กลางฟ้าดารามีหลุมดำน้ำวนมหึมาหาใดเปรียบหลุมหนึ่งปรากฏ ยามหมุนวนเนิบช้าจะพาให้รู้สึกว่าฟ้าดารานั้นบิดเบี้ยว
ละอองแสงแห่งกาลเวลาที่สีสันสวยงามลอยล่องรอบหลุมดำน้ำวน งดงามจนทำให้ผู้คนใจสั่นสะท้าน
ยานข้ามโลกของเรือนเร้นหมอกขับผ่านมาช้าๆ เทียบกับหลุมดำน้ำวนมหึมานั่นแล้ว ดูเล็กจ้อยไม่สะดุดตาเหมือนธุลีทรายเม็ดหนึ่ง
เมื่อเห็นแสงแห่งกาลเวลาที่โปรยปรายดุจสายฝนนั่น ผู้ฝึกปราณบนยานข้ามโลกไม่มีใครไม่สูดหายใจหนาวเยือก
กาลเวลา
หนึ่งในพลังระเบียบที่น่าหวาดกลัวถึงขีดสุด ต่อให้เป็นระดับจักรพรรดิ ก็ล้วนต้านการกัดกร่อนของเวลาไม่อยู่
กฎระเบียบเช่นนี้ถึงขั้นน่ากลัวกว่าพลังระเบียบต้องห้ามนั่น และบนทางเดินโบราณฟ้าดารานี้ นับแต่อดีตจนปัจจุบันก็แทบไม่มีใครหยั่งรู้นัยเร้นลับของกาลเวลาได้!
“กาลเวลาดั่งมีดเฉือน สังหารบรรพจารย์จักรพรรดิ ฟาดฟันสรรพชีวิต น่ากลัวเหมือนมหามรรคแห่งโชคชะตา”
เมื่อเห็นภาพนี้เย่จื่อก็พึมพำอย่างอดไม่ได้
หลินสวินสีหน้าราบเรียบ ในใจกลับเกิดความรู้สึกประหลาด
พลังพรสวรรค์ที่ชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดของเขามีก็เกี่ยวข้องกับกาลเวลา สามารถทำให้เวลาหยุดเดินได้ชั่วพริบตาหนึ่ง!
เมื่อพลังปราณสูงขึ้น หลินสวินก็เข้าใจความน่ากลัวของ ‘อภินิหารหยุดเวลา’ อย่างลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม เรียกได้ว่าเป็นการเย้ยฟ้าอย่างแท้จริง
ท่ามกลางสายตาที่ตกตะลึงและกริ่งเกรงของคนมากมาย ยานข้ามโลกขับเข้าไปในหลุมดำน้ำวนขนาดมหึมานั่นอย่างเนิบช้า
พริบตานี้ยานข้ามโลกราวกับตกอยู่ในความปั่นป่วนของเวลา เกิดแรงสะเทือนและเสียงกัมปนาทรุนแรงหาใดเปรียบ ผู้ฝึกปราณทุกคนล้วนจิตใจสะท้านไหว
ต่อให้ผู้คุ้มกันของเรือนเร้นหมอกแจ้งเตือนไว้แล้วว่าไม่จำเป็นต้องกังวล แต่เมื่อเผชิญหน้ากับภาพที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้ ก็ไม่วายทำให้ผู้คนตื่นตระหนก
ในพริบตานี้เอง หน้าอกของหลินสวินพลันร้อนระอุ ชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดที่เงียบมาตลอดราวกับตื่นขึ้น เกิดกระแสอบอุ่นที่แปลกประหลาดลึกลับ
ฟุ่บ!
ทันใดนั้นแสงแห่งกาลเวลาที่งามตระการดั่งภาพฝันโฉบพุ่งออกมาราวถูกชักนำ หายเข้าไปร่างของหลินสวินในช่วงที่ทุกคนไม่สังเกตเห็น
หลินสวินรู้สึกแค่ว่ามีพลังที่น่ากลัวเสียดกระดูกทะลวงเข้ากลางใจ เบื้องหน้าพลันมืดทะมึน เกือบจะหมดสติไป
การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เขารับมือไม่ทันเช่นกัน ถึงขั้นไม่ทันตั้งตัว
ตูม!
ตรงเส้นปราณหัวใจเหมือนภูเขาไฟที่เงียบสงบปะทุขึ้น ทำให้ร่างกายของหลินสวินเป็นสีแดงเข้มทันที ราวกับจะหลั่งเลือด
ความเจ็บปวดสาหัสที่ไร้ขอบเขตดั่งหมื่นกระบี่ทิ่มแทงใจ เจ็บจนหลินสวินอดส่งเสียงอึดอัดในคอไม่ได้
“หลินสวิน เจ้าเป็นอะไรไป”
เย่จื่อสังเกตเห็นความผิดปกติ
“ไม่เป็นไร”
หลินสวินแทบจะต้องกัดฟันกรอดกว่าจะเค้นคำนี้ออกมาได้
ชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดของเขาอยู่ที่เส้นปราณหัวใจ ยามนี้มีพลังกฎเกณฑ์ของเวลาสายหนึ่งพุ่งกระแทกอยู่ภายใน คล้ายต้องการกัดกร่อนและยึดครองชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดของเขา
อาศัยมรรควิถีของหลินสวินในตอนนี้ก็ยังจนปัญญา ไม่รู้ว่าควรรับมืออย่างไร ได้แต่อดกลั้นเอาไว้
ผ่านไปหนึ่งเค่อเต็มๆ
พลังเวลาที่พุ่งชนประหนึ่งม้าป่าหลุดจากบังเหียนในเส้นปราณหัวใจนั้น จึงถูกพลังประหลาดที่ชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดแผ่ออกมากลืนกินทีละน้อยจนหายไป
ส่วนหลินสวินก็หน้าซีดเผือดนานแล้ว เสื้อผ้าล้วนชุ่มไปด้วยเหงื่อ ทั้งตัวเปียกชื้นเหมือนเพิ่งขึ้นจากน้ำ
เขาหอบหายใจเฮือกใหญ่ ในใจยังหวาดผวา
เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เหมือนผ่านการดิ้นรนจากความเป็นตายจริงๆ ช่างกะทันหันและน่ากลัวเกินไปแล้ว
“ไม่เป็นไรจริงหรือ” เย่จื่อถาม
“ครั้งนี้ไม่เป็นไรแล้วจริงๆ”
หลินสวินผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สงบจิตสัมผัสดู
กฎเกณฑ์เวลาสายหนึ่งกลับทะลวงเข้ามาในชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดของตน เหตุคาดไม่ถึงที่เกิดขึ้นกะทันหันเช่นนี้จะเป็นโชคหรือภัยกันแน่
ชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดแวววาวราวหยกขาวบริสุทธิ์ไร้ที่ติ แสงเจิดจ้าดั่งภาพมายาเวียนวน ดูลึกลับหาใดเปรียบ
พลังของอภินิหารหยุดเวลาก็สั่งสมอยู่ภายใน
เมื่อหลินสวินหยั่งรู้โดยละเอียด ก็สังเกตเห็นความแตกต่างได้ทันที…
บนพื้นผิวที่เกลี้ยงเกลาของชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิด กลับปรากฏลายเส้นที่แทบจะมองไม่เห็น!
ลายเส้นนี้เหมือนร่องรอยแห่งมหามรรค ทั้งเหมือนเส้นลายกระดูกตามธรรมชาติ หากไม่ดูอย่างละเอียดก็ไม่อาจสังเกตเห็น
เมื่อเห็นภาพนี้หัวใจหลินสวินกลับเต้นรัวไม่เป็นส่ำ เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้
หรือว่านี่… คือกฎเกณฑ์เวลาสายนั้น!?
