กลางหุบเขางดงามเงียบเชียบที่อยู่ห่างจากเขาเมฆาไกลแสนไกล
ยามที่เงาร่างของหลินสวินเดินออกมาจากอุโมงค์อากาศ ภิกษุเฒ่าที่กำลังเดินหมากอยู่กับบรรพจารย์จักรพรรดิเสินซวีที่รูปร่างหน้าตาคล้ายเด็กหนุ่ม บนศีรษะสวมเกี้ยวประดับดอกบัวจู่ๆ ก็ฉายรอยยิ้มบางๆ ออกมา
“นับแต่บัดนี้ไป การเดินหมากเริ่มขึ้นแล้ว ตัวแปรก็ใกล้เข้าฉากแล้ว กระดานนี้… ขึ้นอยู่กับว่าใครจะเป็ฯคนสุดท้ายที่สามารถวางหมากได้เหนือชั้นกว่า และรุ่นเราก็มาถูกเวลาพอดี สมกับที่ลำบากตรากตรำเฝ้ารออยู่ที่นี่”
เขาส่งเสียงทอดถอนใจออกมาคราหนึ่ง รอยย่นทั่วใบหน้าเจือประกายแสงที่เหมือนสลักด้วยกาลเวลาก็ไม่ปาน
“ฉานถูไม่มีทางจากไปจริงๆ เสวียนซั่งเฉินก็เป็นพวกไม่อยู่เฉย พวกเขาก็น่าจะนับเป็นสองตัวแปร แต่หากต้องการตีชิงตามไฟ เกรงว่าคงเป็นไปไม่ได้”
บรรพจารย์จักรพรรดิเสินซวีคีบหมากตัวหนึ่งขึ้นมา กล่าวสบายๆ “ส่วนข้าไม่คิดสนใจตัวแปรอะไร และไม่สนใจคีรีดวงกมลอะไรทั้งนั้น ขอเพียงคว้ามหาสมบัติแรกกำเนิดนั่นได้ การเคลื่อนไหวครั้งนี้ก็นับว่าสำเร็จลุล่วงอย่างสมบูรณ์”
เขากล่าวพลางตั้งท่าจะวางหมาก แต่มือที่อยู่กลางอากาศกลับหยุดชะงักไป
เกือบจะในเวลาเดียวกัน หัวคิ้วของภิกษุเฒ่าเลิกขึ้น กล่าวอย่างอึ้งงัน “ดูท่า… ตัวแปรจะมาก่อนเวลาเสียแล้ว ”
“ในเมื่อเป็นการประชันหมาก คิดอยากล่มกระดานย่อมต้องหาเส้นทางใหม่ ลงมือจากจุดที่อยู่เหนือคาดหมายของผู้คน”
เสียงหัวเราะเบิกบานสายหนึ่งดังขึ้น
ก็เห็น…
เงาร่างซูบผอมสายหนึ่งเดินออกมาจากไกลๆ แขนเสื้อกว้างโบกสะบัด ท่าทางผ่อนคลาย โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น สว่างไสวดุจดวงดารา ปราศจากความมัวหมอง
พร้อมๆ กับการย่างก้าวของเขา กลางฟ้าดินดุจดั่งดวงดาวโคจร สรรพสิ่งแปรเปลี่ยน ทิวทัศน์ทั้งหมดล้วนหายไปราวกับฟองสบู่
สุดท้ายกลายเป็นความว่างเปล่าสีดำสนิท ไร้ฟ้าไร้ดิน มีเพียงความว่างเปล่า!
หรือกล่าวได้ว่า ฟ้าดินและหุบเขาก่อนหน้านี้ล้วนแต่เกิดจากภาพมายา ทิวทัศน์ที่แท้จริงเป็นภิกษุเฒ่าและเด็กหนุ่มชุดดำคนนั้นนั่งวางหมากอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่าสีดำมาโดยตลอด!
แต่เวลานี้เงาร่างซูบผอมสายนั้นทำลายภาพมายา สาวเท้าเดินเข้ามา การทำเช่นนี้เหมือนกับการบุกรุกโลกของอีกฝ่าย!
“หลี่เสวียนเวยแห่งคีรีดวงกมล?”
บรรพจารย์จักรพรรดิเสินซวีที่ดูเหมือนเด็กหนุ่มขมวดคิ้ว
“นอกจากบัวเขียวที่ปลูกในแดนแรกกำเนิดด้วยมือของเจ้าแห่งคีรีดวงกมลอย่างเขาแล้ว บนโลกใบนี้ยังมีใครที่สามารถบุกรุก ‘โลกอาคมจักรพรรดิ’ ของเจ้ากับข้าได้ง่ายดายปานนี้อีกหรือ”
บรรพจารย์จักรพรรดิเนี่ยคงที่ดุจดั่งภิกษุเฒ่าส่งเสียงทอดถอนใจออกมา “ข้าพูดถูกแล้วไหมเล่า จักรพรรดิกระบี่ฟ้าคราม? ไม่สิ หรือควรเรียกว่า ‘บรรพาจารย์กระบี่ฟ้าคราม’?”
ผู้มาก็คือหลี่เสวียนเวย!
เขาหัวเราะสบายๆ กล่าวว่า “แค่คำเรียกขานเท่านั้น ไม่เห็นใส่ใจ ที่สำคัญคือครั้งนี้ข้าคนแซ่หลี่มาโดยไม่ได้รับเชิญ แค่เพราะอยากประลองหมากกับท่านทั้งสองสักกระดานเท่านั้น”
ห่างออกไปพันจั้ง หลี่เสวียนเวยยืนนิ่ง เงาร่างสูงโปร่งเหยียดตรง คิ้วตาเจือรอยยิ้ม “ใครแพ้ คนนั้นก็ทิ้งชีวิตไว้เป็นอย่างไร”
“ตัวแปรที่ยิ่งใหญ่นัก”
บรรพจารย์จักรพรรดิเนี่ยคงทอดถอนใจ
บรรพจารย์จักรพรรดิเสินซวีก็หยัดกายขึ้น นัยน์ตาเย็นเยียบดุจสายฟ้า จับจ้องหลี่เสวียนเวยจากที่ไกลโพ้น “ได้ยินมานานแล้วว่า ‘วิชาบัวเขียวหยั่งโลก’ ของเจ้ายอดเยี่ยมเลิศล้ำ เร้นลับไร้ขอบเขต ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ”
กลิ่นอายน่าสะพรึงไร้รูปสายหนึ่งแผ่ออกมาจากตัวเขา
หลี่เสวียนเวยกล่าวยิ้มละไม “ลองดูสักครั้งก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ ภิกษุ เจ้าว่าอย่างไรเล่า”
บรรพจารย์จักรพรรดิเนี่ยคงที่นั่งขัดสมาธิอยู่หน้าหมากกระดานค่อยๆ หยัดตัวขึ้น นัยน์ตาชราขุ่นมัวเปลี่ยนเป็นกระจ่างใสและเจิดจ้า เงาร่างโค้งค่อมก็เปลี่ยนเป็นเหยียดตรงเช่นกัน
แม้แต่รอยย่นทั่วใบหน้ายังอันตรธานหายไป กลายเป็นผิวพรรณประหนึ่งเด็กแรกเกิด
เขาพนมสองมือ ใบหน้าขึงขัง “เช่นนั้นก็ล่วงเกินแล้ว”
ตูม!
โลกว่างเปล่าสีดำสนิทอันกว้างใหญ่ ถูกแสงธรรมและเสียงสวดอันลึกล้ำไร้สิ้นสุดเติมเต็ม ขับเน้นจนบรรพจารย์จักรพรรดิเนี่ยคงดุจดั่งทวยเทพสูงสุด
หลี่เสวียนเวยยืดตัวบิดขี้เกียจคราหนึ่ง คล้ายเรียกความกระปรี้กระเปร่า ยิ้มกล่าวว่า “มาเถิด รีบตายรีบไปเกิดใหม่”
…
เขาเมฆา บรรยากาศเงียบสงัด
เมื่อเห็นหลินสวินสีหน้าเรียบเฉยสบายๆ ผ่อนคลายไม่ร้อนรน ถึงกับไม่เคยเผยแววกลัดกลุ้มใดๆ ออกมาสักนิด ทำให้ในใจระดับจักรพรรดิไม่น้อยต่างรู้สึกแปลกประหลาดอยู่บ้าง
“ดูท่านเจ้าคงรู้อยู่แล้วว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
จักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นจากเรือนมรรคดึกดำบรรพ์คลี่ยิ้มเย็น “เช่นนั้นข้าจะบอกเจ้าให้ ต่อให้วิญญาณเร่ร่อนพวกนั้นโผล่มาก็ช่วยเจ้าไว้ไม่ได้!”
วิญญาณเร่ร่อน!
เมื่อได้ยินสี่คำนี้ หลินสวินก็ตัดสินได้เรื่องหนึ่ง การช่วงชิงมหาสมบัติแรกกำเนิดครั้งนี้ไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เห็ฯภายนอกจริงๆ ด้วย
และตนเอง บางทีอาจกลายเป็นเหยื่อล่อชิ้นหนึ่ง จุดประสงค์ก็เพื่อล่อบรรดาศิษย์พี่จากคีรีดวงกมลเหล่านั้นออกมา!
“เจ้าเฒ่า เจ้านี่ข่มอารมณ์ไม่ไหวปานนี้ อีกเดี๋ยวเกรงว่าจะประสบเคราะห์เป็นคนแรก”
หลินสวินยังคงสีหน้าเรียบเฉยดังเดิม
จักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นหลุดขำ คล้ายกับคร้านจะปะทะฝีปากกับหลินสวิน กล่าวตรงๆ ว่า “ส่งมหาสมบัติแรกกำเนิดและยอดศุภโชคชิ้นนั้นบนตัวเจ้าออกมา ข้าจะให้เจ้าตายสบายสักหน่อย!”
เสียงดุจสายฟ้าฟาด บีบคั้นเต็มเปี่ยม
อานุภาพระดับจักรพรรดิอันน่าสะพรึงหอบม้วน ประหนึ่งเขาถล่มคลื่นซัดโหม สั่นคลอนฟ้าดินแถบนี้
การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของจักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นก็เหมือนชนวนระเบิด กลิ่นอายที่แต่เดิมปกคลุมในพื้นที่แถบนี้ ใช้พลังเจตจำนงจับจ้องไปยังร่างหลินสวินต่างก็เริ่มระแวดระวังขึ้นมา
เสมือนเกรงว่าหลินสวินจะถูกจักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นชิงฆ่าตายก่อน!
“เจ้าพวกเศษเดนคีรีดวงกมลยังไม่ทันปรากฏตัวก็ทนไม่ไหวแล้วหรือ ไม่รู้ว่าสถานการณ์ตรงหน้าจะส่งผลลุกลามหรือไร”
น้ำเสียงเรียบเฉยสายหนึ่งดังขึ้น ประณามการเคลื่อนไหวของจักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้น
“ถ้าจะลงมือจริงๆ เจ้าเดรัจฉานนี่ก็ควรให้เรือนมรรคจักรวาลของข้าจัดการ ผู้สืบทอดเหล่านั้นของเรือนมรรคจักรวาลของข้าจะต้องไม่ตายเปล่า!”
น้ำเสียงนิ่งขรึมอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น
“จะแก่งแย่งกันตอนนี้หรือ เช่นนั้นก็ดี ข้าจะได้ไม่ต้องเกรงใจอีก ประโยคเดียวเท่านั้น มหาสมบัติแรกกำเนิดบนตัวเจ้าหมอนี่ต้องเป็นของเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ของข้า”
“เป็นของเจ้า? เจ้าเฒ่า ไม่ได้เจอกันหลายปีขนาดนี้ ยังคุยโวคำโตอยู่เหมือนเดิม!”
เสียงหลายเสียงดังขึ้น เปี่ยมด้วยกลิ่นอายกร้าวแกร่ง ทำเอาฟ้าดินเมฆลมแถบนี้เปลี่ยนสี
หลินสวินมองดูภาพนี้อย่างเฉยชา ในใจผุดอารมณ์ที่อธิบายไม่ถูก เจ้าเฒ่าพวกนี้อวดดีปานใด นี่กำลังมองเขาเป็นเหยื่อให้แก่งแย่งกันอยู่หรือ
ตูม!
ห้วงอากาศพังทลาย ซ้ำยังมีคนลงมือตรงๆ ยื่นมือยักษ์บดบังฟ้าข้างหนึ่งออกมา คว้าไปทางหลินสวิน
แต่ระหว่างทางก็ถูกมือใหญ่อื่นๆ ที่ยื่นออกมาขัดขวางเอาไว้ บังเกิดแรงปะทะสะเทือนฟ้าดิน เสียงมรรคอึงอล
“เข้ามาเถอะ!”
ท่ามกลางฝุ่นละอองคละคลุ้ง ทันใดนั้นเงาแส้สีเทาขุ่นสายหนึ่งก็ปรากฏอยู่เหนือศีรษะหลินสวิน ปิดครอบลงมา เร็วจนน่าเหลือเชื่อ
“แส้เร้นนภา!”
มีเสียงอุทานตกใจดังขึ้น ยามเมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ก็หยุดยั้งไม่ทันแล้ว
“เปิด!”
ก็เห็นหลินสวินไม่ขยับเขยื้อน ในเรือนผมเขากลับมีปราณกระบี่ที่เหมือนลำแสงคมสายหนึ่งพุ่งโฉบออกมา ฟันเบาๆ กลางห้วงอากาศ
เงาแส้สีเทาขุ่นสายนั้นถูกฟันออกเป็นสองท่อน สลายไปอย่างไร้สุ้มเสียง
ส่วนปราณกระบี่สายนั้นกลับกลายเป็นคนจิ๋วสามซุ่น เป็นวิญญาณกระบี่เย่จื่อนั่นเอง!
เงาร่างของเขาเล็กจ้อยถึงขีดสุด แต่เมื่อเข้าสู่สายตาของเหล่าระดับจักรพรรดิ กลับเสมือนมองเห็นอาทิตย์ดวงใหญ่ที่ส่องแสงเด่นกลางฟ้า ลำแสงสาดหมื่นจั้ง พร่าตาไร้ทัดเทียม
“วิญญาณกระบี่!”
สถานการณ์ที่ชุลมุนแต่เดิมพลันสงบนิ่งลงทันควัน คนใหญ่คนโตมากมายต่างหรี่ตาลง คล้ายรู้สึกประหลาดใจยิ่ง
มีเพียงสมบัติจักรพรรดิบริสุทธิ์จึงจะให้กำเนิดวิญญาณอาวุธที่แท้จริงได้ ล้ำค่าและหายากอย่างที่สุด แม้จะเป็นระดับจักรพรรดิยังมีน้อยยิ่งกว่าน้อยที่สามารถฟูมฟักวิญญาณอาวุธเช่นนี้ออกมาได้
“ดูท่าว่าของดีในมือเจ้าหมอนี่จะมีไม่น้อยเลย”
น้ำเสียงเย็นเยียบสายหนึ่งดังขึ้น
ระดับจักรพรรดิมากมายยิ่งกระเหี้ยนหระหือรือ
และท่ามกลางเงามืดนั้น ยิ่งมีพลังเจตจำนงน่าสะพรึงไม่รู้เท่าไหร่กำลังสั่งสมพลังเตรียมบุก
“ข้าสงสัยมากกว่า ว่าจนป่านนี้แล้วเหตุใดวิญญาณเร่ร่อนแห่งคีรีดวงกมลพวกนั้นถึงยังไม่โผล่มาอีก…”
มีคนพูดเบาๆ ทำให้ในใจคนไม่น้อยสะท้าน
การเดินหมากครั้งนี้ เริ่มเปิดม่านตั้งแต่ตอนที่หลินสวินปรากฏตัวแล้ว
และเหตุที่พวกเขาไม่ลงมือฆ่าหลินสวินทันที ก็เพราะห่วงว่าถ้าฆ่าเหยื่อล่อแล้วจะทำให้ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลเหล่านั้นหนีเตลิดไปก่อน
แต่สถานการณ์ดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว สถานการณ์ของหลินสวินยิ่งอันตรายถึงขีดสุด ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลพวกนั้นกลับยังไม่เคยปรากฏตัว นี่ทำให้พวกเขาอดระแวงขึ้นมาไม่ได้
แต่ก็มีคนที่มีที่พึ่ง ไม่นึกเกรงกลัวแต่อย่างใด
เหมือนอย่างจักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้น เขาโบกมือคราหนึ่งอย่างไม่ลังเล เงาแส้สีเทาขุ่นสายหนึ่งก็ปรากฏอยู่เหนือศีรษะหลินสวิน ปิดครอบลงมาอีกครั้ง
เห็นได้ชัดว่าเจ้าของแส้เร้นนภานั่น ก็คือจักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้น!
วิญญาณกระบี่เย่จื่อเลือดเย็นยิ่ง ยกมือขึ้นกวาดเบาๆ ปราณกระบี่พาดขวาง ฟันใส่การโจมตีนี้
“ฮ่าๆ ให้ข้าจัดการดีกว่า วิญญาณกระบี่นี่ไม่ธรรมดา สามารถหลอมเป็นจิตแห่งศาสตรามารเชียว จะถูกพวกเจ้าเหยียบย่ำไม่ได้เด็ดขาด”
เสียงหัวเราะดังลั่นสายหนึ่งดังขึ้น กลางห้วงอากาศปรากฏภูเขาใหญ่กระดูกขาวลูกหนึ่ง จักรพรรดิมารผลาญนภายืนผ่าเผยอยู่บนนั้น ฝ่ามือหนึ่งกดไปทางหลินสวินทันควัน
“เจ้าต้องการวิญญาณกระบี่นี่ ข้าต้องการชีวิตเจ้าหมอนี่!”
จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงเองก็ลงมือเช่นกัน เรียกกะบังมังกรเพลิงออกมา พ่นฝนเพลิงมหาศาลกลายเป็นทะเลเพลิง ไหลทะลักปั่นป่วนพุ่งไปทางหลินสวิน ผลาญฟ้าทำลายดิน น่าสะพรึงไร้สิ้นสุด
“เฮอะ! นั่นก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าทุกคนจะตกลงหรือไม่!”
“เป็นเช่นนี้แหละ”
เพียงพริบตาเท่านั้นก็มีมือใหญ่ข้างหนึ่งแผ่คลุมลงมาประหนึ่งปิดฟ้าครอบตะวัน ซ้ำยังมีสมบัติลับบางส่วนพุ่งพาดกลางอากาศ พลังเข่นฆ่าสะท้านฟ้า
และก็เป็นชั่วขณะนี้ ด้านหน้าหลินสวินปรากฏเงาร่างกำยำหาใดเปรียบสายหนึ่ง รอบกายวิวัฒน์เป็นเส้นสายอสนีไร้จำกัด ดุจดั่งเทพอสนีบรรพกาลมาเยือนโลก
ตูม!
เขาเงื้อหมัดซัดฆ่า เจือกฎเกณฑ์อสนีไร้สิ้นสุด กัมปนาทกึกก้องแหวกเปิดห้วงอากาศ แสงอสนีสั่นสะเทือนเก้าชั้นฟ้า!
เพียงพริบตาโต้กลับการโจมตีที่มาจากสี่ทิศแปดทางให้สลายไป
ละอองแสงสาดพรม ยิ่งขับเน้นให้เงาร่างสายนั้นดูเหนือธรรมดา ดุจดั่งร่างแปลงแห่งมรรคอสนี เผด็จการไร้ขอบเขต!
“จักรพรรดิอสนีดับสูญ! เจ้าถึงกับยังไม่ตายหรือ”
เสียงแก่ชราที่ดูตกใจสายหนึ่งดังขึ้นกลางฟ้าดินแถบนี้
เหล่าจักรพรรดิในที่นั้นต่างตกใจทันที
พวกจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิง จักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นยิ่งหน้าเปลี่ยนสีครั้งใหญ่
จักรพรรดิอสนีดับสูญจี้เสวียน บุคคลในตำนานระดับจักรพรรดิเก้าชั้นฟ้า ตำนานที่ผู้ครอบครองมรรคอสนีไม่มีใครเทียบได้!
เผชิญหน้ากับบุคลระดับนี้ ระดับจักรพรรดิในที่นี้อย่างพวกจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิง ก็ไม่ต่างอะไรกับพวกรุ่นเด็กเลยสักนิด!
“ในคำเล่าลือ คนผู้นี้ไม่ใช่ร่วงหล่นในเขตต้องห้ามเซียนโบราณตั้งแต่ยุคบรรพกาลแล้วหรือ”
คนมากมายอารมณ์ปั่นป่วน ไม่อาจสงบได้
คนรุ่นเยาว์ที่ไม่สลักลสำคัญอะไรอย่างหลินสวิน กลับไม่เพียงครอบครองวิญญาณกระบี่ ข้างกายยังมีจักรพรรดิอสนีดับสูญคอยปกป้อง นี่อยู่นอกเหนือการคาดหมายของทุกคนโดยสิ้นเชิง
ใครเลยจะคาดคิด แค่ต่อกรกับเจ้าตัวจ้อยคนหนึ่งเท่านั้น พวกผู้สืบทอดคีรีดวงกมลเหล่านั้นยังไม่ทันปรากฏตัว ก็เกิดระคลอกคลื่นผันผวนเช่นนี้ขึ้น
“ที่แท้ผ่านไปหลายปีขนาดนี้ ถึงกับยังมีคนจำข้าได้อยู่”
เงาร่างของจี้เสวียนพร่างพราย อาบชโลมอยู่ท่ามกลางกฎเกณฑ์มรรคอสนีที่โชติช่วงปะทุเดือด กล่าวเสียงเย็น “แต่ที่ข้าคิดไม่ถึงคือ… คนอย่างพวกเจ้ากลับร่วมกันลงมือกับคนรุ่นเยาว์คนหนึ่ง ไม่รู้สึก… ไร้ยางอายเกินไปหรือไร”
น้ำเสียงเจือแววดูถูกและเหยียดหยามอย่างไม่คิดปกปิด
——