Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 957 ที่แห่งนี้น่าสะพรึงมหันต์

หลังจากรู้ท่าทีของแม่นางเยวี่ย ไม่ว่าจะเป็นหลินสวิน หรือลั่วเจียและซุ่นไป๋เสวียน ต่างก็ตระหนักถึงความสำคัญและเร่งด่วนของปัญหา
ดังนั้นทันทีที่เริ่มต่อสู้ ผู้ใดต่างก็ไม่เคยรีรอและโอ้เอ้ใดๆ
สวบ!
เงาร่างหลินสวินพริบไหวพุ่งพรวดไปข้างหน้า ส่วนลึกของอารามเก่าแก่แห่งนี้ลี้ลับยิ่ง เส้นทางคดเคี้ยวเงียบเชียบ ริมทางถูกปกคลุมด้วยสีดำราวกับไม่มีจุดสิ้นสุดอย่างไรอย่างนั้น
ยิ่งกว่านั้นพลังผนึกต้องห้ามยังแผ่คลุมทุกอณู ทำให้ยามที่หลินสวินพุ่งขึ้นหน้ายังต้องระวังและรอบคอบอย่างเสียไม่ได้
ทัศนียภาพก็เปลี่ยนแปลงตามความลึกเข้าไป
บนพื้น ทุกหย่อมหญ้าล้วนเป็นร่องรอยที่หลงเหลือจากศึกใหญ่ มีทั้งรอยกรงเล็บ รอยฝ่ามือ และขี้เถ้าที่หลงเหลือจากการถูกเผา
ระหว่าทางทุกแห่งหนล้วนเป็นภาพผุพัง เสื่อมสภาพ เป็นที่น่าสยดสยอง
คาดเดาได้ว่าที่แห่งนี้เคยเกิดศึกสะท้านโลกในช่วงบรรพกาลมาก่อน ร่องรอยการต่อสู้ที่หลงเหลืออยู่ล้วนไม่สามารถถูกลบทำลายจากการกัดกร่อนของกาลเวลา!
ไม่นานนักหลินสวินก็เห็นชิ่งที่เก่าคร่ำคร่ามีลายพร้อย เพียงแต่แตกหักตั้งนานแล้ว บนนั้นเปื้อนคราบเลือดสีทอง
เห็นได้ชัดว่าคราบเลือดนั้นแห้งกรังมาไม่รู้นานเท่าไร แต่ขณะที่หลินสวินทอดมองเข้าไปกลับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ที่ปะทะหน้าเข้ามาวูบหนึ่ง ดุจหุบเหวดั่งนรก กดดันเสียจนจิตวิญญาณของเขาครั่นคร้าม มีสัญญาณที่ตั้งท่าจะล่มสลาย!
เลือดอริยะหรือ
หาไม่หลังจากเกรอะกรังผ่านกาลเวลาอันไร้สิ้นสุด จะยังคงหลงเหลือกลิ่นอายน่าสะพรึงเช่นนี้อยู่อีกได้อย่างไร
ในใจหลินสวินสั่นสะท้าน รีบขับเคลื่อนเคล็ดเวทบริกรรม ไม่กล้าไปหยั่งรู้อีก
จากจุดนี้เป็นต้นไป บรรยากาศเริ่มแตกต่างขึ้น มีกลิ่นอายอัปมงคลและบีบเค้นที่พาให้ผู้คนใจสั่น
ตูม!
แสงสายฟ้าวูบวาบ สายฟ้าสายแล้วสายเล่าตัดสลับไปมาปรากฏขึ้น นี่คือพลังของผนึกต้องห้าม น่าสะพรึงไร้ขอบเขต ท่ามกลางสายฟ้าคละคลุ้งด้วยกลิ่นอายล้างผลาญ
หลินสวินรอบคอบเพียงพอแล้ว กลับยังคงถูกสายฟ้าเฉี่ยวร่างอยู่ดี บริเวณไหล่ฉีกขาดหลั่งเลือด พลังทำลายล้างอันคลุมเครือสายแล้วสายเล้าแพร่กระจายผ่านบาดแผลด้วยความเร็วอันน่าตกใจ
หลินสวินโคจรพลังมรรคดับดารากลืนกิน ถึงได้สลายกลิ่นอายล้างผลาญคลุมเครือที่แผ่ขยายออกมาเหล่านี้ไปได้
“พลังของผนึกต้องห้ามแข็งแกรงขึ้นเรื่อยๆ แล้ว…” สีหน้าหลินสวินเคร่งขรึม เขาสัมผัสถึงภัยคุกคามถึงชีวิตอย่างหนึ่ง
วู้ม!