หากเป็นเช่นนี้ ไม่ใช่หมายความว่าข้ามีโอกาสสัมผัสและหยั่งรู้นัยเร้นลับแห่งเวลาแล้วหรอกรึ
นึกถึงตรงนี้นัยน์ตาของหลินสวินก็วาววาบขึ้นมา รู้สึกว่าความเจ็บปวดที่ได้รับก่อนหน้านี้ล้วนไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่อะไร
ต้องรู้ว่าเวลาเป็นถึงพลังระเบียบสูงส่งที่ถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่อาจสัมผัสได้ แม้แต่ระดับจักรพรรดิยังได้แต่มุ่งหวัง ไม่อาจแตะต้อง!
หากให้พวกเฒ่าดึกดำบรรพ์บนโลกนี้รู้ว่า มีกฎเกณฑ์เวลาที่ดูเล็กจ้อยหาใดเปรียบนี้ซ่อนอยู่ในตัวเขา เกรงว่าคงคลุ้มคลั่งจนอยากผ่าสมองเพื่อชิงไปแน่
แต่เมื่อหลินสวินใจเย็นลงและลองสัมผัสดู ก็กลับค้นพบอย่างตกตะลึงว่าประทับมหามรรคที่คล้ายกฎเกณฑ์เวลาสายนั้น กลับไม่อาจถูกรับรู้โดยสิ้นเชิง
หลินสวินตะลึงงัน สีหน้าดูสับสน
เขากล้ายืนยันโดยคร่าวว่าประทับมหามรรคที่เกี่ยวข้องกับเวลาสายนั้น เกรงว่าคงไม่ใช่สิ่งที่ตนสามารถสัมผัสได้ในตอนนี้…
แน่นอนว่าต่อให้เป็นเช่นนั้น ในใจหลินสวินก็ไม่ท้อแท้สิ้นหวังแม้แต่น้อย
ถึงอย่างไรนี่ก็เท่ากับว่าตนมีโอกาสไปหยั่งรู้และควบคุมกฎเกณฑ์เวลาแล้ว ภายหน้าไม่ช้าก็เร็วต้องหยั่งถึงได้แน่
ไม่เหมือนคนอื่นบนโลกนี้ ที่ไม่มีทางครอบครองแม้แต่โอกาสเช่นนี้!
‘พรสวรรค์หุบเหวกลืนกิน ที่แท้ก็น่ากลัวเช่นนี้…’
ในเวลานี้หลินสวินเพิ่งได้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง ว่าชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดที่ตนมีนั้นไม่ธรรมดาระดับใด
‘ภายหน้าถ้ามีโอกาส ต้องไปเยือนหลุมดำน้ำวนมหึมานั่นอีกครั้ง…’
หลินสวินหันกลับไปมองหนทางที่จากมาอย่างอดไม่ได้
พื้นที่โล่งกว้างใหญ่ไพศาล ทิวทัศน์บิดเบี้ยว ยานข้ามโลกกำลังเคลื่อนที่อยู่ในช่องทางสายหนึ่ง มองไม่เห็นหลุมดำน้ำวนนั่นนานแล้ว
แต่หลินสวินกลับรับรู้ได้ว่าภายหน้าหากเจอพลังน่าพรั่นพรึงที่เหมือน ‘ละอองแสงแห่งกาลเวลา’ อีก สำหรับตนแล้วอาจมีโอกาสสูงที่จะเป็นศุภโชคชั้นยอด!
ถึงอย่างไรใครเล่าจะคิดว่า ชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดของตนจะดูดซับกฎเกณฑ์เวลาได้
ตูม!
ยานข้ามโลกพลันซวนเซวูบหนึ่ง ครู่ต่อมาก็เหมือนหลุดจากพันธนาการ ปลีกตัวออกมาจากการเคลื่อนที่ซึ่งเหมือนการโคจรของดวงดาวทันที
“ทุกท่าน มาถึงโลกมืดแล้ว!”
เสียงของชายวัยกลางคนผู้นั้นดังขึ้นบนยานข้ามโลก เจือความปิติยินดีเหมือนยกภูเขาออกจากอก
ทะลวงผ่านเขตแดนดารารัตติกาลที่อันตรายเกินคาดเดาเป็นเวลาเกือบสองเดือนเต็ม มาถึงโดยราบรื่นได้อย่างไร้อันตรายตลอดทาง ได้แต่พูดว่าโชคดีมาก!
บนยานข้ามโลก ผู้โดยสารทุกคนที่อกสั่นขวัญแขวนมาตลอดทางต่างก็เผยรอยยิ้มผ่อนคลาย
หลินสวินเงยหน้ามองออกไป
นี่คือฟ้าดาราที่เงียบสงบ กว้างใหญ่และไพศาลแถบหนึ่ง ดวงดาวนับหมื่นแสนแต้มแต่งอยู่ภายใน กลายเป็นธารดารา เมฆดาว วังวนดารา บัลลังก์ฤกษ์… ตระการตาเป็นอย่างยิ่ง
ในส่วนลึกของฟ้าดาราที่ห่างไกลออกไปมีโลกกว้างใหญ่แห่งหนึ่งลอยอยู่ ราวกับเปลือกไข่มหึมาใบหนึ่งคว่ำอยู่ตรงนั้น
ไอขุ่นมัวโหมกระหน่ำอบอวล ดวงดาวนับไม่ถ้วนหมุนอ้อมรอบทิศ ประกายเทพและฝนมงคลที่ส่องประกายโน้มลงมา รายล้อมโลกกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนั้นเหมือนกระแสน้ำแห่งฟ้าดารา
หากไม่เห็นกับตาตัวเอง แม้แต่หลินสวินก็ไม่กล้าเชื่อว่าโลกมืดที่ถูกมองเป็น ‘แดนชั่วร้าย’ ‘แดนอลหม่าน’ ถึงขนาดที่ระดับจักรพรรดิยังหวาดกลัวอยู่สามส่วนนั้น กลับดูสง่างามเกรียงไกรเช่นนี้!
“ทุกท่าน ในหมู่พวกท่านล้วนมีไม่น้อยที่มาโลกมืดเป็นครั้งแรก ก่อนไปถึงจุดหมาย ข้าน้อยมีประโยคหนึ่งจะบอกกล่าว”
เสียงของชายวัยกลางคนผู้นั้นดังขึ้น
“ในโลกมืดกฎที่ยิ่งใหญ่ที่สุด… ก็คือไม่มีกฎ! ที่นั่นถูกโลกภายนอกเรียกว่า ‘แดนชั่วช้า’ รวมพวกนอกรีตที่ป่าเถื่อนที่สุดในโลกไว้ด้วยกัน เรื่องเหี้ยมโหดป่าเถื่อนอะไรล้วนเกิดขึ้นได้ ทั้งไม่เคยขาดพวกร้ายกาจยิ่งยวดที่ก่อกรรมทำชั่วฆ่าคนเป็นผักปลา”
“ถ้าอยากมีชีวิตรอดที่นั่น มีแค่วิธีเดียว หากไม่ดวงแข็งพอก็ต้องมีพลังที่แข็งแกร่งมากพอ!”
“ที่นั่นมีคนสามจำพวกที่ไม่อาจหาเรื่อง ผู้สืบทอดของสำนักโบราณจรัสเทพ ผู้สืบทอดของแดนกษิติครรภ์ รวมถึงผู้สืบทอดของหอวิหคทองแดง แน่นอนว่าหากพวกท่านไม่เชื่อก็ลองหาเรื่องดูได้ เชื่อว่าไม่นานความตายจะมาเยือน”
“ก่อนมาที่นี่คาดว่าพวกท่านคงรู้จักโลกมืดอยู่ก่อนแล้ว เรื่องไร้สาระอื่นข้าน้อยจะไม่พูดมากอีก ก่อนจากกันข้าน้อยขออวยพรให้ทุกท่าน… มีชีวิตอยู่ต่อไปให้ยาวนานอีกหน่อย”
ยามสิ้นเสียงมีคนสีหน้าจริงจัง มีคนจมสู่ความคิด
และมีคนกล่าวอย่างไม่พอใจ “สหายยุทธ์ อะไรคือการอวยพรให้พวกเรามีชีวิตอยู่ต่อไปได้นานอีกหน่อย นี่เจ้าไม่ได้กำลังสาปแช่งพวกเราหรือ”
ชายวัยกลางคนกล่าวเรียบๆ “รอพวกท่านมีชีวิตยืนหยัดอยู่ในโลกมืดได้จริงๆ ก็จะพบว่าการมีชีวิตอยู่ต่อได้ยาวนานอีกหน่อยเป็นเรื่องที่โชคดีระดับใด”
ระหว่างที่พูดชายวัยกลางคนสะบัดมือ “ชักธงเรือนเร้นหมอกของพวกเราขึ้น!”
ฮูม!
ครู่ต่อมาธงใหญ่มหึมาผืนหนึ่งค่อยๆ ลอยเด่นขึ้นมาจากหัวยาน โบกสะบัดรับลม ด้านบนประทับตัวอักษรใหญ่เก่าแก่ว่าเรือนเร้นหมอกสามคำ แต่ละคำล้วนแผ่คลื่นมหามรรคที่น่าหวาดกลัวออกมา
“ไป มุ่งหน้าสู่โลกมืด”
ชายวัยกลางคนออกคำสั่ง
ทุกคนต่างแปลกใจ ใกล้จะถึงโลกมืดแล้ว เหตุใดยังต้องชักธงขึ้นด้วย ไม่ใช่ว่าทำเรื่องเกินจำเป็นหรือ
แต่ครู่ต่อมาผู้คนก็ล้วนเข้าใจ
บนหนทางที่ยานข้ามโลกท่องทะยาน มีกลิ่นอายอำมหิตหาใดเปรียบมากมายพุ่งออกมาจากดวงดาวใกล้เคียงเป็นพักๆ แผ่ไอสังหารล้นฟ้าประหนึ่งควันไฟ
สามารถมองเห็นได้รางๆ ว่าบนดวงดาวที่แน่นขนัดระหว่างทางนั้น ถึงกับมีเงาร่างกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าครองพื้นที่อยู่
“ที่แท้ก็เป็นยานของเรือนเร้นหมอก”
“น่าเสียดาย นึกว่ามีแกะอ้วนฝูงหนึ่งมาเสียอีก…”
“เฮ้อ ทุกวันนี้อยู่ลำบากขึ้นเรื่อยๆ หากไม่ปล้นสะดมชิงทรัพยากรในการฝึกปราณ พวกเราก็ต้องอ้าปากกินลมไปวันๆ เช่นนี้หรือ”
ตลอดทางมีเสียงถกเช่นนี้ดังขึ้นมาจากจุดต่างๆ เป็นพักๆ ทำให้ทุกคนบนยานข้ามโลกขนพองสยองเกล้า
ราวกับเข้ามาในโลกที่ไอสังหารปกคลุมไปทั่ว คนชั่วนับไม่ถ้วน มีเคราะห์สังหารที่คาดไม่ถึงมาเยือนได้ตลอดเวลา
เวลานี้พวกเขาถึงได้เข้าใจ ว่าเหตุใดชายวัยกลางคนต้องนำธงออกมาแขวน ที่แท้ก็เพื่อทำให้พวกชั่วร้ายที่ซุ่มโจมตีอยู่ระหว่างทางนี้หวั่นหวาด!
หลินสวินเห็นภาพต่างๆ นี้แล้วก็อดทอดถอนใจไม่ได้ โลกมืดนี้สมคำร่ำลือดังคาด เพิ่งมาถึงเท่านั้น ระหว่างทางก็มีพวกไม่สนเป็นตายราวอันธพาลชั่วร้ายกระจายอยู่มากเช่นนี้แล้ว
แค่คิดก็รู้แล้วว่าหากไม่นั่งยานข้ามโลกของเรือนเร้นหมอกมา หลังจากมาถึงที่นี่พวกเขาคงได้เจอเคราะห์สังหารครั้งแล้วครั้งเล่าแน่!
ถึงตอนนั้นจะมีสักกี่คนที่รอดไปได้
…………………………