Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 952 แดนไร้ชีวิต อารามกษิติครรภ์

ทันใดนั้นการสนทนาถูกขัดจังหวะ สายตาของพวกหลินสวินทยอยมองไปทางซุ่นไป๋เสวียน
อัจฉริยะแห่งยุคจากตระกูลอริยะชั้นสูงผู้มีนิสัยหยิ่งผยองคนนี้ เวลานี้กลับผมเผ้ากระเซิง เสื้อผ้าขาดวิ่น บนผิวเต็มไปด้วยรอยแผล
แขนขาของเขาขนาบราบกับพื้น กระตุกเกร็งทั่วร่างเหมือนเป็นโรคลมชัก ตรงกันข้ามกับท่าทียโสโอหังไม่เห็นผู้ใดในสายตาเมื่อครู่ลิบลับ
เวลานี้เกรงว่า ต่อให้เป็นคนที่สนิทกับซุ่นไป๋เสวียนล้วนไม่กล้ารับว่ารู้จักกัน
น่าสมเพชเกินไปจริงๆ พาให้ผู้คนนึกเวทนา
“เฮ้อ ในที่สุดเจ้าคนตาถั่วคนนี้ก็ทำผิดพลาดจนได้”
พวกโค่วซิงถอนหายใจ
ทันทีที่ประโยคนี้เอ่ยออกมา อาการกระตุกเกร็งทั่วร่างของซุ่นไป๋เสวียนยิ่งรุนแรงขึ้น
เขาหันหน้าไปทางดาดฟ้าทำให้ผู้คนไม่สามารถมองเห็นสีหน้า แต่ทุกคนต่างรู้กันหมดว่า เขาในยามนี้กลัวแต่จะรู้สึกอับอายโกรธเกรี้ยวจนอยากตาย ไม่มีหน้าไปพบใครแล้ว
สีหน้าแม่นางเยวี่ยดูแปลกไป
ตระกูลซุ่นเป็นตระกูลเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์รุ่งโรจน์ตระกูลหนึ่ง ตั้งแต่ยุคบรรพกาลจวบจนปัจจุบันเคยมีอริยบุคคลย่างกรายออกมามากกว่าหนึ่งคน
ทั่วทั้งสี่แดนวิภูของดินแดนรกร้างโบราณ ตระกูลซุ่นก็เรียกได้ว่าเป็นขุมอำนาจหนึ่ง อำนาจสะท้านเขตแคว้น เมื่อเทียบกับสำนักโบราณชั้นสูงในตอนนี้ล้วนไม่ได้ด้อยไปกว่ากันนัก
ในฐานะทายาทตระกูลซุ่น ถูกมองว่าเป็นอัจฉริยะประหนึ่งราชันมาร ซุ่นไป๋เสวียนผู้นี้กลับถูกซัดน่วมจนเป็นสภาพเช่นนี้ ช่างทำให้ผู้คนละห้อยละเหี่ยเสียจริง
สีหน้าลั่วเจียก็ดูพิกลไปน้อยๆ เช่นเดียวกัน
หากโลกภายนอกรู้เข้าว่าราชันมารจอมก่อกวนที่ทำให้คนรุ่นเยาว์หน้าเปลี่ยนสียามเอ่ยถึง วันนี้กลับถูกเด็กสาวคนหนึ่งซัดน่วมจนสภาพเป็นเช่นนี้ ก็ไม่รู้ว่าควรจะคิดอย่างไร
“นี่พวกเจ้ากำลังรนหาที่ตายอยู่หรือ!”
ซุ่นไป๋เสวียนส่งเสียงคำรามโกรธเกรี้ยว ถูกเด็กสาวคนนั้นซัดกระแทกก็ช่างเถิด เวลานี้ยังถูกพวกโค่วซิงถากถางเยาะเย้ย ทำให้เขาแทบคลั่ง
แต่เวลานี้เองซย่าจื้อก็ปรากฏตัว เงาร่างอรชรโรยตัวลงบนดาดฟ้าแผ่วเบา กลิ่นอายมืดมิดเงียบสงัดไร้รูปวูบหนึ่งคละคลุ้งแผ่ซ่าน
ซุ่นไป๋เสวียนแข็งทื่อไปทั้งร่าง เริ่มนอนแผ่ราบกับพื้นแสร้งตายทันที ช่วยไม่ได้ เขาถูกซัดจนเกือบแหลกลาญไปแล้วจริงๆ
พวกหลินสวินพากันอึ้งงัน จากนั้นก็หัวเราะโดยไร้เสียง
เห็นได้ชัดว่าซุ่นไป๋เสวียนถูกซัดจนเงาทะมึนครอบงำจิตใจไปแล้ว ยามนี้พอเห็นซย่าจื้อก็ยอมศิโรราบเหมือนหนูเห็นแมวทันที
……
“เป็นไปไม่ได้ที่เสี้ยววิญญาณของหงส์ดำเลือดทมิฬจะยอมจำนน แต่ก็พอจะสื่อสารกันได้ ทว่าก่อนหน้านี้ยังมีหนึ่งปัญหาที่ต้องสะสางก่อน”
“อะไรหรือ”
“ทำลายผนึก!”