เขาเรียกเจดีย์สมบัติไร้อักษรออกมาโดยไม่ลังเลแต่อย่างใด ตัวเจดีย์ที่สร้างขึ้นจากเหล็กเทพศุภโชคดุจดั่งกระจกเคลือบ แผ่รังสีศักดิ์สิทธิ์สีทองอร่ามออกมาพิทักษ์รอบตัวหลินสวิน
พร้อมกันนั้นดาบหักสีขาวเจิดจ้าดุจหิมะก็แหวกอากาศออกมา คมดาบไหลเวียนด้วยแสงแวววาวมายา ตั้งท่าพร้อมรบ
เมื่อทำทุกอย่างนี้เสร็จสิ้นหลินสวินจึงรู้สึกโล่งใจน้อยๆ ก่อนมุ่งหน้าต่อไป
ระหว่างทางพลังผนึกต้องห้ามปั่นป่วน แสงธรรมดุจสีหมึก ราวกับราตรีนิรันดร์มืดมิดพาให้ผู้คนใจสะท้าน เริ่มลงมือพิฆาตใส่หลินสวินเป็นช่วงๆ
ด้วยความเชี่ยวชาญระดับปฐมาจารย์สลักวิญญาณของหลินสวิน ยังไม่สามารถสลายมันได้โดยสิ้นเชิง ทำได้เพียงหลบเลี่ยงไม่ก็ฝืนต้าน พลังนั้นน่ากลัวเกินไปแล้ว
โชคดีที่เจดีย์สมบัติไร้อักษรลึกลับสุดขีด รัศมีศักดิ์สิทธิ์สีทองไหลวน ช่วยบรรเทาเคราะห์สังหารถึงแก่ชีวิตมากมายให้หลินสวิน ไม่เช่นนั้นเขาแทบจะมาถึงจุดนี้ไม่ได้เลย
ไม่นาน ในที่สุดหลินสวินก็พบมู่เจิ้งหนึ่งในสิบแปดสาวกอารามกษิติครรภ์
เขาสวมจีวรสีดำ เงาร่างสูงตระหง่านดั่งภูเขา รอบตัวพลุ่งพล่านด้วยแสงธรรมอร่าม ในมือกระชับบาตรสีดำใบหนึ่ง
บาตรนั้นลึกลับยิ่ง สาดพรมแสงธรรมสีดำเป็นล้านๆ สาย วิวัฒน์เป็นเงามายาภิกษุสายแล้วสายเล่าเฝ้าพิทักษ์รอบกายมู่เจิ้ง ยังแว่วเสียงสวดท่องธรรมดังลอยออกมาจากกลางบาตรอีกด้วย
อาลยบาตร!
ก่อนหน้านี้ยามอยู่เบื้องหน้ากระแสน้ำวนนั้น มู่เจิ้งก็อาศัยสมบัติชิ้นนี้พาขบวนคนอารามกษิติครรภ์เข้ามาในซากปรักหักพังผืนนี้
และตามคำกล่าวของแม่นางเยวี่ย อาลยบาตรนี้เป็นถึงสมบัติพุทธอริยมรรคชิ้นหนึ่งที่เลื่องชื่อลือชาในอารามกษิติครรภ์ สืบทอดกันมายาวนาน
และเหนือศีรษะของมู่เจิ้งยังปรากฏพุทธคัมภีร์มายาเล่มหนึ่ง ปลดปล่อยตัวอักษรแปลกประหลาดราวกับสร้างขึ้นจากทองนิลดำแถวแล้วแถวเล่า ส่องแสงอร่าม กำลังช่วยมู่เจิ้งสลายพลังผนึกต้องห้ามที่ได้เห็นระหว่างทางอยู่
“หืม?” ราวกับสัมผัสถึงสายตาของหลินสวิน มู่เจิ้งเหลียวหลังขวับทันที
เมื่อเห็นหลินสวิน เขาหรี่ตาลงน้อยๆ หว่างคิ้วผ่องพิสุทธิ์เต็มไปด้วยกลิ่นอายเย็นยะเยือก
โดยเฉพาะยามที่เห็นเจดีย์สมบัติไร้อักษรหลังนั้นเหนือศีรษะหลินสวิน เขาดูตื่นตกใจอย่างหาพบได้ยาก ท่าทางเคร่งขรึมขึ้นมา
ท้ายที่สุดเขาเก็บสายตากลับมา หมุนตัวมุ่งหน้าต่อไป เขาดูเหมือนไม่อยากถูกถ่วงเวลา หนำซ้ำยังเร่งฝีเท้าขึ้นอีก
แต่จากท่าทางเมื่อครู่ของเขา หลินสวินกลับสัมผัสได้ว่าเจ้าหมอนี่มีจิตสังหารต่อตนแล้ว!
‘ผู้บำเพ็ญธรรมคนหนึ่ง แต่กลับเย็นชาและไร้ปรานีเช่นนี้ ผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์แห่งนี้ต่างจากผู้บำเพ็ญธรรมบนโลกจริงๆ ด้วย…’ หลินสวินขมวดคิ้ว
จากนั้นเขาไม่ได้คิดมากอีก รีบมุ่งหน้าทำเวลา
นี่เป็นเหมือนการแก่งแย่งและประชันอย่างไร้สุ้มเสียงอย่างหนึ่ง ไม่ว่ามู่เจิ้งหรือหลินสวินต่างก็พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อมุ่งหน้าไปให้ถึงจุดสิ้นสุดของอารามเก่าแก่แห่งนี้ให้ได้ !
หลินสวินมุ่งหน้าไปพลางครุ่นคิดไปพลาง อารามเก่าแก่แห่งนี้ดูเหมือนทรุดโทรมแถมยังไม่กว้างใหญ่ แต่กลับซุกซ่อนจักรวาล กฎเกณฑ์ลึกลับอื่นอีก
พลังผนึกต้องห้ามที่กระจายอยู่ในนั้นเรียกได้ว่าเป็นฝีมือชั้นยอดเหนือธรรมชาติ ศุภโชคชิงฟ้าดิน พาให้หลินสวินตระหนกตกใจหาใดเปรียบ กระทั่งลุ่มหลงเล็กน้อยเลยทีเดียว
เขายังนึกสงสัยว่าถ้าหากรู้แจ้งปรุโปร่งถึงปริศนาทั้งหมดของผนึกต้องห้ามนี้ ความเชี่ยวชาญด้านสลักวิญญาณของตนต้องบังเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดอย่างแน่นอน!
‘แม่นางเยวี่ยพูดผิดแล้ว การจะเข้าสู่ที่แห่งนี้รู้แค่การสลักวิญญาณอย่างเดียวไม่พอ ยังต้องมีสมบัติอริยะคอยปกป้องด้วย หาไม่ต่อให้เป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันก็ก้าวย่างยากลำบาก ไม่กล้าข้ามขีดจำกัด ผลีผลามบุกเข้ามามีแต่ตายอย่างเดียว!’
ผ่านการสัมผัสและสำรวจตลอดทาง หลินสวินก็ได้ข้อสรุปว่าสิ่งที่ปกคลุมทั่วอารามนี้ เป็นไปได้สูงว่าจะเป็นกระบวนอริยะ!
อีกทั้งกระบวนนี้แหว่งวิ่น ถูกทิ้งร้างมานานปี สูญเสียแหล่งกำเนิดแห่งพลังไปเรียบร้อยแล้ว
หาไม่ต่อให้มีเจดีย์สมบัติไร้อักษรคุ้มกันก็อาจประสบความยากลำบากตั้งนานแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่ตนจะมาถึงจุดนี้ได้
หลังหนึ่งก้านธูปเต็มๆ ในที่สุดก็มาถึงจุดสิ้นสุดของอารามแห่งนี้
บริเวณนี้ไม่มีพลังผนึกต้องห้าม แต่กลับปรากฏโคมธรรมใบแล้วใบแล้ว แสงเรืองสว่างไสวไหลเวียน ส่องสะท้อนฟ้าดินแถบนี้ เปื้อนกลิ่นอายพิสุทธิ์เคร่งครัด
“นั่นคือ…”
หลินสวินหรี่ตาลง เห็นบริเวณปลายสุดมีแท่นดอกบัวที่ขาวพิสุทธิ์ประหนึ่งหยก โปร่งใสไร้ที่ติตั้งอยู่
บนแท่นดอกบัวมีเงาร่างหนึ่งนั่งหลังตรง ทั่วร่างแผ่แสงสว่างจ้านับไม่ถ้วน ทั้งพร่าตาและงามระยับ
ราวกับมุนินทร์โพธิสัตว์องค์หนึ่ง!
เนื่องด้วยตรงนั้นสว่างจ้าเกินไปทำให้หลินสวินไม่อาจมองถนัดตา แต่เขากลับรับรู้ได้ว่าอานุภาพอริยะศักดิ์สิทธิ์และแสงสว่างที่ยากจะพรรณนาซึ่งแผ่คลุมที่แห่งนี้ พาให้ผู้คนรู้สึกอยากคุกเข่ากราบกรานอย่างหนึ่ง
เวลานี้มู่เจิ่งก็ยืนอยู่ตรงนั้น อาลยบาตรในมือคละคลุ้งแสงธรรมสีดำ ทั่วกายลอยล่องด้วยเงาภิกษุมายารูปแล้วรูปเล่า ก่อให้เกิดการเปรียบเทียบกับแท่นบัวขาวพิสุทธิ์ดุจหยกรวมถึงเงาร่างที่นั่งอยู่บนนั้น
หนึ่งขาวหนึ่งดำประดุจหยินหยาง เผยให้เห็นความขัดแย้งอย่างรุนแรง
“นี่…” มู่เจิ้งร้องเสียงหลงออกมาคล้ายค้นพบอะไร
ขณะเดียวกันนั้นในที่สุดหลินสวินก็มองเห็นชัดเจน บนแท่นดอกบัวสีขาวพิสุทธิ์ นอกจากเงาร่างภิกษุประดุจมุนินทร์ที่ส่องแสงเจิดจ้าสายนั้นแล้ว ยังมีอีกคนหนึ่ง
คนผู้นั้นเป็นผู้หญิงที่ทั่วสรรพางค์กายชโลมเพลิงวิเศษ เรือนผมดำสยายราวกับน้ำตก ขวางหน้าเงาร่างภิกษุรูปนั้นด้วยท่าทางพลีชีพช่วยเหลือ
ร่างของทั้งคู่แทบจะแนบสนิทกัน
ภิกษุขมวดคิ้ว ถลึงตาจับจ้องมองไกลออกไป
หญิงสาวหลุบตา ท่าทางเจือความแน่วแน่และหวั่นวิตก
และห่างจากทั้งคู่ไม่ไกลนักยังมีเงาร่างอีกสายหนึ่ง รอบกายปกคลุมด้วยแสงแวววาวสีทองประหลาดชั้นหนึ่ง เงาร่างดูเหมือนซูบผอมแต่กลับให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขตแก่ผู้คน อัดแน่นทั่วจักรวาลฟ้าดิน บีบเค้นฟ้าเสถียรดินขนาน ประหนึ่งผู้เป็นใหญ่เพียงหนึ่งเดียวทั่วหล้า
ที่พาให้ผู้คนหวาดผวาที่สุดคือเงาร่างสีทองปริศนานี้มือถือหอกยักษ์เล่มหนึ่ง ทะลวงผ่านแท่นดอกบัวสีขาวพิสุทธิ์ดุจหยกนั้น พาดผ่านกลางอกของหญิงสาว และพาดผ่านขั้วหัวใจของภิกษุ!
นี่เป็นการโจมตีเดียวถึงชีวิต!
เพียงแค่มองก็พาให้ผู้คนสิ้นหวัง บังเกิดความสะพรึงยิ่งในใจ!
หลินสวินหนังศีรษะมึนชา ระหว่างที่งุนงง เสมือนมองเห็นวันใดวันหนึ่งในยุคบรรพกาล เงาร่างสีทองสายหนึ่งหล่นลงมาจากฟากฟ้ามาถึงอารามเก่าแก่แห่งนี้
ไม่นานบริเวณนี้ก็บังเกิดการต่อสู้สะท้านโลก ภิกษุเกรี้ยวโกรธ บังคับแท่นดอกบัวต้านศัตรู แสงธรรมส่องสว่างเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน
เพียงแต่ไม่สามารถต้านทานการสยบของเงาร่างสีทองที่ถือหอกยักษ์นั่นได้
ช่วงเวลาคับขันหญิงสาวปรากฏตัว พลีชีพเข้าช่วยภิกษุต้านการโจมตีนี้เอาไว้ กลับคิดไม่ถึงว่าศัตรูจะน่าหวาดกลัวเกินไป ภายใต้หอกเดียว แท่นดอกบัวพังยับ หญิงสาวสิ้นชีพ ภิกษุถูกแทงตัดผ่านขั้วหัวใจ
ก่อนตายหญิงสาวร้อนรนสิ้นหนทาง ภิกษุเศร้าโศกโกรธแค้น เต็มไปด้วยความไม่ยินยอม!
