่นจิ่งเทียนหนานที่มากจาก ‘เขตแดนดาราลักษณ์แก้ว’ หนึ่งในเขตแดนมหาดาราเก้าบน มรรคกระบี่แข็งแกร่ง โดดเด่นยิ่งยวด
หรืออย่างเวินอวี๋ที่มาจาก ‘เขตแดนดาราไป๋ถู’ ครอบครองเขตแดนมรรค ‘กระแสเหินธารดารา’ เหล่าผู้มีชื่อเสียงที่มีชื่ออยู่ในกระดานราชันอริยะปวงสวรรค์ล้วนถูกเขากำราบ เหิมฮึกกล้าหาญ
ปีศาจอย่างพวกจิ่งเทียนหนาน เวินอวี๋ ความร้ายกาจในพลังต่อสู้ล้วนเรียกได้ว่าตะลึงโลก ทำให้ระดับจักรพรรดิซึ่งอยู่โลกภายนอกต่างต้องหันมอง
เมื่อเทียบกันแล้ว ผู้แข็งแกร่งที่มาจากแคว้นกลางมรรคอย่างหกเรือนมรรคใหญ่ สิบเผ่านักรบใหญ่เสียหายน้อยที่สุด
อีกทั้งส่วนที่เสียหายไป มีครึ่งหนึ่งคือพวกที่ถูกคัดออกเพราะหลินสวิน และเรื่องนี้ก็ทำให้ชื่อ ‘จินตู๋อี’ ของหลินสวินยิ่งดึงดูดความสนใจ
และเช่นกัน ว่าทำให้พวกจู่เฟยอวี่ ถูเชียนเจวี๋ย ข่งเจายิ่งเจ็บแค้นยิ่งขึ้นเช่นกัน เพราะเหล่าผู้แข็งแกร่งที่ถูกคัดออกไปภายใต้น้ำมือหลินสวิน ส่วนใหญ่มาจากขุมอำนาจเบื้องหลังพวกเขา
ดังนั้นแม้เวลาจะผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว การค้นหาจับกุมหลินสวินก็ยังคงดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้น
……
วู้ม…
กระบวนผนึกลายมรรคที่คลุมเครือไหวเคลื่อนระลอกหนึ่ง ทำให้หลินสวินที่ทำสมาธิอยู่ในถ้ำใต้ดินตกใจ
“เสวียนเยวี่ย พวกเราควรเปลี่ยนที่แล้ว”
หลินสวินว่าแล้วลุกขึ้นยืน
ช่วงนี้เขากับจินเทียนเสวียนเยวี่ยจะเปลี่ยนที่ซ่อนทุกวันสองวัน
การหลบซ่อนทุกครั้ง หลินสวินจะวางกระบวนผนึกลายมรรคไว้มากมาย
บ้างวางอยู่หน้าถ้ำเพื่อบดบังกลิ่นอาย บ้างวางอยู่ในทิศทางที่ต่างกันห่างออกไปจากถ้ำหลายพันจั้ง เพื่อเตือนภัยล่วงหน้า
อย่างเช่นตอนนั้น คลื่นคลุมเครือที่ทำให้หลินสวินตกใจ ก็มาจากกระบวนผนึกลายมรรคที่อยู่ห่างออกไปหลายพันจั้ง บ่งบอกว่ามีผู้แข็งแกร่งเข้าใกล้พื้นที่แถบนี้แล้ว
มีกระบวนผนึกที่หนาแน่นและเข้มงวดเช่นนี้ ทำให้หลายวันมานี้หลินสวินและจินเทียนเสวียนเยวี่ยไม่ได้เจออันตรายอะไร
“ได้”
จินเทียนเสวียนเยวี่ยพยักหน้า ตอนนี้อาการบาดเจ็บของนางฟื้นฟูอย่างสิ้นเชิงแล้ว ฟื้นคืนชีวิตชีวาเหมือนก่อนหน้านี้ รูปลักษณ์งดงาม ท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ราวกับเซียน
ระหว่างเดินออกจากถ้ำหลินสวินก็เก็บกระบวนผนึกที่วางไว้ไปด้วย ขณะกำลังเตรียมจะจากไปเงียบๆ พร้อมกับจินเทียนเสวียนเยวี่ย กลับหยุดชะงักไปทันที
ครู่ต่อมาเขาพลันยิ้มพูดว่า “บังเอิญจริงๆ ครั้งนี้ไม่ใช่ศัตรูแต่เป็นคนรู้จัก ไป พวกเราไปเจอพวกเขาสักหน่อย”
“คนรู้จักหรือ”
จินเทียนเสวียนเยวี่ยคิดพลางเดินตามไป
……
บนทุ่งรกร้างแห่งนี้ ตอนที่สัมผัสได้ถึงพลังกระบวนผนึกลายมรรคที่ถูกกระตุ้น พวกลู่ตู๋ปู้หัวใจบีบรัดวูบหนึ่ง หลบไปไกล
หลังสังเกตอยู่ครู่หนึ่งแล้วเห็นว่าไม่มีอันตราย ลู่ตู๋ปู้จึงพูดว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ นี่เป็นกระบวนค่ายกลป้องกันแห่งหนึ่ง หากถูกสัมผัสก็จะถูกผู้แข็งแกร่งที่ซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่นี้สังเกตเห็น”
“พวกชอบหลบซ่อนมักจะรอบคอบและระมัดระวังที่สุด แต่พวกเราจะบุกเข้าไปโดยพลการไม่ได้”
เซี่ยอวี่ฮวารีบพูดว่า “คราวนี้พวกเราทำได้เพียงเปลี่ยนทิศทางอีกครั้งแล้ว”
“น่าชังนัก!”
ใบหน้าอ่อนเยาว์เหมือนเด็กของหวังถูเผยความเหี้ยมโหด “จนถึงตอนนี้ สถานการณ์ในแดนลับโลกาสวรรค์ร้ายแรงและอันตรายขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”
“ที่น่ากลัวที่สุดคือ เพราะจินตู๋อีถูกตามจับ ทำให้ในแดนลับโลกาสวรรค์ไม่มีที่ซ่อนตัวที่ปลอดภัยอีก!”
เขายิ่งพูดยิ่งโมโห
อันที่จริงหลายวันมานี้ ไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ไหนก็จะถูกจับจ้อง ไม่ว่าจะซ่อนตัวที่ไหน ไม่นานก็ถูกพบตัว
มีหลายครั้งที่พวกเขาเกือบถูกคัดออก!
“ไม่ใช่เพราะพวกเราโชคร้าย และไม่โทษจินตู๋อี แดนลับโลกาสวรรค์ในตอนนี้มีผู้แข็งแกร่งถูกคัดออกไม่รู้เท่าไหร่แล้ว คนที่สามารถอยู่รอดได้แต่ละคนล้วนแข็งแกร่ง เทียบกันแล้วพวกเราดูด้อยกว่าไม่น้อย”
เซี่ยอวี่ฮวาอดพูดไม่ได้ “ในแคว้นเมฆา พวกเราสามารถวางมาดในหมู่คนรุ่นเดียวกันได้ เย่อหยิ่งภาคภูมิ แต่ตอนนี้ในแดนลับโลกาสวรรค์ พวกเรา… กลายเป็นเหยื่อในสายตาคนอื่นเท่านั้น”
ในเสียงเผยความขมขื่น
หลายวันมานี้หากไม่ใช่เพราะพวกเขาร่วมมือกันคงถูกคัดออกออกไปนานแล้ว
แต่ทุกคนต่างรู้ว่า เมื่อเวลาเคลื่อนคล้อยไป คนระดับพวกเขามีความเป็นไปได้สูงมากที่จะถูกคัดออกตลอดเวลา!
“เหตุใดจึงไม่โทษจินตู๋อี”
หวังถูพูดอย่างไม่พอใจ “คนอื่นๆ พอรู้ว่าพวกเรามาจากแคว้นเมฆาก็ไม่กล้าร่วมมือกับพวกเรา กลัวจะถูกผู้สืบทอดของขุมอำนาจใหญ่อย่างพวกเรือนมรรคจักรวาล เรือนมรรคเหล่ามาร และเรือนมรรคดึกดำบรรพ์เข้าใจผิดจนติดร่างแหไปด้วย”
“ถึงขั้นที่หลายคนยังเอ็ดตะโรหมายจะจับพวกเราเพื่อข่มขู่ให้จินตู๋อีปรากฏตัว นี่จะไม่โทษจินตู๋อีได้หรือ”
“ข้าว่าที่พวกเราตกต่ำลำบากเช่นนี้ เหตุผลส่วนใหญ่ก็เพราะเจ้าคนแซ่จินนั่น”
เซี่ยอวี่ฮวาขมวดคิ้ว “ตัวเองไม่เอาไหน จะโยนความผิดให้คนอื่นได้อย่างไร”
“พอแล้ว!”
ลู่ตู๋ปู้พูดตัดบท “ไม่ต้องพูดถึงเรื่องพวกนี้แล้ว เรื่องเร่งด่วนตอนนี้คือหาที่ที่สามารถซ่อนตัวได้ ให้ซูมู่หานรักษาแผล!”
ด้านข้างซูมู่หานที่เงียบมาตลอดสีหน้าซีดเซียว เขาก่อนหน้านี้ได้รับบาดเจ็บหนักในการต่อสู้ครั้งหนึ่ง จนตอนนี้ยังไม่ฟื้นตัว
หวังถูกและเซี่ยอวี่ฮวาเงียบไปทันที
เพียงแต่ตอนที่พวกเขาตัดสินใจจะเปลี่ยนทิศทาง ออกห่างจากพื้นที่แห่งนี้ เงาร่างอันคุ้นเคยสองสายพลันทะยานมาจากไกลๆ
พวกลู่ตู๋ปู้อึ้งไปทันที
“พี่จิน แม่นางเสวียนเยวี่ย? เหตุใดจึงเป็นพวกเจ้า”
ลู่ตู๋ปู้หลุดปากออกมา เขาประหลาดใจมากจริงๆ คิดไม่ถึงเลยว่าจะเจอหลินสวินและจินเทียนเสวียนเยวี่ยที่นี่
คนอื่นๆ เองก็อึ้งไปเช่นกัน
หวังถูสีหน้าแข็งทื่อไปเล็กน้อย ในแววตากลับไม่ปกปิดการต่อต้านและปฏิเสธเลยสักนิด
มุมปากของซูมู่หานกระตุก ในใจถอนหายใจระลอกหนึ่ง ช่างบังเอิญจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าที่พวกเขาคุยกันเมื่อครู่นี้จินตู๋อีจะได้ยินหรือไม่
เซี่ยอวี่ฮวาสีหน้าซับซ้อน
เวลาครึ่งเดือน ชายคนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ได้กลายเป็นหนึ่งในผู้มีชื่อเสียงที่ถูกจับตามองที่สุดในแดนลับโลกาสวรรค์ไปแล้ว
แม้ตอนนี้เขากลายเป็นเป้าหมายโจมตีของทุกคน สถานการณ์ไม่สู้ดี แต่ยังคงไม่สามารถเปลี่ยนความจริงที่ว่าเขาแข็งแกร่งได้!
“ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอทุกคนที่นี่”
หลินสวินกวาดสายตามองทุกคนแล้วยิ้มพูด “จริงสิ เหลิ่งซิวเจียเคลื่อนไหวกับพวกเจ้าไม่ใช่หรือ เขาล่ะ”
“พี่จินไม่เจอเขาหรือ”
เซี่ยอวี่ฮวาอดพูดไม่ได้
หลินสวินชะงัก “หมายความว่าอย่างไร”
เซี่ยอวี่ฮวาก้มหน้าพูด “พวกเรา… ได้ยินว่าสถานการณ์ของเจ้าไม่สู้ดี เหลิ่งซิวเจียจึงจากไปเพียงลำพังตั้งแต่ห้าวันก่อนแล้ว บอกว่าจะไปหาเจ้า”
น้ำเสียงไม่เป็นธรรมชาติอยู่บ้าง
จินเทียนเสวียนเยวี่ยจับสังเกตได้อย่างฉับไว พลันเอ่ยว่า “แต่เหตุใดเขาจึงจากไปคนเดียว คงไม่ใช่ว่า… ตอนนั้นพวกเจ้าไม่ได้คิดจะช่วยข้ากับพี่จิน เหลิ่งซิวเจียจึงเคลื่อนไหวเพียงลำพังหรอกกระมัง”
ในใจเซี่ยอวี่ฮวาขมขื่น
หวังถูกลับพูดอย่างเย็นเยียบ “แม่นางเสวียนเยวี่ย เรื่องช่วยคนช่วยไปก็กลายเป็นบุญคุณ ไม่ช่วยก็เท่าทุน ตอนนั้นพวกเรายังเอาตัวเองไม่รอด จะช่วยพวกเจ้าได้อย่างไร”
เขาหยุดไปครู่หนึ่งค่อยพูดต่อว่า “อีกอย่าง ภัยนี้จินตู๋อีเป็นคนก่อ แต่ตอนนี้แม้แต่พวกเราก็พลอยลำบากไปกับเขาด้วย!”
ในน้ำเสียงเผยความขุ่นเคืองอย่างชัดเจน
ทันใดนั้นบรรยากาศพลันกดดันและอึดอัดขึ้นมา
หลินสวินมองเห็นทุกอย่างนี้กับตา รับฟังทั้งหมดด้วยใจ ยิ่งเห็นสายตาของพวกลู่ตู๋ปู้ก็เข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว
จินเทียนเสวียนเยวี่ยรู้สึกไม่ชอบใจมาก พูดเสียงเย็นชา “พี่จินเห็นทุกคนเป็นคนกันเอง ตอนที่เถิงอี๋เฉินกับกุยซานสิงประสบเคราะห์ก็เข้าช่วยเหลือในทันที หวังถู เจ้ากลัวจะหาเรื่องใส่ตัว ไม่อยากช่วย ก็ไม่จำเป็นต้องพูดแดกดัน”
ความจริงคนรู้จักเจอกันควรจะเป็นเรื่องที่มีความสุข แต่ภาพตรงหน้าทำให้ในใจจินเทียนเสวียนเยวี่ยรู้สึกรังเกียจขึ้นมา
ไม่ช่วยก็ไม่ช่วย ต่างเข้าใจกันอยู่แล้ว แต่การโยนความผิดทั้งหมดให้คุณชาย แบบนี้มันเกินไปแล้ว
“เอาล่ะ ทุกคนเลิกเถียงกันได้แล้ว”
ลู่ตู๋ปู้ยิ้มขื่นห้ามปราม “พี่จิน ก่อนหน้านี้พวกข้าไม่ได้ไปช่วยเจ้า ก็เพราะสถานการณ์ของตนเองร่อแร่ หาใช่ไม่ยินยอม แต่ไม่สามารถ หวังว่าเจ้าจะเข้าใจ”
หลินสวินยิ้ม พยักหน้าพูด “เข้าใจ”
ว่ากันถึงแก่นแท้ ระหว่างเขากับพวกลู่ตู๋ปู้ไม่ได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งนัก เพียงแค่มาจากแคว้นเมฆาเหมือนกันเท่านั้น
ช่วยหรือไม่ก็แล้วแต่
“พี่ลู่ พวกเรารีบไปกันเถอะ เดี๋ยวจะถูกเข้าใจผิดจนทำให้พวกเราเดือดร้อนอีก”
หวังถูพูดอย่างเหลืออด
ประโยคเดียวทำให้หลินสวินขมวดคิ้วอย่างยากจะสังเกตเห็น
……………………………..