ตอนที่ 2009 ต่อสู้อย่างบ้าคลั่ง
เจ็ดจั้ง!
หากไม่มีหมีอู๋หยาสกัดกั้นอยู่ตรงกลาง ระยะห่างแค่นี้เกรงว่าคงถูกหลินสวินกระโดดข้ามไปนานแล้ว
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น ในใจเหล่าผู้กล้ายังว้าวุ่นไปพักหนึ่ง ตื่นตระหนกกันไม่หยุด
แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!
หลินสวินในตอนนี้ทำให้ผู้คนสัมผัสได้ถึงอานุภาพล้นฟ้าที่ ‘ต่อสู้อย่างบ้าคลั่ง ไม่อาจทัดเทียม’ ทำให้จิตต่อสู้ของผู้คนสั่นสะท้าน
โดยเฉพาะเมื่อครู่ แค่ไม่ถึงชั่วดีดนิ้วก็มีบุคคลแห่งยุคสามคนถูกปราณกระบี่ไท่เสวียนสังหาร อีกสี่คนถูกหุบเหวลึกกลืนกิน!
ต่อให้จิ่งเทียนหนานและหลิงหงจวงลงมือขวาง ก็ถูกการโจมตีเดียวซัดสะเทือนถอย!
ภาพต่างๆ นั้นล้มล้างความเข้าใจของผู้คนจริงๆ
ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ผู้คนต่างคิดว่าหลินสวินบาดเจ็บหนักเจียนตายแล้ว ต่อให้ทุ่มพลังทั้งหมดเพื่อสู้สุดชีวิตก็คงยืนหยัดได้ไม่นานเท่าไหร่
แต่ตอนนี้…
ใครก็ไม่กล้ายืนยันเช่นนั้นแล้ว!
ตูม…
การต่อสู้ดุเดือดยิ่งกว่าเดิม เสียงมรรคดังกระหึ่มแผ่ขยายไปทั่วทิศ
หลินสวินที่ตกอยู่ในเจตจำนงต่อสู้อย่างสมบูรณ์ก็เหมือนเทพองค์หนึ่ง สำแดงมรรคาที่แข็งแกร่งที่สุดของตนออกมาในการเข่นฆ่า ปลดปล่อยวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดของตนออกมาในการนองเลือด!
‘บูรพาไม้เจี่ยอี่ ทักษิณไฟปิ่งติง ใจกลางดินอู้จี่ ประจิมทองเกิงซิน อุดรน้ำเหรินขุย ‘หวง’ (เหลือง) เป็นสีกลาง ‘ถิง’ (เรือน) ประสานนอกในทั้งสี่ทิศ…’
ต่อจากคัมภีร์กระบี่ไท่เสวียนและคัมภีร์กลืนกินไร้สิ้นสุด นัยเร้นลับแก่นแท้ของคัมภีร์มหามรรคหวงถิงดังกระหึ่มอยู่ในใจของหลินสวิน
อานุภาพทั่วร่างหลินสวินเปลี่ยนไปอีกครั้งทันที มีอานุภาพผงาดผยองของคำว่า ‘บนมหามรรค ข้าคือศูนย์กลาง’
ตรงจุดอวัยวะตันห้าภายในร่างเขา ราวกับมีวิญญาณเทพนั่งบัญชา แสงศักดิ์สิทธิ์พวยพุ่ง!
ฉึ่บ!
หลินสวินพลันแทงนิ้วออกไป ใช้พลังของร่างต้นสำแดงหนามเเสงคมออกมา ลำแสงที่พร่างพราวถึงขีดสุดปรากฏการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมด มีพลังกลืนกินที่พาให้คนใจสั่นระรัว
ห่างออกไปผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งต้านทานเต็มกำลัง ชั่วพริบตาก็ถูกแทงไหล่ทะลุ พลังกลืนกินที่ควบรวมจากลำแสงนี้กลืนร่างเขาไปกว่าครึ่ง ส่งเสียงร้องทุรนทุรายด้วยความหวาดผวา
เดิมทีเขาคิดว่าแค่ถูกแทงไหล่เท่านั้น โชคดีหนีพ้นเคราะห์ร้ายครั้งนี้ แต่ไหนเลยจะคิดว่าลำแสงนี้จะมีพลังกลืนกินที่น่ากลัวเช่นนี้ ชั่วพริบตาก็ตายคาที่!
ตูม!