บนยานสมบัติ ในห้องมีหลินสวิน แม่นางเยวี่ย และลั่วเจียนั่งกับพื้น กำลังหารือกันเกี่ยวกับหงส์ดำเลือดทมิฬ
“ผนึกหรือ” ลั่วเจียกล่าว “ที่มาครั้งนี้ข้าพกเอาสมบัติล้ำค่าของสำนักอย่าง ‘กระบี่ยอดนภาเบิกมาร’ มาด้วย น่าจะพอรับมือได้”
“ไม่” แม่นางเยวี่ยส่ายหน้า “นั่นเป็นผนึกที่อริยะบำเพ็ญธรรมบรรพกาลทิ้งไว้ ใช้พลังฟาดฟันไม่สามารถทำลายมันได้”
“แม้แต่กระบี่ยอดนภาเบิกมารก็ไม่ได้หรือ” ลั่วเจียขมวดคิ้ว
“ไม่ได้” แม่นางเยวี่ยเอ่ยปากอย่างเข็มเดียวเห็นเลือด “หากไม่เข้าใจวิธีแก้ ไม่ว่าสมบัติใดก็ไม่สามารถทำลายผนึกทิ้งได้ สมบัติอริยะก็ทำไม่ได้เช่นกัน”
ทันใดนั้นในใจหลินสวินกับลั่วเจียต่างสะท้านไหว ต่างคิดไม่ถึงว่าเพียงแค่ผนึกอันเดียวจะถึงขั้นน่าเหลือเชื่อเพียงนี้
“แล้วแม่นางเยวี่ยคิดว่าควรทำลายผนึกนี้อย่างไร” ลั่วเจียถาม
“นั่นก็ขึ้นอยู่กับวิธีของคุณชายหลินแล้ว” แสงแพรวพรายเวียนวนในดวงตาใสกระจ่างของแม่นางเยวี่ย มองไปทางหลินสวินด้วยอาการเจือรอยยิ้ม
ไม่เพียงแค่ลั่วเจีย แม้แต่ตัวหลินสวินเองก็อึ้งงันด้วยเช่นกัน
ไม่รอให้ถามไถ่ แม่นางเยวี่ยก็กล่าวว่า “ข้าได้ยินมาว่าในเทศกาลโคมกถามรรค แม้แต่กระบวนผนึกจตุลักษณ์ราชันของเผ่าหงส์เขียวก็ยังไม่อาจหน่วงเหนี่ยวคุณชายไว้ได้สักเสี้ยว ดูแล้วคุณชายคงมีความเชี่ยวชาญสุดด้านศาสตร์สลักวิญญาณอย่างแน่นอน”
หลินสวินพยักหน้า เรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องปิดบัง
“นั่นเป็นถึงกระบวนสลักมรรคราชัน แม้ชิงเหลียนเอ๋อร์จะไม่สามารถงัดศักยภาพทั้งหมดของมันออกมาได้ แต่ก็ใช่ว่าจะถูกทำลายได้ส่งเดช หากไม่ผิดจากที่คาด เกรงว่าคุณชายคงมีความเชี่ยวชาญระดับปฐมาจารย์สลักวิญญาณแล้วกระมัง” แม่นางเยวี่ยกล่าวพลางยิ้มน้อยๆ
หลินสวินพยักหน้าอีกครา ในใจกลับรู้สึกปลงตก หญิงสาวคนนี้ช่างมีตาทิพย์เสียจริง สามารถมองทะลุความจริงมากมายจากเบาะแสเพียงเศษเสี้ยวเท่านั้น น่าทึ่งจริงๆ
เมื่อเห็นเช่นนี้ในใจลั่วเจียก็เริ่มสั่นน้อยๆ คราวนี้จึงตระหนักโดยพลันว่าที่แท้เทพมารหลินที่อยู่ข้างๆ นี้ ยังมีฐานะเป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณคนหนึ่งอีกด้วย!
