ตอนที่ 2062 จักรพรรดิสวรรค์ดำรง!
ผู้สังเกตการณ์พวกนั้นเข้ามาอยู่ในชั้นบนของยานข้ามโลกได้ แน่นอนว่าต้องเป็นพวกที่ถูกเรือนเร้นหมอกมองเป็น ‘แขกคนสำคัญ’ ไม่มีพวกธรรมดาสักคน
แต่เมื่อเห็นภาพที่มหาจักรพรรดิมรรคมารคนนั้นร่วงหล่น ก็ล้วนถูกทำให้ตกตะลึงจนขนพองสยองเกล้า ในใจตื่นตระหนกถึงขีดสุดนานแล้ว
ด้วยเหตุนี้พอหลินสวินพูดว่าจะให้คนที่เคยกล่าวเยาะหยันจ่ายค่าตอบแทน ต่อให้รู้สึกไม่ชอบใจอย่างมาก แต่ยังพากันนำของชดเชยบางส่วนออกมาให้โดยดี
ลูกกลอนโอสถ เจตวัตถุ ของล้ำค่า…
มีครบทุกสิ่งที่ควรมี
หลินสวินก็ไม่เอาความอีก เหลือบมองพวกสือเล่อจื้อที่คุกเข่าอยู่กับพื้นเล็กน้อยพลางกล่าว “อย่าให้ข้าเจอพวกเจ้าอีก”
เขาหันหลังเดินกลับเข้าไปในเรือนพัก
พวกสือเล่อจื้อรู้สึกเหมือนได้รับการอภัยโทษ ไม่มีใครไม่เป่าปากโล่งใจเฮือกใหญ่ ออกจากที่นี่ไปอย่างลุกลี้ลุกลน
…
‘ศิษย์พี่สามบอกแค่ว่าหลังจากข้าไปถึงโลกมืดแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปเสาะหาด้วยตนเอง ศิษย์พี่รองก็จะรับรู้ถึงการปรากฏตัวของข้าได้…’
‘ก็ไม่รู้ว่าหากศิษย์พี่รองสังเกตเห็นร่องรอยของข้าจริง จะมาพบข้าหรือไม่’
พอกลับเข้ามาในเรือน หลินสวินนึกถึงจุดประสงค์ของการมาโลกมืดครั้งนี้แล้วก็อดขมวดคิ้วอยู่บ้างไม่ได้
ยังมีถ้อยคำนั้นที่ชายหนุ่มจักจั่นทองพูดไว้ก่อนจากมา บอกแค่ให้ตนไป ‘แก้ปม’ นอกเหนือจากนี้ก็ไม่มีเบาะแสอื่นอีก
นี่ทำให้หลินสวินไม่รู้ว่าควรเริ่มลงมือจากตรงไหน
‘บางทีอาจไปแดนอำพราง ไปเจอแม่นางชิงอิงที่ลึกลับคนนั้นดูสักครั้ง?’
หลินสวินใคร่ครวญ
อิทธิพลของเรือนเร้นหมอกไม่อาจดูหมิ่นได้ง่ายๆ ในทุกเมืองของโลกใหญ่หงเหมิงล้วนมีตลาดมืดใต้ดิน และผู้ดูแลตลาดมืดพวกนี้ก็คือเรือนเร้นหมอก!
ก่อนหน้านี้หลินสวินคิดไม่ถึงเลยว่า ขุมอำนาจที่แผ่ทั่วโลกใหญ่หงเหมิงอย่างเรือนเร้นหมอก จะถึงกับมีแดนต้นกำเนิดอยู่ในโลกมืด
ขณะที่หลินสวินกำลังใคร่ครวญ เสียงของซีพลันดังขึ้น…
‘จอมจักรพรรดิไร้นามคนใหม่ปรากฏตัวแล้ว’
ประโยคเดียวทำให้หลินสวินตัวแข็งทื่อราวกับถูกฟ้าผ่า
ในที่สุด…
ก็มาแล้วหรือ
…
วันนี้ทั่วทางเดินโบราณฟ้าดารา พลังระเบียบต้องห้ามที่เดิมทีเหมือนสิ่งไม่มีเจ้าของพลันเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นแล้ว
ก็เหมือนกรงที่ไร้ผู้ดูแล มีผู้ถือครองคนใหม่ปรากฏตัว
‘ปรากฏตัวแล้ว!’
‘ตั้งแต่วันนี้ไป พวกเราต้องอยู่ภายใต้เงามืดของระเบียบต้องห้ามนั่นอีกครั้งหรือ…’
‘ไม่รู้ว่าใต้หล้านี้จะเปลี่ยนเป็นรูปแบบใดจริงๆ!’
‘เฮ้อ!’
วันนี้เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ที่ฝีมือล้ำเลิศนับไม่ถ้วนล้วนสัมผัสได้ สังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของระเบียบมหามรรคทั่วหล้า ในใจล้วนปรากฏแววอึมครึมโดยพลัน
สำหรับสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่บนทางเดินโบราณฟ้าดารา วันนี้ไม่มีอะไรต่างไปจากอดีต และไม่สังเกตเห็นเลยว่ามีตัวตนที่น่าสะพรึงอย่างที่สุดคนหนึ่ง ก้าวผ่านห้วงอากาศมาจากฟากฝั่งฟ้าดาราแล้ว!
เรือนมรรคโลกาสวรรค์
ไท่ซูหงที่กำลังนั่งสมาธิพลันใจสะท้าน ตกใจตื่นขึ้นมา
เขาหยัดร่างขึ้น เดินออกมาจากสถานที่หลอมปราณ เมื่อเงยหน้ามองออกไป ก็เห็นว่าบนเวิ้งฟ้าถูกพลังระเบียบต้องห้ามที่ดำสนิทดุจสีหมึกเข้าปกคลุมไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่
ทันใดนั้นนัยน์ตาไท่ซูหงพลันหดรัด
ตูม!
เวิ้งฟ้าที่ดำสนิทส่งเสียงกัมปนาทราวอสนีครวญ กลิ่นอายทำลายล้างที่เหมือนสิ่งต้องห้ามครอบคลุมเรือนมรรคโลกาสวรรค์ทั้งหมดไว้
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“กลิ่นอายต้องห้าม!”
“สวรรค์!”
“ทำไมถึงเป็นเช่นนี้…”
เวลานี้เสียงร้องอุทานดังขึ้นไม่รู้เท่าไหร่ ผู้สืบทอดทั้งหมดของเรือนมรรคโลกาสวรรค์ล้วนถูกทำให้ตกใจ หยุดการกระทำในมือ มองไปบนเวิ้งฟ้าอย่างตกตะลึงตาค้าง
ความรู้สึกหวาดกลัวและตื่นตระหนกที่ยากจะบรรยายก็แผ่ขยายตามมา
ต่อให้เป็นบุคคลระดับจักรพรรดิ แต่ละคนก็ต่างหวั่นใจ ไม่แน่ใจว่าเหตุใดพลังระเบียบต้องห้ามนี้ถึงมาเยือนเรือนมรรคโลกาสวรรค์ของพวกเขา
“เปิดใช้กระบวนค่ายกลใหญ่คุ้มกันภูเขา ทุกคนรีบถอยเข้ามาในกระบวนค่ายกลใหญ่โดยเร็ว ถ้าไม่มีคำสั่ง ห้ามเคลื่อนไหวตามอำเภอใจ!”
ในบรรยากาศที่กดดันและตื่นตระหนกนี้ เสียงที่น่าเกรงขามและทรงพลังของไท่ซูหงดังขึ้น กระหึ่มอยู่กลางฟ้าดิน
ขณะเดียวกันไท่ซูหงสูดหายใจลึก เงาร่างเคลื่อนที่มายังเขตหวงห้ามหลังภูเขา
ที่นี่ไอขุ่นมัวอบอวล มีสายฟ้าแลบแปลบปลาบอยู่ภายในรางๆ ศิลามรรคโลกาสวรรค์ที่เก่าแก่ลายพร้อยตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น แผ่แสงพร่าเลือนลี้ลับออกมา
เมื่อเห็นศิลามรรคโลกาสวรรค์ ไท่ซูหงจึงแอบเป่าปากโล่งอก
ศิลามรรคโลกาสวรรค์เป็นมหาสมบัติแรกกำเนิดชิ้นหนึ่งที่ถือกำเนิดในแดนปริศนา ครอบครองพลังที่อัศจรรย์เกินคาดเดา สามารถต้านทานและบดบังกลิ่นอายระเบียบต้องห้ามได้
ในช่วงหลายปีที่จอมจักรพรรดิไร้นามคนก่อนครอบครองระเบียบต้องห้ามนั้น สาเหตุที่เรือนมรรคโลกาสวรรค์วางตัวเป็นกลางได้ ไม่ใช่เพราะเชื่อฟังคำสั่งของจอมจักรพรรดิไร้นาม แต่เป็นเพราะการมีอยู่ของศิลามรรคโลกาสวรรค์นี้ต่างหาก!
“เจ้าสำนัก”
ฮูม… ห้วงอากาศไหวกระเพื่อมระลอกหนึ่ง เงาร่างสองสายปรากฏออกมา
ด้านซ้ายนั้นสูงโปร่ง สวมชุดนักพรต ผมเผ้าหนวดเคราสีเทากระเซิงยุ่งเหยิง เป็นบรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่นั่นเอง
ตอนนั้นที่งานชุมนุมถกมรรค บรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่เคยปรากฏตัวมาก่อน รู้จักกับรั่วซู่ที่ปรากฏตัวด้วยฐานะผู้สืบทอดของเรือนมรรคคืนกำเนิด
ข้างกายบรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่คือชายชุดป่านคนหนึ่ง สีหน้าแข็งกร้าวเยียบเย็น เป็น ‘บรรพจารย์จักรพรรดิเสวี่ยอิง’ ผู้เฒ่าระดับดึกดำบรรพ์คนหนึ่งในเรือนมรรคโลกาสวรรค์นั่นเอง
เขาเหมือนบรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่ ไม่ได้มุ่งหน้าไปเสาะหามหามรรคบนฟากฝั่งฟ้าดารา หากแต่เลือกจะอยู่ที่นี่ ในเรือนมรรคโลกาสวรรค์ตอนนี้ ก็เหลือแค่บุคคลระดับบรรพจารย์อย่างพวกเขาสองคนนั่งบัญชา
“อาจารย์อาทั้งสอง”
ไท่ซูหงประสานมือ
บรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่และบรรพจารย์จักรพรรดิเสวี่ยอิงพยักหน้า ล้วนสีหน้าจริงจังเป็นอย่างยิ่ง เห็นชัดว่าพวกเขาก็สัมผัสได้ว่าสถานการณ์ในวันนี้ไม่ชอบมาพากล
“บางทีนี่อาจเป็นมหาเคราะห์ที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่มีศิลามรรคโลกาสวรรค์อยู่ ก็ไม่ถึงขั้นทำให้ควันธูปของเรือนมรรคโลกาสวรรค์ของพวกเราถูกตัดขาด”
บรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่กล่าว
“อย่างนั้นหรือ”
ในตอนนี้พลันมีเสียงหนึ่งสะท้อนมาจากเวิ้งฟ้า จากนั้นพลังระเบียบต้องห้ามที่เข้าปกคลุมเหมือนเมฆดำนั่นก็ม้วนซัดอย่างรุนแรง ปูทางบันไดลงมาจากฟากฟ้า!
ก็เห็นเงาร่างราวกับเทพองค์หนึ่ง สองมือไพล่หลัง ก้าวออกมาจากส่วนลึกของบันได ในแต่ละก้าวฟ้าดินจะส่งเสียงครวญ สรรพสิ่งล้วนไหวสะท้านเหมือนกำลังยอมจำนน
ไท่ซูหง บรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่ บรรพจารย์จักรพรรดิเสวี่ยอิงล้วนหน้าเปลี่ยนสีพร้อมกัน
เงาร่างนี้สูงใหญ่หาใดเปรียบ แผ่อานุภาพไร้ขอบเขตที่สูงส่งออกมา พลังระเบียบต้องห้ามสายแล้วสายเล่าพันรอบตัวเขา ขับเน้นให้เขาเป็นดั่งร่างแปลงแห่งมรรคสวรรค์!
เพียงพริบตาเงาร่างนี้ก็เหินห้วงอากาศเข้ามา ปรากฏตัวในจุดที่อยู่ห่างจากพวกไท่ซูหงไปไม่ไกล
ต่อให้อยู่ใกล้กันนิดเดียว แต่ด้วยมรรควิถีของพวกไท่ซูหง กลับไม่อาจเห็นรูปพรรณสัณฐานของเงาร่างนี้ได้อย่างชัดเจน!
เขาเจิดจรัสเกินไปแล้ว ราวกับดวงตะวันส่องแสง มีอานุภาพประหนึ่งใต้หล้านี้ตนยิ่งใหญ่เพียงหนึ่งเดียว แค่มองเงาร่างของเขาก็ทำให้รู้สึกว่าหายใจไม่ออก
ดั่งเห็นเทพไท้!
ไม่จำเป็นต้องสงสัย เงาร่างนี้ก็คือจอมจักรพรรดิไร้นามคนใหม่!
พวกไท่ซูหงเหมือนเจอศัตรูที่แข็งแกร่ง สีหน้าจริงจังถึงขีดสุด
กลับเห็นเงาร่างนั้นสองมือไพล่หลัง เหลือบมองศิลามรรคโลกาสวรรค์ที่ห่างไปไม่ไกลนั่นเล็กน้อย ก่อนมองมายังพวกไท่ซูหง
เขากล่าวเสียงเรียบ “ข้ามาครานี้ หนึ่งคือมาครอบครองระเบียบต้องห้ามทั่วหล้านี้ใหม่อีกครั้ง สองก็คือแก้แค้น”
น้ำเสียงเลือนราง เจือกลิ่นอายสูงส่งเหนือผู้อื่น ราวเหยียดหยันสรรพชีวิต
ไท่ซูหงสูดหายใจลึกคราหนึ่งพลางกล่าว “ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เรือนมรรคโลกาสวรรค์ของข้าวางตัวเป็นกลางมาตลอด เมื่อก่อนเป็นเช่นนี้ ภายหน้าก็เช่นกัน ไม่ทราบว่าสหายยุทธ์มาที่นี่ด้วยเรื่องใด”
“เจ้าเรียกข้าว่าสหายยุทธ์หรือ”
น้ำเสียงของเงาร่างนั้นไม่อำพรางแววดูถูกในใจแม้แต่น้อย “จำไว้ บนทางเดินโบราณฟ้าดารานี้… ข้าก็คือนายเหนือหัวที่สูงส่งที่สุด! พวกเจ้าจงเรียกข้าว่า ‘จักรพรรดิสวรรค์ดำรง’!”
บนฟากฝั่งฟ้าดารา มหามรรคดั่งสวรรค์ ข้าคือจักรพรรดิ ด้วยเหตุนี้จึงเรียกว่าจักรพรรดิสวรรค์!
พวกไท่ซูหงสีหน้าปรวนแปรไม่หยุด จอมจักรพรรดิไร้นามที่เรียกตัวเองว่าจักรพรรดิสวรรค์ดำรง ตั้งแต่ปรากฏตัวก็เผยท่าทางราวสูงส่งเหนือผู้อื่น ทำให้พวกเขาไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง
“ข้ามาครานี้ด้วยเรื่องเดียว”
จักรพรรดิสวรรค์ดำรงน้ำเสียงเรียบเฉย “ตั้งแต่วันนี้ไป เรือนมรรคโลกาสวรรค์ล้วนต้องเชื่อฟังคำสั่งข้า หากไม่ทำตาม เรือนมรรคโลกาสวรรค์ก็ไม่จำเป็นต้องมีตัวตนอีก”
คำพูดตรงไปตรงมาเป็นอย่างยิ่ง นี่ไม่ใช่การเจรจา หากแต่เป็นคำสั่ง!
ไท่ซูหงบันดาลโทสะ สีหน้าคล้ำเขียว เพิ่งหมายจะพูดอะไรก็ถูกบรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่ห้ามไว้
“จักรพรรดิสวรรค์ดำรง เรือนมรรคโลกาสวรรค์ของข้าไม่เคยต่อต้านพลังระเบียบต้องห้าม และไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งทางโลก ทำไม… เจ้าต้องบีบบังคับพวกเราด้วย”
บรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่น้ำเสียงลุ่มลึก
จักรพรรดิสวรรค์ดำรงคิดดูครู่หนึ่งแล้วกล่าว “เห็นว่าพวกเจ้ายังมีประโยชน์อยู่บ้าง ข้าจะบอกพวกเจ้าให้ ภายหน้าบนทางเดินโบราณฟ้าดารานี้ ไม่ว่าจะเป็นใคร และไม่ว่าจะเป็นขุมอำนาจไหน ล้วนต้องยอมจำนนอยู่ใต้ฝ่าเท้าข้า”
“สรุปง่ายๆ คือ ใครตามข้าอยู่ ใครขวางข้าตาย!”
วู้ม!
ศิลามรรคโลกาสวรรค์แผ่คลื่นสะเทือนประหลาด พุ่งขึ้นจากพื้นดินแล้วตกสู่มือบรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่ทันใด
บรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่แผ่อานุภาพน่าหวาดกลัวไปทั้งตัว แววตาเยียบเย็นดุจอสนี กล่าวอย่างเย็นชา “พวกเราแค่อยากวางตัวเป็นกลาง เจ้ากลับบังคับข่มขู่ คิดว่าบนทางเดินโบราณฟ้าดารานี้มีเจ้ากดขี่ผู้อื่นได้คนเดียวจริงๆ หรือ”
สายตาของจักรพรรดิสวรรค์ดำรงจ้องมองศิลามรรคโลกาสวรรค์ครู่หนึ่งแล้วกล่าว “บางทีสมบัตินี้อาจช่วยชีวิตเจ้าได้ แต่กลับช่วยทุกคนในเรือนมรรคโลกาสวรรค์ไม่ได้ หากไม่เชื่อเจ้าจะลองดูก็ได้”
บรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่เส้นเลือดเขียวปูดโปน ในใจรู้สึกขัดแย้งและต่อต้านหาใดเปรียบ
แต่สุดท้ายเขาก็ถอนใจอย่างหดหู่พลางกล่าว “เจ้าสำนัก เจ้าตัดสินใจเถอะ”
เรื่องเกี่ยวกับความเป็นตายของเรือนมรรคโลกาสวรรค์ เขาก็ไม่กล้าเดิมพัน
ไท่ซูหงเงียบไปครู่ใหญ่
สุดท้ายเขาก็ก้มหน้าอย่างขมขื่น
วันนี้เรือนมรรคโลกาสวรรค์ที่วางตัวเป็นกลางมาแต่โบราณ ยอมจำนนต่อ ‘จักรพรรดิสวรรค์ดำรง’ จอมจักรพรรดิไร้นามคนใหม่
ทันทีที่ข่าวแพร่ออกไป ใต้หล้าต่างตระหนก เปิดฉากคลื่นลมรุนแรง ขุมอำนาจใหญ่นับไม่ถ้วนพากันหนาวเยือกในใจ
ต้องรู้ว่าหลังจากการประชันหมากครั้งใหญ่นั้นปิดฉาก ในหมู่หกเรือนมรรคใหญ่ในปัจจุบัน เรือนมรรคโลกาสวรรค์ที่ไม่เคยเสียหายใดๆ ถูกผู้คนยอมรับว่าเป็นเรือนมรรคอันดับหนึ่งในใต้หล้านานแล้ว!
แต่วันแรกที่จอมจักรพรรดิไร้นามคนใหม่มาถึง ท่าทีเป็นกลางที่ยืนหยัดมาหลายปีของเรือนมรรคโลกาสวรรค์ก็ถูกทำลาย!
นี่จะไม่ให้ผู้คนตระหนกได้อย่างไร
จักรพรรดิสวรรค์ดำรงมาครานี้ก็ลงดาบใส่เรือนมรรคโลกาสวรรค์ เห็นชัดว่ากำลังรักษาอำนาจ ประกาศให้ใต้หล้ารู้ว่าบนทางเดินโบราณฟ้าดารานี้ ภายหน้าจะมีแค่จุดยืนเดียว…
นั่นก็คือท่าทีของเขาจักรพรรดิสวรรค์ดำรง!
เมื่อรู้ข่าวนี้ ในใจหลิงหงจวงรู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก
ก่อนหน้านี้ไม่นาน ตอนที่หลินสวินถูกขุมอำนาจใหญ่ตามล่า นางก็เคยไปโน้มน้าวไท่ซูหง ให้เรือนมรรคโลกาสวรรค์คุ้มครองหลินสวิน
แต่ไท่ซูหงกลับปฏิเสธ ด้วยเรือนมรรคโลกาสวรรค์วางตัวเป็นกลางมาตลอด!
‘จุดยืนที่ยึดมั่นมาหลายปีถูกต้องแน่หรือ สุดท้ายก็ถูกบีบจนไม่อาจไม่ก้มหัวและยอมจำนนไม่ใช่หรือ’
เวลานี้ในใจหลิงหงจวงก็เต็มไปด้วยความผิดหวัง
ความเป็นกลาง!
เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังอันเด็ดขาด ย่อมกลายเป็นท่าทีที่มากด้วยคำเหน็บแนม!
……………………..