จากนั้นนัยน์ตาหลินสวินพลันสาดเปลวเพลิงสองขมวดออกมา ในเหวลึกรอบตัวเขาอุบัติพลังแห่งความเป็นตายรุ่งโรจน์โรยร่วง กลางฝ่ามือกุม ‘ประทับแห่งสรรพชีวิต’…
อภินิหารพรสวรรค์นานัปการที่จิตแห่งอวัยวะตันห้าครอบครองถูกเขาหลอมรวมกับมรรควิถีแห่งตน ใช้พลังของร่างต้นสำแดงออกมาถึงขีดสุด
“อ๊าก…”
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้น ร่างของผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งถูกแผดเผา จิตสิ้นวิญญาณสลาย ไม่อาจต้านทานพลังของเนตรผลาญเผาได้
ขณะเดียวกันพลังแห่งความเป็นตายรุ่งโรจน์โรยร่วงของกายมรรคไม้เขียว ประทับแห่งสรรพชีวิตของกายมรรคดินเหลืองล้วนแสดงแสนยานุภาพ ซัดผู้แข็งแกร่งที่ล้อมโจมตีเข้ามาจนพินาศ บ้างกระอักเลือดถอยออกมา บ้างถูกโจมตีจนร่างกายบาดเจ็บส่งเสียงร้องอนาถ
เหตุการณ์อลหม่านและปั่นป่วน
ส่วนหลินสวินก็ก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง ก้าวเข้าสู่พื้นที่หกจั้ง เลือดอาบไปทั้งตัว มาดการต่อสู้ครอบคลุมทั่วบริเวณ!
“ไป!”
หมีอู๋หยาสีหน้าจริงจัง รอบตัวโอบล้อมด้วยแสงมรรคราวอริยเทพพุ่งโจมตีเข้ามา ยามขยับตัวจะชักนำอานุภาพของความว่างเปล่าโดยรอบ แต่ละกระบวนท่าล้วนเต็มไปด้วยมรรคขั้นสมบูรณ์ถึงขีดสุด
และด้วยมีเขาคอยสกัดจึงขวางการโจมตีของหลินสวินได้ เท่านี้ก็มองออกแล้วว่าหมีอู๋หยาน่ากลัวระดับใด
ต่อให้เป็นหลินสวินที่ใช้พลังเต็มกำลังสู้ศึก ก็ยากจะกำราบเขาให้พ่ายแพ้ยับเยิน
“ฆ่า!”
จิ่งเทียนหนานส่งเสียงก้อง ผมยาวพลิ้วไหว พุ่งจู่โจมเต็มกำลังเช่นกัน เผยความสามารถที่มีทั้งหมดออกมา พลานุภาพร้ายกาจสะเทือนใต้หล้า
ยามนี้ไม่มีใครกล้าชะล่าใจ รวมถึงหลิงหงจวงด้วย!
ทว่าจิตต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งคนอื่นในที่นั้นกลับถูกสั่นคลอนนานแล้ว ไม่กล้ารั้นปะทะอีก
ก่อนหน้านี้ภายใต้การล้อมโจมตีของพวกหมีอู๋หยา หลินสวินยังทยอยฆ่าคู่ต่อสู้คนแล้วคนเล่าได้ นี่ทำให้พวกเขาต่างขนพองสยองเกล้า
ใครเล่าจะไม่กังวลว่าตนจะตกเป็นคนที่ถูกฆ่ารายต่อไป
ด้วยเหตุนี้เมื่อไหร่ก็ตามที่สัมผัสได้ว่าอันตราย การตอบสนองแรกของพวกเขาก็คือหลบหนี ไม่กล้าลังเลและร่ำไรใดๆ
ถ้าหลินสวินตายแล้วก็ยังไม่รู้ว่าแท่นมรรคนั้นจะถูกใครยึดครอง แต่ก่อนที่หลินสวินจะตาย หากพวกเขาประสบเคราะห์ไปทีละคน นั่นก็จบเห่จริงๆ แล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้ในการปะทะซึ่งหน้า คนที่ต้านทานและห้ำหั่นกับหลินสวินได้จริงๆ ก็มีไม่ถึงสิบกว่าคนเท่านั้น ภายในนั้นยังรวมถึงบุคคลแห่งยุคอย่างหมีอู๋หยาและจิ่งเทียนหนานด้วย
ก็มีแค่สิบกว่าคนนี้ที่ตั้งมั่นว่าต้องเอาแท่นมรรคที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าหลินสวินมาให้ได้!
แม้จะมีผู้แข็งแกร่งคนอื่นเข้าโจมตีพร้อมกันน้อยลง แต่กลับทำให้พวกหมีอู๋หยาสู้ได้เต็มที่ ไม่ถูกจำกัดมือเท้าเหมือนก่อนหน้านี้อีก
เพราะถึงอย่างไรก็มีบางครั้งที่เกิดเรื่องอย่างพวกสมองหมูพาซวยเช่นกัน
แต่ผู้แข็งแกร่งที่ไม่กล้ารั้นปะทะกับหลินสวินพวกนั้นไม่ได้ยอมแพ้เพียงแค่นี้ พวกเขาเหมือนวิญญาณตามติด ลงมือยามสบโอกาส ประเดี๋ยวผลุบประเดี๋ยวโผล่ กลับเป็นว่าสร้างความรำคาญให้หลินสวินไม่น้อย
น่าเสียดาย หลินสวินที่จมสู่สภาพต่อสู้ถึงขีดสุด ในสายตา ในจิตใจ ในจิตวิญญาณมีแค่การสังหารศัตรู ไม่กลัวเรื่องทุกอย่างนี้แต่แรก
ตูม!
สายฟ้าผ่ากระหน่ำ แสงสายฟ้าฉีกแหวกห้วงอากาศ
นัยเร้นลับนานัปการของคัมภีร์มหาอสนีดับสูญที่เพิ่งหยั่งรู้ได้ไม่นานราวกับกระแสน้ำ ถูกหลินสวินหลอมรวมกับยอดมรรคาของตน จากนั้นก็ปลดปล่อยออกมาเต็มกำลังในการเข่นฆ่าโรมรัน
อสนีบาต เต็มไปด้วยพลังทำลายล้างและไอสังหาร เป็นมรรคสังหารที่แข็งแกร่งที่สุดบนโลก
ยามที่หลินสวินสำแดงวิชาออกมา ทั้งเขตแดนมรรคแรกกำเนิดราวเปลี่ยนเป็นเหวอสนี แสงสายฟ้าที่ดุดันพลุ่งพล่านไปทั่ว สามารถกลืนกินสรรพสิ่ง น่าพรั่นพรึงยิ่งกว่าเดิมแล้ว
ไม่ทันไรหมีอู๋หยาก็ถูกประทับอสนีที่เจิดจรัสดั่งดวงตะวันฟาดใส่ สะเทือนจนร่างโอนเอนเซไปมา ไม่อาจไม่หลบหลีก
พวกจิ่งเทียนหนาน หลิงหงจวงก็ถูกพายุสายฟ้าที่น่ากลัวบีบกด ได้แต่ต้านทานเต็มกำลัง
ภายใต้สถานการณ์นี้เอง…
ปึง! ปึง!
เสียงระเบิดทึบหนักดังขึ้น ผู้แข็งแกร่งสองคนเลือดสาดกระเซ็นฟ้า ถูกอสนีบาตชวนประหวั่นสังหารกระจุย สลายกลายเป็นธุลี ไม่เหลือแม้แต่ซาก
ส่วนหลินสวินก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างแข็งกร้าวอีกครั้ง
เหลือระยะห่างก่อนถึงประตูทลายแค่ห้าจั้ง!
ทว่าไม่มีใครรู้ว่าหลินสวินในตอนนี้ลืมสิ้นทุกสิ่งนานแล้ว ในใจเหลือแค่จิตต่อสู้ ไม่สนใจเรื่องพวกนี้อย่างสิ้นเชิง
แต่เหล่าผู้กล้าในที่นั้นกลับหน้าเปลี่ยนสีอย่างสมบูรณ์ ถูกทำให้ตกตะลึงแล้ว
…
ตอนที่การต่อสู้ชุลมุนตรงหน้าประตูทลายนี้ปะทุขึ้น รวมแล้วมีผู้แข็งแกร่งสี่สิบกว่าคนอยู่รวมกัน ไม่มีใครที่ไม่ใช่ยักษ์ใหญ่ในระดับเดียวกัน ทั้งครองรากฐานพลังชวนประหวั่นราวกับนายเหนือหัว
แต่ตอนนี้กลับมีเกือบยี่สิบคนที่ถูกหลินสวินสังหารอย่างไร้ปรานี!
นี่เป็นจำนวนที่สามารถทำให้ทั่วหล้าสะท้านสะเทือน ใต้หล้าสั่นสะท้าน หากแพร่กระจายออกไปต้องชักนำมาซึ่งความปั่นป่วนโกลาหลแน่นอน
ต้องรู้ว่าในจำนวนนี้ไม่ขาดปีศาจแห่งยุคที่ก้าวสู่ยอดมรรคา ครองพลังต่อสู้ที่ไม่ด้อยไปกว่าหวงฝู่เซ่าหนง
อย่างเฟิงเป่ยหลิงหรือเวินอวี๋เป็นต้น
หากไม่ใช่พวกที่ผู้คนเคารพเลื่อมใส ก็เป็นคนที่ไร้คู่ต่อกรของเขตแดนดาราแห่งหนึ่ง แต่ตอนนี้ทั้งหมดกลับถูกหลินสวินคนเดียวสังหาร!
หากอยู่ในโลกภายนอก การต่อสู้นองเลือดเช่นนี้คงไม่มีทางเกิดขึ้นแต่แรก
เพราะคงไม่มีสัตว์ประหลาดเฒ่าของสำนักไหนนั่งนิ่งดูดาย มองผู้สืบทอดของตนถูกทำร้ายตาปริบๆ
แต่แน่นอนว่าในเขตต้องห้ามเซียนโบราณนี้ต่างจากโลกภายนอก อย่างน้อยเหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับจักรพรรดิอย่างพวกไท่ซูหงก็ได้แต่รออยู่ข้างนอก ไม่ต้องกล่าวถึงว่าไม่อาจแทรกแซง สำหรับการต่อสู้ชุลมุนที่กำลังเปิดฉากนี้ก็เรียกได้ว่าไม่อาจมองเห็น
“น้ำเลือดและซากศพพวกนั้นกำลังปูทางไร้คู่ต่อกรให้เขา หรือพูดได้ว่าเส้นทางไร้คู่ต่อกรของเขา กำลังก่อตัวในการเข่นฆ่าและกลิ่นคาวเลือดนี้…”
หลิงเคอจื่อพึมพำ จิตวิญญาณสูญเสียการควบคุม
ก่อนหน้านี้เขายังรู้สึกบีบคั้นหัวใจแทนหลินสวิน แต่ตอนนี้จิตวิญญาณของเขากลับถูกความตระหนกเข้าปกคลุม ถูกท่าทางไร้ศัตรูที่หลินสวินเผยออกมาทำให้หวั่นหวาด
“ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน เคยมีบุคคลไร้ศัตรูในตำนานที่ชื่อเสียงสะเทือนบนฟ้าดารามากมาย และเคยมีการต่อสู้ที่น่าชื่นชมมากมายปะทุขึ้นเช่นกัน…”
เสวียนจิ่วอิ้นตื่นเต้นจนสองตาเปล่งประกาย ริมฝีปากสั่นเทิ้ม “แต่ข้าก็ไม่เคยเห็นใครที่เทียบกับเจ้าหมอนี่ได้สักคน และไม่เคยได้ยินว่าศึกใหญ่ครั้งไหนจะสะท้านสะเทือนได้เหมือนการต่อสู้ครั้งนี้!”
“แข็งแกร่ง!”
“แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!”
“แข็งแกร่งถึงที่สุด นี่แหละคือไร้ศัตรู!”
เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ของเสวียนจิ่วอิ้นสูญเสียการควบคุมอยู่บ้างแล้ว
…
ผ่านไปชั่วสิบดีดนิ้ว
หมีอู๋หยาที่ราวกับเสาหลักกลางกระแสชลซึ่งไม่อาจทลาย สุดท้ายก็ถูกโจมตีจนบาดเจ็บในการปะทะ ริมฝีปากมีรอยเลือดสายหนึ่งไหลออกมา
แววตาเขาดุจอัคคี ส่องประกายดุจคบเพลิง ไม่เพียงไม่ตระหนก จิตต่อสู้กลับลุกโชนยิ่งกว่าเดิม
พร้อมกันนั้นมีผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งถูกหลินสวินใช้เสียงคำรามผูเหลาซัดสะเทือนจิตวิญญาณ จบชีวิตลงตรงนั้น ยามตายเขาเลือดออกเจ็ดทวาร ใบหน้าเจือความหวาดผวา
ส่วนหลินสวินก็ไม่เคยมีสัญญาณว่าจะถดถอยใดๆ!
ผ่านไปชั่วยี่สิบดีดนิ้ว
ในการปะทะซึ่งหน้า จิ่งเทียนหนานที่ดูไม่ยินยอมและเผยอานุภาพดุดันมาตลอดระเบิดเสียงตวาดออกมา สำแดงวิชาสังหารเต็มกำลัง
ฝ่ามือหนึ่งซัดภาพชวนประหวั่นอย่าง ‘สุริยันจันทราจมดิ่ง ดาราวัฏจักรดับสลาย’ ออกมา
หมีอู๋หยายังหันมองอย่างอดไม่ได้ เผยสีหน้าประหลาด
หลิงหงจวงพลันหยุดการโจมตี พลังของฝ่ามือนี้ทำให้นางรู้สึกตะลึงหาใดเปรียบ
ตูม!
ท่ามกลางเสียงกึกก้องปานฟ้าถล่มดินทลาย หลินสวินซัดฝ่ามือหนึ่งออกไปต้านเช่นกัน ระหว่างทั้งสองมีแสงเทพเหลือคณาสาดกระเซ็น
เหล่าผู้กล้าที่กำลังล้อมโจมตีหลินสวินล้วนหลีกหลบตามจิตใต้สำนึก เกรงแต่จะถูกลูกหลง
การปะทะครั้งนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าจิ่งเทียนหนานโมโหจริงๆ บุกโจมตีเต็มกำลัง พลานุภาพร้ายกาจไร้จำกัด
แต่เพียงพริบตา…
กร๊อบ!
เสียงกระดูกแตกที่ชัดกระจ่างดังขึ้น ก็เห็นแขนเสื้อของจิ่งเทียนหนานระเบิดออก ปลิวว่อนเหมือนผีเสื้อบินผ่านดอกไม้ ส่วนแขนขวาของเขากลับระเบิดออกทุกกระเบียด
เขาร้องโหยหวน ทั้งตัวล้วนถูกลมฝ่ามือที่น่ากลัวกระแทกปลิว
เห็นชัดว่าในการปะทะนี้ คนที่ดุดันหาใดเปรียบอย่างจิ่งเทียนหนานก็ยังสู้หลินสวินไม่ได้ ถูกทำร้ายสาหัสซึ่งหน้า เสียแขนไปข้างหนึ่ง!
ทุกคนหน้าเปลี่ยนสีโดยพร้อมเพรียง
ส่วนหลินสวินก็ฉวยโอกาสพุ่งไปข้างหน้า มาถึงพื้นที่สามจั้งตรงๆ!
เสื้อผ้าเขาอาบเลือด ผมเผ้ายุ่งเหยิง บนร่างปกคลุมด้วยบาดแผลเลือดชโลมไม่รู้เท่าไหร่ แต่อานุภาพในการต่อสู้ที่แผ่ออกมาจากร่างเขากลับคลุมฟ้าบังตะวัน ราวกับแสงพวยพุ่งช่วงโชติ!
เวลานี้มีผู้แข็งแกร่งบางส่วนยอมแพ้แล้ว ถอยห่างไปยังพื้นที่ห่างไกล ไม่กล้าเข้ามาใกล้อีก
ถังซูและฮว่าซิงหลีก็เช่นกัน
ความแข็งแกร่งและอำมหิตของหลินสวินทำให้พวกเขาขวัญหนีดีฝ่ออย่างสมบูรณ์ มองไม่เห็นความหวังอะไรที่จะไปขัดขวางหนทางเบื้องหน้าหลินสวินอีก
ขณะเดียวกันในใจก็เกิดความรู้สึกเคารพนับถือและกริ่งเกรงขึ้นมาบ้าง
พวกเขาต่อสู้กับหลินสวิน ไม่ใช่ว่าเป็นศัตรู และไม่ได้แค้นจนต้องฆ่ากัน แค่ต้องการชิงแท่นมรรคนั่นมาเท่านั้น
ต่อสู้มาถึงตอนนี้ พวกเขาต่างรู้ชัดแล้วว่าด้วยความสามารถของตน ไม่ต้องกล่าวถึงว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลินสวิน ต่อให้ชิงแท่นมรรคนั้นมาได้ ครู่ต่อมาก็ต้องถูกเหล่าผู้กล้ากำจัด!
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ในใจของทั้งสองดับความคิดที่จะไปชิง ‘มหาสมบัติแรกกำเนิด’ แล้ว
ศุภโชคใหญ่ที่เย้ยฟ้าเช่นนี้ ดูเหมือนว่าทุกคนล้วนมีโอกาสไปแย่งชิง แต่สิ่งสำคัญคือต้องใช้ชีวิตไปแย่งมา!
………………………