“เป็นเช่นนี้ก็สะดวกขึ้นแล้ว ผนึกที่อริยะบำเพ็ญธรรมบรรพกาลทิ้งไว้นั้น แต่เดิมก็เป็นหนึ่งในสิ่งต้องห้ามวิเศษฟ้าประทานอย่างหนึ่ง มีเพียงปฐมาจารย์สลักวิญญาณและอริยบุคคลเท่านั้นจึงจะสามารถทะลวงปริศนาในนั้นได้”
เสียงแม่นางเยวี่ยเนิบนาบ กล่าวอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “ถึงตอนนั้น แค่ต้องให้คุณชายลงมือทำลายผนึกนี้ ก็เพียงพอจะทำให้แม่นางลั่วเจียมองเห็นเสี้ยววิญญาณของหงส์ดำเลือดทมิฬตัวนั้นได้แล้ว”
กล่าวถึงจุดนี้ลั่วเจียก็เข้าใจโดยสิ้นเชิง ในใจอดรู้สึกปลงตกไม่ได้ หากไม่ได้พบแม่นางเยวี่ยในครั้งนี้ เกรงว่าการเคลื่อนไหวเสาะหาวาสนาหนนี้ของตนคงต้องพังไม่เป็นท่าแน่
แต่หลินสวินกลับไม่ค่อยเข้าใจนัก เขากับลั่วเจียหาได้มีปฏิสัมพันธ์ใดๆ แม้จะให้ช่วยเหลือ อย่างน้อยก็ต้องให้เหตุผลสักข้อหน่อยกระมัง
แม่นางเยวี่ยยิ้มกล่าวว่า “คุณชายอย่าได้ปฏิเสธเลย แม่นางลั่วเจียคนนี้ทำเพื่อให้ได้มาซึ่ง ‘คัมภีร์หงส์ทมิฬสิ้นสลาย’ หนึ่งใน ‘เก้าคัมภีร์หงส์เซียน’ แต่สถานที่ที่ปิดผนึกนั้นไม่ได้มีเพียงวาสนาชิ้นนี้อย่างเดียว”
นางไม่ได้ปิดบัง และไม่ได้สื่อจิต ดูสงบนิ่งอย่างเห็นได้ชัด “หากเบื้องลึกที่ข้ารู้มาไม่ผิดพลาด พื้นที่รอบผนึกนั้นยังหลงเหลือศุภโชคที่เกี่ยวกับอริยะบำเพ็ญธรรมอยู่ชิ้นหนึ่ง”
เนตรดาราของลั่วเจียหดรัด กล่าวอย่างกระจ่างในใจ “หากเรื่องนี้เป็นความจริง ข้ายินดีจะมอบศุภโชคนี้ให้ คิดเสียว่าเป็นสินน้ำใจที่ท่านทั้งสองช่วยเหลือเกื้อกูล”
แม่นางเยวี่ยกล่าวอมยิ้ม “เช่นนั้นก็ขอบคุณไว้ล่วงหน้า ศุภโชคชิ้นนี้ไร้ประโยชน์สำหรับข้า หากได้รับมา กลับจะเป็นประโยชน์อย่างสุดประเมินสำหรับการฝึกปราณในอนาคตของคุณชายหลิน”
และในที่สุดหลินสวินก็มองออก ว่าเหตุที่แม่นางเยวี่ยเอาใจใส่ต่อเรื่องนี้ถึงเพียงนี้ เป็นเพราะอยากช่วยตนช่วงชิงศุภโชคชิ้นนี้มา!
สิ่งนี้ทำให้เขาอดรู้สึกประหลาดน้อยๆ ไม่ได้ แต่เมื่อครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนก็ตระหนักได้ว่า ก่อนหน้านี้ตนเคยช่วยนางคลี่คลายวิกฤตที่มาจากลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์ อีกฝ่ายทำเช่นนี้เห็นได้ชัดว่ากำลังยื่นลูกท้อแลกลูกไหน
……
บนเส้นทางต่อจากนี้ ภายใต้การนำทางของลั่วเจีย ขบวนนักผจญภัยเปลี่ยนทิศทาง ยานสมบัติพุ่งไปอีกฝั่งของแม่น้ำพรมแดน
ระหว่างทางถึงจะประสบภัยพิบัติอันตรายมากมาย แต่ก็ล้วนหลีกเลี่ยงได้โดยไม่มีอันตราย
การประสบภัยที่ร้ายแรงที่สุดคือ การพบกับหญ้ายมโลกที่ลอยยวบยาบอยู่บนแม่น้ำพรมแดน
นี่คือสิ่งอับโชคที่เป็นลางบอกเหตุถึงความกลัวและความตาย มีตำนานต่างๆ เกี่ยวกับมันมาตั้งแต่สมัยบรรพกาล
ว่ากันว่าเจ้าสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับปริศนาต้นกำเนิดของการตายและวัฏจักร ทันทีที่ปรากฏ แม้แต่อริยะก็ได้แต่ถอยหลบ ด้วยเกรงว่าจะถูกกลิ่นอายของมันเปื้อนเปรอะ!
ในตอนนั้นที่พวกหลินสวินเจอเข้ากับหญ้ายมโลก หากไม่ได้แม่นางเยวี่ยเตือนได้ทันท่วงที คงเกือบถูกแสงรัศมีมืดสลัวสายหนึ่งที่เจ้าสิ่งนี้ปลดปล่อยออกมาเปื้อนเข้าแล้ว
ท้ายที่สุดถึงแม้จะหลบมาได้อย่างหวุดหวิด แต่ยานสมบัติที่พวกเขาโดยสารลำนั้นกลับสลายกลายเป็นควัน อันตรธานอย่างไร้ร่องรอยในชั่วพริบตา!
ภาพที่น่าพิศวงนี้พาให้หลินสวินขนลุกขนชันไปทั่วร่าง สิ่งที่ผลาญทำลายยานสมบัติอย่างไร้สุ้มเสียงนั้นเป็นเพียงแค่กลิ่นอายเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น ทำให้ผู้คนไม่สามารถป้องกันได้เลยสักนิด
หลังจากผ่านเรื่องนี้มาก็ทำให้หลินสวินรู้จักความน่ากลัวของแม่น้ำพรมแดนขึ้นเรื่อยๆ ว่ามีสิ่งแปลกพิสดารและอัปมงคลมากมายเหลือเกิน
สองวันให้หลัง
หลังจากซย่าจื้อกินอาหารที่หลินสวินเตรียมไว้ให้นางอย่างพิถีพิถันก็จมสู่ห้วงนิทรา เริ่มต้นฝึกจุติกำเนิดใหม่เป็นครั้งที่สี่
หลินสวินบรรจงวางซย่าจื้อไว้ในเจดีย์สมบัติไร้อักษรอย่างระมัดระวัง
และหลายวันมานี้ คนหนุ่มผู้ยโสโอหัง คลั่งลำพองหาใดเปรียบอย่างซุ่นไป๋เสวียนก็สงบคำอย่างเห็นได้ชัดเรื่อยมา ขังตัวเองอยู่ในห้อง ไม่ย่างกรายออกมาข้างนอก
เห็นได้ชัดว่าการซัดกระหน่ำของซย่าจื้อสร้างเงาทะมึนยิ่งใหญ่มาสู่เขา จนป่านนี้ก็ยังไม่สามารถเดินออกมาจากเงาทะมึนนั้นได้
เวลาเคลื่อนคล้อย เวลาหลายวันผ่านไปอีกครา
ตั้งแต่พวกหลินสวินเข้าสู่แม่น้ำพรมแดนจวบจนบัดนี้ก็เป็นเวลาราวๆ สิบวันแล้ว
พลังไล่ล่าของลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ปรากฏขึ้นอีก พาให้แม่นางเยวี่ยแลดูผ่อนคลายลงไม่น้อยทีเดียว
“ถึงแล้ว”
ในวันนี้ เสียงลั่วเจียดังลอยมาจากยานสมบัติ ขณะที่พวกหลินสวินเดินขึ้นมาบนดาดฟ้าพร้อมกัน ก็เห็นว่าบนแม่น้ำพรมแดนไกลออกไปถึงกับมีแอ่งน้ำวนมหึมาปรากฏขึ้น สีดำมะเมื่อม ค่อยๆ หมุนเกลียว พลังที่แผ่กว้างออกมานั้นบิดเบือนและพังห้วงอากาศละแวกใกล้เคียง
อาณาเขตแถบนี้ยังมีบรรยากาศเงียบสงัดพิศวง แม้แต่สายน้ำที่ไหลเชี่ยวก็ยังนิ่งสงบ มีเพียงแอ่งน้ำวนขนาดใหญ่ประหนึ่งหุบเหวเท่านั้นที่หมุนวนอ้อยอิ่ง แต่ก็ไร้สุ้มเสียงเช่นเดียวกัน
พวกหลินสวินต่างรู้สึกถึงความพรั่นพรึง เสมือนว่าส่วนลึกของแอ่งน้ำวนมหึมานั้นยังซุกซ่อนพลังน่าหวาดกลัวอะไรสักอย่าง
“ปีนั้นผู้แข็งแกร่งหงส์ดำเลือดทมิฬที่เหยียบย่างบนอริยมรรคผู้นั้นก็มอดดับ ณ ที่แห่งนี้ เสี้ยววิญญาณของมันถูกผนึกอยู่บริเวณนี้”
เนตรดาราของลั่วเจียเจือแววหดหู่เสี้ยวหนึ่ง ในมือนาง ละอองแสงขมุกขมัวซ่านเซ็นออกมาจากขนปีกหงส์สีดำเข้มเหมือนไหม้เกรียมอันหนึ่ง กลิ่นอายของมันถึงกับสะท้อนรับกับแอ่งน้ำวนมหึมาที่อยู่ไกลออกไปนั้น
เห็นได้ชัดว่าลั่วเจียค้นพบที่แห่งนี้ผ่านขนปีกหงส์ดำแท้จริงขนนี้นั่นเอง หาไม่ในแม่น้ำพรมแดนที่ทั้งเวิ้งว้างและอันตรายแห่งนี้ หากคิดจะหาสถานที่นี้ให้พบก็ไม่ต่างอะไรกับการงมเข็มในมหาสมุทร
“หืม? มีคนมาแล้ว!”
เวลานี้เอง นัยน์ตาหลินสวินหรี่ลง บนตัวแผ่ไอซวนหนีออกมาโดยพลัน ครอบคลุมยานสมบัติทั้งลำไว้ภายในนั้น ชั่วอึดใจพวกเขาก็ดูเหมือนหายไปกลางห้วงอากาศ
พร้อมกันนั้น พวกลั่วเจีย แม่นางเยวี่ยก็มองเห็นเช่นกันว่าอีกฟากของแอ่งน้ำวนขนาดยักษ์นั้น จู่ๆ ก็ปรากฏขบวนแปลกประหลาดขึ้น
นั่นคือภิกษุกลุ่มหนึ่ง มีราวๆ สิบกว่ารูป ท่าทางยังอ่อนเยาว์กันมาก แต่กลับสวมจีวรสีดำ บนลำคอแขวนลูกประคำสีดำ แต่ละคนต่างพนมมือประกบกัน สีหน้าแน่วนิ่งไม่ไหวติง แลดูเคร่งครัดขึงขัง แต่กลับมีกลิ่นอายเศร้าสร้อยชวนให้ผู้คนเงียบกริบ ว้าเหว่
พวกเขาโดยสารบนดอกบัวสีดำดอกหนึ่ง บัวดอกนั้นแบ่งเป็นยี่สิบสี่กลีบ ลักษณะคล้ายยานสมบัติลำหนึ่ง พยับหมอกสีดำเวียนวน ลอยคว้างอยู่บนผิวน้ำขุ่นมัว เข้ามาถึงอย่างเชื่องช้า
บัวสีดำดั่งเรือ บรรทุกคณะภิกษุจีวรดำปรากฏขึ้นกลางแม่น้ำพรมแดนอย่างปุบปับ กระตุ้นความลึกลับและพิศวงแก่สายตาผู้คน
“นี่คือผู้สืบทอดของอารามกษิติครรภ์ ‘แดนไร้ชีวิต’ !”
แม่นางเยวี่ยหรี่ตาลง “หรือว่าข่าวลือเป็นเรื่องจริง ผู้บำเพ็ญธรรมบรรพกาลที่สังหารหงส์ดำเลือดทมิฬในตอนนั้น ก็เป็นภิกษุกษิติครรภ์รูปหนึ่งด้วย?”
นางดูคล้ายตกใจยิ่ง เสียอาการเล็กน้อยอย่างหาได้ยาก
อารามกษิติครรภ์?
แดนไร้ชีวิต?
หลินสวินกับลั่วเจียต่างรู้สึกไม่คุ้นหูเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อเห็นแม่นางเยวี่ยเสียอาการเช่นนี้ พวกเขาก็ตระหนักได้อย่างว่องไวว่าสถานการณ์ดูเหมือนจะเปลี่ยนไป!
หรือว่าภิกษุจีวรดำคณะนี้ก็มาเพราะวาสนาที่ซุกซ่อนอยู่ในที่แห่งนี้ด้วยเช่นกัน
 ——

Battling Records of the Chosen One

Battling Records of the Chosen One

Type: Author: ,
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์ ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้ แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน… In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history. In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing. Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned. Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset