ตอนที่ 1995 ประตูทลาย
ฟากฝั่งฟ้าดาราเลือนรางเพียงใด ราวกับตำนาน แม้แต่บุคคลระดับจักรพรรดิยังสงสัยว่ามีอยู่จริงหรือไม่
แต่หลิงเคอจื่อกลับเหมือนคาดเดาไว้แล้วว่าฟากฝั่งฟ้าดารานั้นมีจริง ทั้งยังเชื่อว่าสักวันหนึ่งตนจะได้มุ่งหน้าไปที่นั่น
นี่จะแปลกประหลาดเกินไปแล้ว!
แต่หลินสวินไม่ได้ซักไซ้ไล่เลียงอีก ในเมื่อหลิงเคอจื่อพูดว่ารอภายหน้าเมื่อมีโอกาสจะบอกคำตอบตน เช่นนั้นต่อให้ตนถามไปก็คงเปล่าประโยชน์
“ขอบคุณมาก ขอบคุณมาก…”
หลิงเคอจื่อเหมือนยกภูเขาออกจากอก ในดวงตาที่เปล่งประกายมีชีวิตชีวาฉายแววปิติยินดี แม้จะเป็นแค่การรับปาก แต่ก็ทำให้เขาดีใจหาใดเปรียบ
ทางภูเขาขรุขระ วกวนดั่งอสรพิษ ภายใต้การชี้นำของจี้เสวียน กลิ่นอายทำลายล้างที่อบอวลอยู่ตลอดทางดูน่าพรั่นพรึงยิ่งกว่าเดิม
มีลักษณ์ประหลาดสะเทือนใต้หล้าปรากฏเป็นครั้งคราว ชวนกระตุกจิตวิญญาณ
“ก่อนหน้านี้พี่หลินเคยมาที่นี่หรือ”
หลิงเคอจื่ออดถามไม่ได้ เขาพบว่าตลอดทางไม่เคยเจออันตรายอะไร นี่ต่างจากการเข้ามาในเขาปู้โจวของเขาก่อนหน้านี้มาก
“ไม่เคย”
หลินสวินส่ายหัว เขาไม่ได้อธิบาย
“เท่าที่อาตมารู้ ในเขตต้องห้ามเซียนโบราณนี้มีอันตรายใหญ่หลวงมากมายกระจายอยู่ทั่ว ล้วนน่ากลัวไม่ด้อยไปกว่าเขาปู้โจว ครั้งนี้แม้ว่าพวกเราจะมากันหนึ่งร้อยแปดคน แต่ผู้ที่ออกไปได้แบบมีชีวิตจริงๆ… เกรงว่าคงมีน้อยยิ่งกว่าน้อย”
หลิงเคอจื่อทอดถอนใจ เจือกลิ่นอายรำพึงฟ้าเวทนาคน
หลินสวินกล่าวง่ายๆ “ต้องการชิงมหาสมบัติแรกกำเนิด มีหรือจะไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทน”
เขาคร้านจะใส่ใจความเป็นตายของคนอื่น สนใจแค่พวกจินเทียนเสวียนเยวี่ย เหลิ่งซิวเจีย เซี่ยอวี่ฮวาสามคนเท่านั้น
ตอนนี้ลู่ตู๋ปู้และซูมู่หานล้วนประสบเคราะห์ เขาไม่อยากให้พวกจินเทียนเสวียนเยวี่ยเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรอีก
“หืม?”
ระหว่างสนทนา หลินสวินและหลิงเคอจื่อใจกระตุกพร้อมกัน สายตาพลันมองออกไปไกล
ห่างออกไป หมอกควันที่วิวัฒน์จากกลิ่นอายทำลายล้างพวยพุ่งอบอวล สามารถมองเห็นได้รางๆ ว่ามีประตูหินโค้งตามธรรมชาติขนาดมหึมาตั้งอยู่ ความสูงประมาณพันจั้ง เก่าแก่เด่นตระหง่าน
มองจากไกลๆ แล้วเหมือน ‘ประตูสวรรค์’ บานหนึ่ง!
กฎระเบียบนับไม่ถ้วนวิวัฒน์เป็นละอองแสงรุ้งเทพหลากสีสัน เริงระบำหมุนวน ส่องแสงสะท้อนระยับอยู่ในประตูหินโค้งขนาดมหึมานั่น
“ประตูทลาย!”
หลิงเคอจื่อหลุดพูดออกมา เผยสีหน้าตกตะลึง “ตามตำนานมหาสมบัติแรกกำเนิดที่เกิดจากเขาปู้โจวชิ้นนั้น เป็นไปได้สูงว่าจะอยู่ในประตูทลายนั่น!”
หลินสวินอดมองเขาอย่างแปลกใจไม่ได้ ความลับที่ภิกษุรูปนี้รู้มีไม่น้อยจริงๆ
ขณะเดียวกันเสียงของจี้เสวียนดังขึ้นในใจของหลินสวิน ‘ภิกษุน้อยนี่พูดถูก เพียงแต่… ประตูนี้ใช่ว่าจะเข้าไปได้ง่ายๆ’
‘ปีนั้นตอนที่ข้ากับจวินหวนมาที่นี่ ประตูนี้ถูกระเบียบมหามรรคที่น่ากลัวปกคลุมอย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าจะหยั่งเชิงอย่างไรก็ไม่อาจข้ามผ่าน หากรุกล้ำเข้าไปย่อมมีแต่ตายไร้ชีวา’
จี้เสวียนพูดถึงตรงนี้น้ำเสียงก็เจือความซับซ้อนวูบหนึ่ง ‘ตอนนั้นข้าไม่ฟังคำปรามของจวินหวน ลองเสี่ยงตายบุกเข้าไป ผลลัพธ์…’
‘ผลเป็นอย่างไร’ หลินสวินอดกล่าวไม่ได้
‘อย่างที่เจ้าเห็น ด้วยรุกล้ำเข้าไปในประตูนี้ จึงทำให้ข้าถูกโจมตีโดยระเบียบมหามรรค เกือบวิญญาณแตกซ่าน แม้จะโชคดีหอบชีวิตกลับมาได้ แต่ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดนี้กลับติดอยู่ที่นี่ คนก็ไม่ใช่ ผีก็ไม่เชิง ราวกับเสียสติ…’
จี้เสวียนพูดจบก็ถอนใจยาวอีกครั้ง
หลินสวินสูดหายใจเย็นเยียบ อาการบาดเจ็บของจี้เสวียน เกิดขึ้นแค่เพราะรุกล้ำประตูทลายบานนั้น!
ไม่แปลกที่ศิษย์พี่หลี่เสวียนเวยจะพูดว่า ปีนั้นศิษย์พี่จวินหวนมาไม่ได้จังหวะ จนทำให้ต้องกลับไปมือเปล่า
จี้เสวียนกล่าว ‘แต่ตอนนี้เขตต้องห้ามเซียนโบราณเกิดการเปลี่ยนแปลงประหลาด ไม่เหมือนแต่ก่อน แม้แต่ระเบียบมหามรรคที่ปกคลุมประตูทลายนี้ก็หายไปไม่มีเหลือ หากเป็นไปดังคาด ไม่แน่ว่าครั้งนี้อาจได้เจอมหาสมบัติแรกกำเนิดชิ้นนั้นอย่างที่พวกเจ้าวางแผนไว้จริงๆ’
คราวนี้หลินสวินถึงได้สงบใจลงไม่น้อย
“พี่หลิน ดูสิ”
หลิงเคอจื่อพลันพูดขึ้น
เมื่อมองตามสายตาของเขาไป ก็เห็นว่าหน้าประตูทลายนั้นมีหินพิสดารแออัดเรียงราย เงาร่างไม่น้อยมาถึงอยู่ก่อนแล้ว ต่างยืนอยู่กันคนละที่
เพียงเหลือบมองหลินสวินก็เห็นพวกหมีอู๋หยาแห่งเรือนมรรคยุทธจักร พวกหลิงหงจวงแห่งเรือนมรรคโลกาสวรรค์ รวมถึงปีศาจแห่งยุคบางคนที่มาจากโลกอื่นบนฟ้าดารา
อย่างจิ่งเทียนหนานและเวินอวี๋
นอกจากนี้ยังมีฮว่าซิงหลีแห่งเรือนมรรคเหล่ามาร ถังซูแห่งเผ่านักรบดาบคลั่งเป็นต้น
รวมแล้วมีมากถึงสามสิบกว่าคน!
ทั้งดูจากสถานการณ์ ก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขามาถึงที่นี่นานแล้ว
หลินสวินไม่แปลกใจกับเรื่องนี้ ผู้แข็งแกร่งที่เข้ามาในเขตต้องห้ามเซียนโบราณครั้งนี้ เกือบทั้งหมดล้วนเตรียมการมาก่อน ได้รู้ความลับมามากมาย แม้แต่หลิงเคอจื่อก็ยังรู้ถึงการมีอยู่ของประตูทลาย คนอื่นจะไม่รู้ได้อย่างไร
“ไป พวกเราไปกันเถอะ”
หลินสวินสีหน้าราบเรียบ ก้าวไปข้างหน้า
หลิงเคอจื่อรีบตามหลังมาติดๆ
การปรากฏตัวของทั้งสองคนดึงดูดความสนใจของคนอื่นๆ ในที่นั้นทันที โดยเฉพาะเมื่อเห็นหลินสวิน หลายคนต่างเผยสีหน้าประหลาด
“หลินสวิน คนอย่างเจ้านี่หลอกคนเก่งเกินไปแล้ว ทุกคนในที่นี้มองฐานะของเจ้าออกกันหมดแล้ว เจ้าต้องระวังตัวด้วย”
ถังซูเอ่ยปาก นางสวมเสื้อคลุมดำแขนกว้าง สวมหมวกที่บดบังใบหน้ากว่าครึ่งเหมือนแต่ก่อน ในมือเล็กบางประหนึ่งหยกกุมดาบศึกเจิดจ้าที่แคบยาวเป็นอย่างยิ่งเล่มหนึ่งไว้
ทั้งตัวดูองอาจกล้าหาญ เจือกลิ่นอายดุดันปราดเปรียว
หลินสวินอึ้งไป คิดไม่ถึงว่าถังซูจะเข้ามาพูดคุยกับตนก่อน
ปีนั้นหลังจากเข้าไปในแหล่งสถานคุนหลุน ถังซูก็สร้างความประทับใจให้เขาอย่างลึกซึ้ง นางถูกมองเป็น ‘ดาบคลั่ง’ คลั่งการต่อสู้เท่าชีวิต พรสวรรค์เจิดจรัสเป็นอย่างยิ่ง เป็นผู้หญิงคนหนึ่งชัดๆ แต่กลับองอาจและสง่างามกว่าผู้ชาย ไม่เกรงฟ้าไม่กลัวดิน
“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะปิดบัง”
หลินสวินยิ้มตอบประโยคหนึ่ง
“ก็ถูก หากให้เจ้าเฒ่าในโลกภายนอกพวกนั้นรู้ฐานะของเจ้า เกรงว่าคงกลืนกินเจ้าทั้งเป็นทันทีแน่”
ถังซูครุ่นคิดครู่หนึ่ง “ถึงอย่างไรสำหรับศุภโชคที่มีความลับของการบรรลุจักรพรรดิกลายเป็นบรรพจารย์ในมือเจ้านั่น เจ้าเฒ่าคนไหนไม่ตาลุกบ้าง ลองดูเจ้าพวกนี้สิ ใครบ้างที่ไม่หวั่นไหว”
ประโยคเดียวทำให้สีหน้าของทุกคนในที่นั้นดูพิกลขึ้นมา
ใครต่างไม่คาดคิด ว่าเรื่องลับที่ซ่อนเร้นนี้จะถูกถังซูยกมาพูด
“สิ่งที่ทำให้ข้าผิดคาดกว่าคือ พี่หลิน เจ้าถึงกับเป็นผู้สืบทอดของคีรีดวงกมล”
ถังซูกล่าวทอดถอนใจ
คีรีดวงกมล!
สายตาของคนมากมายในที่นั้นล้วนมองไปยังหลินสวิน
พวกเขาต่างรู้ดีว่าหลายวันก่อน ในเขตต้องห้ามเซียนโบราณนี้ หลินสวินเคยกำจัดพวกข่งเจาแห่งเรือนมรรคดึกดำบรรพ์เสียสิ้นซาก
แม้แต่พวกหวงฝู่เซ่าหนงแห่งเรือนมรรคจักรวาลยังล้มตายกันเป็นเบือ กระทั่งตัวหวงฝู่เซ่าหนงยังถูกฆ่า สุดท้ายเหลือแค่ไม่กี่คนที่รอดชีวิต
ผลงานที่นองเลือดหาใดเปรียบเช่นนี้ ย่อมทำให้คนตกตะลึงเป็นธรรมดา
แต่สำหรับบุคคลแห่งยุคในที่นั้น สิ่งที่ทำให้พวกเขาสนใจกว่าก็คือฐานะของหลินสวิน รวมถึงเรื่องที่เคยทำมา!
“ป่วนแหล่งสถานคุนหลุน เหยียบซากศพของเหล่าผู้กล้า ชิงศุภโชคชั้นยอดนั่นไปได้ จากนั้นก็ทำให้ทั่วฟ้าดาราสั่นสะเทือน กิตติศัพท์ดั่งดวงตะวันส่องประกาย”
“ในงานชุมนุมถกมรรคยามนี้ ยังใช้ฐานะของจินตู๋อีมาทะลวงด่าน ฆ่าสังหารตลอดทาง ทำให้บุคคลแห่งยุคนับไม่ถ้วนร่วงหล่นพ่ายยับเยิน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่แพ้สักครั้ง องอาจกล้าหาญหาใดเปรียบ”
“บางทีอาจมีแค่ผู้สืบทอดของคีรีดวงกมล ที่ครอบครองพลังต่อสู้เย้ยฟ้าเช่นนี้ได้กระมัง”
ทันใดนั้นฮว่าซิงหลีแห่งเรือนมรรคเหล่ามารเอ่ยปาก เขาผมขาวดุจหิมะทั้งศีรษะ ใบหน้าสง่างามดึงดูด สองมือไพล่หลัง ท่วงท่าโดดเด่นเหมือนเหวลึกบรรพตตระหง่าน
คำพูดพวกนี้ของเขาเจือความทอดถอนใจ ทุกคนได้ยินแล้วอดใจสั่นไม่ได้
หลินสวินเหลือบมองฮว่าซิงหลีวูบหนึ่งพลางกล่าว “ผู้สืบทอดของเรือนมรรคเหล่ามาร ไม่แค้นข้าเข้ากระดูกดำหรือ”
ฮว่าซิงหลียิ้มพลางส่ายหัว “เจ้าหมายถึงพวกจู่เฟยอวี่ที่เจ้าเอาชนะได้ในแดนลับโลกาสวรรค์ใช่ไหม ข้าไม่เหมือนกับพวกเขา แม้จะเป็นศิษย์สำนักเดียวกันแต่ก็ไม่คิดจะช่วยพวกเขาแก้แค้น”
เขาเว้นช่วงไปก่อนกล่าวต่อ “แน่นอน เจ้าอย่าได้คิดว่าข้ากลัว ถ้ากลัวจริงข้าคงไม่มีทางยืนอยู่ที่นี่”
หลินสวินร้องอ้อคราหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไรมากอีก
“หลินสวิน ข้าเคยบอกว่ารอเจ้ามีคุณสมบัติเข้ามาในเขตต้องห้ามเซียนโบราณ ถ้าเจ้าอยากสู้ ข้าก็พร้อมสู้ด้วยทุกเมื่อ ตอนนี้ถ้อยคำนี้ยังนับว่ามีผล”
หลิงหงจวงแห่งเรือนมรรคโลกาสวรรค์เอ่ยปาก แววตาเฉียบคม นางสวมชุดดำ เปียผมงามพลิ้วไหวพาดแผ่นหลังอรชรทรงเสน่ห์ ใบหน้างามเยียบเย็น กลิ่นอายรอบตัวเจือความหยิ่งทะนงและดุดัน
คนที่ยืนอยู่ข้างกายนางคือเยียนอวี่โหรว
ตอนนั้นที่แดนลับโลกาสวรรค์ ก็เพราะนางออกมือจึงช่วยเยียนอวี่โหรวที่เดิมทีควรแพ้ในมือหลินสวินไปได้
“เจ้าอยากสู้หรือ” หลินสวินถาม
หลิงหงจวงกล่าวอย่างหมดจดชัดเจน “ไม่อยาก แต่ข้าพร้อมสู้ด้วยทุกเมื่อ”
หลินสวินพูดลอยๆ “เช่นนั้นก็รอเมื่อชิงมหาสมบัติแรกกำเนิด ค่อยประชันสูงต่ำกันสักครั้งก็พอ”
สายตาของหลิงหงจวงกวาดมองทุกคนในที่นั้นพลางกล่าว “ถึงตอนนั้นเกรงว่าคงเปิดฉากการต่อสู้ชุลมุน ถ้าคิดสู้ตัวต่อตัว เจ้าคงไม่มีโอกาสเท่าไหร่”
หลินสวินคิดไปคิดมาก็กล่าว “ช่างปะไร”
หลิงหงจวงไม่พูดมากอีก
“หลินสวิน เจ้าเพิ่งมาเกรงว่าจะยังไม่รู้ สุดท้ายจะมีแค่คนเดียวที่เข้าไปในประตูทลายนี้ได้”
ถังซูกล่าวเตือน “นี่ก็หมายความว่าเมื่อโอกาสมาถึง ทุกคนในที่นี้จะแย่งชิงโอกาสเพียงหนึ่งเดียวนั้นเต็มกำลัง การต่อสู้ชุลมุนจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้”
สายตาของหลินสวินมองไปยังประตูทลายที่อยู่ห่างออกไป มันสูงประมาณพันจั้ง หมอกควันทำลายล้างอบอวล
ส่วนในประตูก็มีละอองแสงรุ้งเทพนับไม่ถ้วนที่วิวัฒน์จากระเบียบมหามรรคไหลวน งามตระการดั่งภาพฝัน เต็มไปด้วยความลึกลับและไม่อาจระบุ
หลินสวินอดเอ่ยถามไม่ได้ “ทำไมถึงมีสิทธิ์เข้าไปได้แค่คนเดียว”
“ก็รู้อยู่ว่าเจ้าต้องถาม”
ถังซูชี้ไปที่ประตูทลายนั่นพลางกล่าว “สองวันก่อน ในประตูนี้เคยปรากฏแท่นมรรคประหลาด สูงหนึ่งฉื่อ ทั้งแท่นดำสนิท สามารถมองข้ามพลังระเบียบมหามรรคที่ปกคลุมอยู่ในประตูทลายนั้น ผ่านเข้าออกประตูบานนี้ได้อย่างอิสระ”
“ขอแค่ยืนอยู่บนแท่นมรรคนี้ ก็ใช้มันเพื่อผ่านเข้าไปในประตูทลายได้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็จะพึ่งพาพลังของแท่นมรรค หลบหนีการโจมตีของพลังระเบียบมหามรรคพวกนั้นได้”
“แต่ตอนนั้นพวกข้าต่างลงมือหยั่งเชิงดูแล้ว เวลาที่แท่นมรรคนี้จะปรากฏอยู่นอกประตูทลายคือราวหนึ่งก้านธูป ทั้งยังยืนอยู่บนนั้นได้แค่คนเดียว”
พูดถึงตรงนี้ถังซูจึงกล่าว “ตอนนี้เจ้าเข้าใจแล้วใช่ไหม”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้”
หลินสวินมีหรือจะไม่เข้าใจ แท่นมรรคยืนได้แค่คนเดียว แต่ในที่นี้กลับมีผู้แข็งแกร่งมากมาย ใครจะยอมถอย
ถังซูกล่าว “สองวันก่อนที่นี่เกิดการต่อสู้ชุลมุน ไม่ว่าใครยืนอยู่บนแท่นมรรค ภายในเวลาไม่กี่นานก็จะถูกซัดลงมา ผลสุดท้ายคือเมื่อแท่นมรรคกลับเข้าไปในประตูทลาย ก็ไม่มีสักคนที่ชิงโอกาสเข้าไปในนั้นได้”
สายตาของหลินสวินกวาดมองทุกคนในที่นั้น พบว่ามีคนไม่น้อยตัวเปื้อนเลือด และมีคนได้รับบาดเจ็บดังคาด!
เห็นชัดว่านี่คือสิ่งที่การต่อสู้ชุลมุนเมื่อสองวันก่อนเหลือไว้
.