ต้นไม้เก่าแก่ไหวกระเพื่อม ใบเขียวขจี เขียวมรกตเสียดฟ้า
บนนั้นมีกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์คละคลุ้ง หงส์ทมิฬร่าเริงสดใสจับจองอยู่บนนั้น สางปีกที่งดงามราวกับไฟอย่างละเมียดละไม
ใต้ต้นไม้โบราณ ภิกษุถกธรรม หญิงสาวค้อมศีรษะเสวนากับเขา
เงาร่างทั้งคู่ต่างชโลมด้วยแสงธรรมศักดิ์สิทธิ์ แปลกแยกปานเซียนเหินฝนแสง ดุจดั่งภาพฝันมายา
หลินสวินหยุดยืนอยู่ไกลๆ ในใจงุนงง ห้วงเวลาประดุจย้อนกลับไปยังช่วงบรรพกาล ทุกสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าคลับคล้ายว่าอยู่ท่ามกลางแดนพิสุทธิ์อิรยะศักดิ์สิทธิ์
นี่เป็นดินแดนแห่งอริยะเทพแน่นอน!
หลินสวินถึงขั้นกล้าฟันธงว่า ภิกษุที่ลักษณะเรียบง่ายและผ่องพิสุทธิ์ กับหญิงสาวงดงามที่กิริยาโดดเด่นไร้ที่เปรียบนั้น ก็คืออริยสงฆ์ตู้จี้และนางพญาหงส์ดำเลือดทมิฬอย่างแน่นอน
และต้นไม้ใหญ่ที่กลิ่นอายเก่าแก่ แสงเขียวเสียดฟ้าต้นนั้นก็อาจเป็นต้นโพธิ์!
เสียงถกธรรมเป็นระยะดังขึ้นพาให้หัวใจหลินสวินจมจ่อมอยู่ในนั้น ไม่สามารถคิดเรื่องอื่นได้อีกเลย
“หากต้องการอยู่เหนือวิชาข้ามเคราะห์ มีเพียงผสานนัยเร้นลับของเคล็ดวิชาแห่งการจุติและคัมภีร์มหากษิติครรภ์เข้าด้วยกันเท่านั้น บางทีอาจจะสามารถสรรสร้างคัมภีร์อริยะที่เหนือกว่าที่ผ่านมาได้”
“เช่นนั้นนับแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะถกธรรมที่นี่กับเจ้า หากสามารถบรรลุสิ่งที่ปรารถนา ต่อให้ต้องตายเก้าหนก็ไม่นึกเสียใจ”
“ประเสริฐยิ่ง!”
ใต้ต้นโพธิ์ ตู้จี้และนางพญาหงส์ทมิฬเสวนากัน แต่ละคำแต่ละประโยคผุดเผยนัยเร้นลับแห่งมหามรรคออกมา สั่นสะเทือนราวกับระฆังยามเช้ากลองยามค่ำ
ดอกไม้ผลิบานดอกไม้ร่วงโรย กาลเวลาผันผ่านไป
ทั้งคู่ไม่รู้ตัวว่าเวลาเคลื่อนคล้อย ต่างฝ่ายต่างอนุมานวิชามรรค บรรยายความรู้และความเข้าใจที่ตนมีต่อมหามรรค
กลางฟ้าดิน สิ่งที่ก้องสะท้อนล้วนเป็นเสียงธรรมอัศจรรย์ พาให้บรรยากาศบริเวณนี้ยิ่งศักดิ์สิทธิ์และเงียบสงบขึ้นเรื่อยๆ
ต้นโพธิ์ปลิวพลิ้วไหวกระเพื่อม แสงเขียวมรกตสาดพรมประหนึ่งว่าสดับฟังแก่นอัศจรรย์มหามรรคด้วยเช่นกัน และกำลังทำความเข้าใจวิชาและมรรคของอริยะทั้งสอง
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร หลินสวินนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น สีหน้าลุ่มหลงงงงัน สติสัมปชัญญะมึนตื้อ ในใจไหลล้นด้วยแก่นอัศจรรย์อันประณีตแห่งมหามรรคมากมาย
เวลาผันผ่านโดยไม่รู้ตัว ลืมเลือนฟ้าแห่งนี้ ดินแห่งนี้ และคนผู้นี้
ส่วนหยั่งรู้ถึงสิ่งใดกันแน่นั้น หลินสวินเองก็ยังไม่รู้ เป็นดังคำกล่าวที่ว่า ที่แห่งนี้มีความหมายแท้จริง แต่หากจะแยกแยะกลับพูดไม่ออก
กาลเวลากำลังเคลื่อนคล้อย เพียงดีดนิ้วก็ผ่านไปหลายวสันตสารทแล้ว
ต้นโพธิ์เริ่มแข็งแรงและทนทานขึ้นเรื่อยๆ ลำต้นทะยานเสียดฟ้า กิ่งก้านแน่นขนัดแผ่ขยายไปทั่วห้วงอากาศทุกสารทิศ พร่างพรมแสงมรกตพราวระยับมากมายออกมา
ใต้ต้นไม้ ภิกษุและหญิงสาวเสวนากันเป็นครั้งคาว แต่เริ่มนิ่งเงียบขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังถกธรรมถึงช่วงสำคัญ ต่างฝ่ายต่างใช้ความอุตสาหะและสติปัญญาในการอนุมานมรรคใหม่เอี่ยม
มีเพียงยามที่ได้ในสิ่งที่หวังเท่านั้น จึงจะยืนยันและเสวนากัน
หลินสวินไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องทั้งหมดนี้ ร่างกายและจิตใจของเขาอยู่ในสภาวะอัศจรรย์แห่งความ ‘คลุมเครือ’ อย่างหนึ่ง ถูกแก่นอัศจรรย์มหามรรคท่วมท้นราวกับน้ำพุก็ไม่ปาน
……
นี่เรียกได้ว่าเป็นประสบการณ์แจ้งมรรคที่ข้ามอดีตปัจจุบัน ทำลายกำแพงกั้นแห่งช่วงเวลา มหัศจรรย์สุดจะบรรยาย
ราวกับย้อนสู่ยุคบรรพกาล สดับฟังอริยะทั้งสองถกธรรมและสรรสร้างวิชา เปี่ยมด้วยกลิ่นอายน่าเหลือเชื่อ
ที่น่าเสียดายคือแก่นอัศจรรย์ที่หลินสวินรับฟังทั้งหมดนั้น จำกัดอยู่แค่ระดับของตน ทำได้เพียงหยั่งรู้แก่นมรรคที่ต่ำกว่าระดับราชา
ส่วนมรรคกับวิชาที่อริยะทั้งสองถกกันนั้น สูงเกินกว่าระดับอริยะไปตั้งนานแล้ว!
แต่ว่า หลินสวินไม่รู้สึกถึงสิ่งนี้ด้วยซ้ำ เวลานี้เขาลืมเลือนตัวตน หกรับรู้อย่าง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ล้วนลืมไปโดยสิ้นเชิง ถูกแก่นอัศจรรย์มหามรรคปิดครอบทั้งสิ้น
……
ก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน บางทีอาจเป็นการกลับชาติหนึ่งภพ หรืออาจเป็นเพียงชั่วครู่ ระหว่างที่งุนงงสับสน ความรู้สึกทุกอย่างในใจหลินสวินก็สะดุ้งตื่นโดยพลัน
ก็เห็นใตต้นโพธิ์ไกลออกไป ตู้จี้หนวดเคราดั่งหิมะ สภาพแก่หงำเหงือก ผิวหนังทุกส่วนเหมือนผิวไม้เหี่ยวแห้งปริแตก คล้ายใกล้จะลาโลก
ส่วนนางพญาหงส์ดำเลือดทมิฬก็มีสภาพซูบผอมซีดเซียวเช่นเดียวกัน ใบหน้างามเรื่อไม่เหลือหลอ ผมแซมสีขาว เผยให้เห็นสัญญาณของแสงเทียนกลางสายลม
ภาพที่เห็นเบื้องหน้าพาให้ในใจหลินสวินเกิดความรู้สึกประหลาด รู้สึกถึงความตื่นตะลึงยากจะบรรยาย อานุภาพแห่งกาลเวลาเคลื่อนคล้อย ความเศร้าโศกที่ช่วงเวลาดีๆ ผันผ่าน สะท้อนให้เห็นจุดอิ่มตัวเต็มบริบูรณ์ในขณะนี้
เพียงแต่ดวงตาของตู้จี้และนางพญากลับเปล่งประกายดั่งดวงดาวพร่างฟ้า ไพศาลกระจ่างแจ้ง ต่างฝ่ายต่างสบสายตากัน ระบายยิ้มแจ่มใสและเต็มสมบูรณ์
ด้านหลังพวกเขา ลำต้นของต้นโพธิ์ทรุดโทรม ก้านใบโรยร่วง สภาพเปลือยเปล่า พลังชีวิตหริบหรี่ราวกับต้นไม้ที่ใกล้เน่าเปื่อยผุพัง
แต่มันยังคงแข็งแรง ตั้งตระหง่านอยู่ใต้เวิ้งนภา คล้ายค้ำยันจักรวาล!
“หลังจากผ่านการอนุมานหมื่นปี คัมภีร์ที่เจ้ากับข้าสรรสร้าง ในที่สุดวันนี้ก็เสร็จสมบูรณ์ นับแต่นี้ต่อไป วิชาส่วนนี้ที่แยกออกจาก ‘คัมภีร์มหากษิติครรภ์’ จะต้องส่องสว่างกาลนิรันดร์ แผ่รัศมีขจรขจาย” สายตาตู้จี้ใสกระจ่าง เจือความพอใจและปลื้มปิติ
“คัมภีร์นี้รวมปริศนาเร้นลับของคัมภีร์มหากษิติครรภ์กับเคล็ดวิชาจุติของเผ่าข้า ย่อมเรียกได้ว่าเป็นยอดวิชาจำเพาะที่แยกจากอดีตปัจจุบัน และดำเนินต่อไปในอนาคต”
นางพญาพูดถึงจุดนี้น้ำเสียงก็เปลี่ยนไปทันที “แต่ว่า เมื่อคัมภีร์นี้เผยแพร่ จะต้องสั่นคลอนมรดกวิชามรรคแต่เดิมของอารามกษิติครรภ์แน่นอน ท่านไม่กลัวว่าจะถูกมองเป็นคนนอกรีตหรือ”
“เจ้าย่อมรู้ดี อารามกษิติครรภ์ยืนหยัดจนถึงตอนนี้ ‘คัมภีร์มหากษิติครรภ์’ ที่สืบทอดกันมานั้นก็คือรากฐานของสำนักนี้ ส่วนคัมภีร์ที่เจ้ากับข้าสรรสร้าง ถึงแม้จะแยกออกจากคัมภีร์มหากษิติครรภ์แต่ก็ต่างกันโดยสิ้นเชิง เมื่อคัมภีร์นี้แพร่หลายในโลกและถูกอารามกษิติครรภ์รู้เข้า ต่อให้เป็นอริยสงฆ์ที่สูงส่งเช่นข้าก็ต้องถูกมองเป็นพวกกบฏและนอกรีตอยู่ดี”
ตู้จี้ยิ้มน้อยๆ ใบหน้าพิสุทธิ์เคร่งครัด ความราบเรียบในน้ำเสียงเจือกลิ่นอายตัดสินใจ “หากข้าเป็นมาร ก็จะข้ามภิกษุทั้งหลายใต้หล้าไปสู่ทางมาร”
นัยน์ตานางพญาหดเกร็ง
จากนั้นก็ได้ยินตู้จี้กล่าวต่อว่า “หากข้าเป็นภิกษุ ใต้หล้าก็ไร้มาร!”
นางพญาอึ้งงันโดยสิ้นเชิง
ไกลออกไปในใจหลินสวินสั่นสะเทือนไม่หยุด คำพูดเช่นนี้เผด็จการอย่างที่สุด มีกลิ่นอายเด็ดเดี่ยวที่ไร้ขื่อไร้แป ถือตนเป็นใหญ่!
ช่างพาให้ผู้คนไม่อยากเชื่อจริงๆ ว่าคำพูดเช่นนี้ถึงกับกล่าวออกมาจากปากอริยสงฆ์ผู้หนึ่ง หากแพร่งพรายออกไปคงไม่พ้นกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไม่รู้จบเป็นแน่!
“ที่แท้ท่านรู้แจ้ง ได้เห็นขอบเขตที่สูงกว่าตั้งนานแล้ว…” นางพญาสีหน้าเจือความปลงตกอย่างหาได้ยาก
ตู้จี้ยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “ถึงเวลาแล้ว พวกเราเริ่มเคลื่อนไหวกันเถิด”
“ก็ดี”
จากนั้นทั้งคู่ก็ลุกขึ้นแหงนหน้ามองฟ้า สีหน้าต่างเปลี่ยนเป็นอหังการและแปลกแยก รอบกายมีละอองแสงอริยะเทพไหลทะลัก
ทันใดนั้นดวงหน้าแก่เฒ่า ผิวหนังที่พลังชีวิตร่วงโรย ผมขาวราวหิมะแต่เดิมของพวกเขา… ล้วนลุกโชนไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ชั้นหนึ่ง
ชั่วพริบตาพวกเขาก็กลับสู่ท่วงท่างามสง่าดังเดิม!
ตู้จี้ประกบสองมือ ริมฝีปากเปล่งเสียงธรรมอันว่างเปล่า พาให้ฟ้าดินสนั่นหวั่นไหว กลางห้วงอากาศสะท้อนดอกอัศจรรย์มหามรรคดอกแล้วดอกเล่า ละอองแสงดั่งโผบิน
นางพญาใช้นิ้วเรียวแทนพู่กัน ขีดเขียนกลางห้วงอากาศ อักษรธรรมศักดิ์สิทธิ์แวววาวแต่ละตัวไหลพุ่งออกมาจากปลายนิ้วของนาง แน่นขนัดแถวแล้วแถวเล่าราวสายฝน วิวัฒน์กลายเป็นบทประพันธ์เป็นอมตะ
เสียงธรรมและอักษรธรรมต่างสะท้อนเสริมกันและกัน กู่ร้องก้องกลางฟ้าดิน
บนฟากฟ้าสีคราม ดอกสวรรค์ร่วงหล่นอลหม่าน
บนผืนดินกว้าง แสงสีทองพลุ่งพล่าน
กลางห้วงอากาศ รัศมีวิเศษหมื่นสายดิ่งร่วง แสงมงคลพันจั้งพลิ้วไหว เปล่งประกายลุกโชน บางครามีเสียงท่องสวดของภิกษุดังขึ้น บางคราวเสียงหงส์ทมิฬกู้ร้องก้องเก้าสวรรค์ ปรากฏเป็นลักษณ์ประหลาดที่กว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด
หลินสวินถูกทำให้ตกตะลึงอยู่ตรงนั้นจนไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง
อริยะประพันธ์คัมภีร์!
เขานึกถึงตำนานแต่นานมาส่วนหนึ่ง ว่ากันว่าในช่วงบรรพาล หากอริยบุคคลสามารถบุกเบิกวิชาและมรรคแบบใหม่แล้วเขียนเป็นคัมภีร์ได้ ก็จะก่อให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดฟ้าถล่ม นี่แสดงถึงคุณความดีมหาศาล เป็นการสรรสร้างวิชาอมตะที่เพียงพอจะคงอยู่ตราบนิรันดร์ ทิ้งชื่อหอมหวนพันภพ!
เดิมทีหลินสวินยังคิดว่าเป็นการกระพือข่าวโคมลอย แต่ยามนี้ เขาเชื่อแล้ว
“คัมภีร์นี้สร้างขึ้นโดยข้ากับเจ้าสองคน แยกออกจากคัมภีร์มหากษิติครรภ์และเคล็ดวิชาจุติหงส์ทมิฬ ยามนี้เสร็จสมบูรณ์แล้ว เช่นนั้นไม่สู้ตั้งชื่อว่า ‘คัมภีร์ครรภ์จุติ’ เป็นอย่างไร”
ในแสงมงคลวิเศษที่แผ่กระจายทั่วฟ้า ตู้จี้อมยิ้มเอ่ยวาจา ใบหน้าพิสุทธิ์เคร่งครัด ราวกับภิกษุที่ชำเลืองแลมวลมนุษย์ในโลกีย์
“ยิ่งใหญ่ไม่พอ ท่านกับข้าสองคนร่วมสร้างคัมภีร์นี้ เพียงพอจะสะเทือนกาลนิรันดร์ ควรเติมคำว่า ‘มหา’ ลงไปจึงจะสามารถสะท้อนความหมายยิ่งใหญ่อันละเอียดอ่อนในนั้นได้”
เงาร่างอรชรอ้อนแอ้นของนางพญาอาบไล้ภายใต้แสงอริยเทพ มีความงามสง่าที่เหยียดหยันโลกประหนึ่งภาพฝันมายา
“คัมภีร์มหาครรภ์จุติหรือ ประเสริฐยิ่ง!” ตู้จี้หัวเราะลั่น
ในใจหลินสวินไม่สามารถสงบได้เลย ในที่สุดก็ตระหนักได้ว่าอริยะทั้งสองนั่งอยู่เบื้องหน้าต้นโพธิ์ ผ่านการอนุมานมาหลายรอบปี ถึงขั้นร่วมมือกันสร้างคัมภีร์อริยมรรคออกมาเล่มหนึ่ง!
ตูม!
เพียงแต่เวลานี้เอง การเปลี่ยนแปลงประหลาดก็ปะทุขึ้น…
บนเวิ้งนภาห้วงอากาศพังทลาย แตกออกเป็นรอยแยกไร้ที่สิ้นสุด และในเวลาเดียวกันนี้ เงาหอกที่เปี่ยมด้วยความน่ายำเกรงถึงที่สุดสายหนึ่งก็โฉบออกมาจากรอยแตก!
ชิ้ง!
เงาหอกส่งเสียงคำราม พาให้ฟ้าดินกรีดร้องระงม กลิ่นอายเข่นฆ่าสุดจะพรรณนาวูบหนึ่งแผ่กว้าง ตัดสลับพลังสูงสุดของวิชาและมรรค
เพียงชั่วพริบตา ดอกอัศจรรย์สวรรค์ร่วงแตกเป็นเสี่ยง แสงสีทองบนพื้นสูญสลาย รัศมีวิเศษกลางอากาศดับเลือน แสงมงคลสงบนิ่งถูกฉีกขาด…
ทุกสิ่งล้วนสำแดงลักษณ์ของการทำลายโลก!
“ในที่สุดก็มาจนได้…” เหนือความคาดหมาย ตู้จี้เยือกเย็นยิ่ง คล้ายเดาไว้แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้
“ตอนพวกเราเหยียบย่างมาถึงขั้นนี้ก็ถูกลิขิตให้เป็นเช่นนี้แล้ว นับแต่โบราณกาลอริยบุคคลล้วนเป็นเช่นนี้ วันนี้ท่านและข้ากลับสมหวังตามความปรารถนายาวนานแล้ว รามือลงได้แล้ว!” นางพญาสายตาทอประกาย ทั่วร่างแผ่จิตต่อสู้ที่น่าสะพรึงออกมา
“ตามที่เจ้าว่า แม้นตายเก้าครั้งก็ไม่นึกเสียใจ!” ตู้จี้ประกบสองมือ อาภรณ์สะบัดพรึ่บ
เงาร่างทั้งคู่พริบไหว ห้อทะยานออกไป
บนพื้นดินต้นโพธิ์ส่ายโอนครืดคราด คล้ายกำลังร้องโหยหวน…
เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเร็วเกินไปและปุบปับเกินไป ทำให้หลินสวินยังถูกทำให้ตื่นตระหนกอยู่ตรงนั้น คิดไม่ถึงสักนิดว่าเคราะสังการห์จะมาเยือนเช่นนี้!
เขาเงยหน้าขึ้นไปก็เห็นว่า บนท้องฟ้ากลิ่นอายอริยเทพพรั่งพรูดั่งมหาสมุทร ส่องสว่างถึงขีดสุด ไม่สามารถมองเห็นภาพในนั้นถนัดตา
แต่หลินสวินรู้ นี่คือเคราะห์สังหารที่จ้องเล่นงานอริยะทั้งสอง!
ดูเหมือนจะเป็นเพราะพวกเขาเหยียบย่างบนเขตต้องห้ามแห่งมรรคา หรือไม่ก็เพราะสร้างคัมภีร์ที่ละเมิดข้อห้ามออกมา ด้วยเหตุนี้จึงชันนำให้เกิดด่านเคราะห์ครั้งใหญ่เช่นนี้
“ตอนพวกเราก้าวมาถึงจุดนี้ก็ถูกลิขิตให้เป็นเช่นนี้แล้ว นับแต่โบราณกาลอริยบุคคลล้วนเป็นเช่นนี้ ความหมายในคำพูดนี้น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว…” หลินสวินตัวสั่น
“เป็นเขา!” จากนั้นหลินสวินแข็งทื่อไปทั้งร่าง เห็นว่าเงาร่างสีทองโผล่ออกมาจากกลางรอยแยกมหึมาที่แหวกออกบนท้องฟ้านั้น อานุภาพสั่นสะเทือนเก้าฟ้าสิบแผ่นดินประดุจนายเหนือหัวก็ไม่ปาน
ตูม!
หลังจากนั้นในสมองหลินสวินก็บังเกิดเสียงวู้มรุนแรง ภาพทั้งหมดที่เห็นอยู่เบื้องหน้ามลายหายไปราวกับฟองมายา…
เขาพยายามเบิกตากว้าง แต่กลับมองไม่เห็นอีกต่อไป ร่างกายเหมือนจมสู่วังน้ำวน ฟ้าดินหมุนเคลื่อน
ในระหว่างที่สับสนงุนงง หลินสวินดูเหมือนจะได้ยินเสียงของตู้จี้และนางพญาอีกครั้ง…
“จดจำไว้!”
“ห้ามลืมเด็ดขาด…”
………………
Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 960 อริยะประพันธ์คัมภีร์
Posted by ? Views, Released on September 20, 2021
, Battling Records of the Chosen One
Type: Web Novel Author: Xiao Jinyu, 萧瑾瑜
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…
In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history.
In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing.
Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned.
Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?
Recommended Series
Comment
Facebook Comment