ทั่วร่างหลินสวินถูกเหงื่อเย็นชโลมโดยไม่รู้ตัว ถึงแม้จะคาดเดาความจริงได้เสี้ยวหนึ่ง แต่ในใจเขากลับรู้สึกไม่สมจริงอย่างช่วยไม่ได้
ยิ่งกว่านั้นบริเวณนี้มีไอสังหารน่าสะพรึงคละคลุ้งอยู่ ครอบฟ้าคลุมดิน นั่นคือจิตสังหารที่หลงเหลือในบริเวณนี้ไม่รู้เนิ่นนานเท่าไร เป็นอานุภาพสูงสุดของผู้แข็งแกร่งอริยมรรค!
หากไม่ใช่เพราะมีเจดีย์สมบัติไร้อักษร หลินสวินคงขวัญผวา จิตวิญญาณย่อยยับตายไปตั้งนานแล้ว!
ในขณะเดียวกันมู่เจิ้งเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน ทั่งร่างแข็งทื่อ สีหน้าเต็มไปด้วยแววอ่อนล้า มือเท้าต่างสั่นเทิ้ม
หากไม่ได้พลังของอาลยบาตรคอยคุ้มกัน เขาเองก็คงยืนหยัดไม่ไหวตั้งนานแล้วเหมือนกัน
เคร้ง!
เสียงระฆังที่เหมือนเตือนโลกดังกังวาน ไอสังหารและแรงบีบคั้นที่มีอยู่เต็มฟ้าดินแถบนี้ต่างก็สลายหายไป บรรยากาศเปลี่ยนเป็นพิสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์และครัดเคร่ง
ทอดมองไกลๆ อีกครั้ง เงาร่างภิกษุและหญิงสาวผู้นั้นต่างอันตรธานหายไป แม้แต่เงาร่างสีทองที่ราวกับเจ้าครองพิภพนั้นก็หาไม่เจออีกต่อไปด้วยเช่นกัน
ราวกับพวกเขาไม่เคยมีตัวตนมาก่อน สิ่งที่ได้เห็นทั้งหมดเมื่อครู่นั้นเป็นเพียงภาพลวงตาประหนึ่งฝันร้ายก็ไม่ปาน
“ที่แท้บรรพจารย์ตู้จี้ก็ถูกคนสังหารแล้ว… แต่ว่า… แต่ว่านางพญาหงส์ทมิฬผู้นั้นทำไม… ทำไมต้องพลีชีพเข้าช่วย…”
มู่เจิ้งพึมพำคล้ายไม่เข้าใจยิ่ง หัวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่น “บรรดาผู้อาวุโสในสำนักพวกนั้นไม่ใช่บอกว่าพวกเขาทั้งสองเป็นศัตรูกันหรือ… เหตุใด…”
ดังคาด!
หลินสวินได้ยินเช่นนี้ในใจก็ไม่อาจสงบลงได้ ก่อนหน้านี้เขาคาดเดาบางอย่างได้แล้ว แต่ไม่กล้ายืนยัน
แต่ยามนี้กลับไม่อาจไม่เชื่อแล้ว
ภิกษุและหญิงสาวที่ปรากฏตัวบนแท่นดอกบัวหยกขาวเมื่อครู่นั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นอริยสงฆ์ตู้จี้อารามกษิติครรภ์ผู้นั้น และหงส์ดำเลือดทมิฬที่เหยียบย่างบนอริยมรรค!
ตามคำเล่าลือ ไม่ใช่บอกว่าตู้จี้สังหารหงส์ดำเลือดทมิฬที่นี่ ทั้งยังผนึกตรึงนางเอาไว้หรอกหรือ แต่ทำไม… ทำไมทั้งคู่ถึงร่วมสู่เคียงบ่าเคียงไหล่กันจนตาย
หรือว่าคำเล่าลือเป็นเท็จ
หลินสวินตระหนักได้ว่าแม้แต่เบื้องลึกที่แม่นางเยวี่ยรู้มาทั้งหมด เกรงว่าจะเป็นเพียงข่าวลือด้วยเช่นกัน และมีความคลาดเคลื่อนจากความจริงอยู่มากโข!
แต่หากเป็นเช่นนี้จริงๆ แล้วเงาร่างสีทองสายนั้นที่สังหารพวกเขาเป็นใครกัน
ผู้ยิ่งใหญ่อริยมรรคทั้งสองกลับถูกคนสังหารต่อเนื่องในการโจมตีเดียว จุดนี้ก็น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว…
หลินสวินยิ่งคิดยิ่งตกใจ ไอเย็นเยียบแผ่ซ่านทั่วร่าง
……………….

Battling Records of the Chosen One

Battling Records of the Chosen One

Type: Author: ,
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์ ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้ แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน… In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history. In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing. Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned. Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset