Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2067 คนที่หยิ่งทะนงที่สุด

การลงมือของอู้เชวีย ก็เหมือนเรื่องน่ายินดีที่คาดไม่ถึง

“อาการบาดเจ็บของเจ้าฟื้นฟูแล้วหรือ” หลินสวินถาม

“มีหรือจะฟื้นตัวเร็วเช่นนั้น”

กลิ่นอายอำมหิตที่แผ่ออกมาจากตัวอู้เชวียถูกเก็บไปนานแล้ว เขาในตอนนี้เหมือนเด็กหนุ่มที่ยิ้มสดใส เต็มไปด้วยความระห่ำเป็นธรรมชาติ

เขาลูบคางคิดไปคิดมาพลางกล่าว “พลังต่อสู้น่าจะฟื้นคืนมาถึงสามส่วนหากเทียบกับตอนที่ข้าอยู่ในสภาพยอดเยี่ยม”

แววตาหลินสวินไหววูบ พลังต่อสู้สามส่วนก็สังหารระดับจักรพรรดิขั้นสี่ได้ในศรเดียว?

ตอนที่อู้เชวียอยู่ในสภาพสมบูรณ์จะแข็งแกร่งเพียงใด

เมื่อมองวิญญาณกระบี่เย่จื่อที่พุ่งมาแต่ไกล และนึกถึงเงาร่างน่ากลัวนั้นที่จำศีลอยู่ในส่วนลึกของดาบหักตอนนี้…

หลินสวินพลันพบว่าตนเหมือนจะกลายเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ทำให้คนโศกเศร้าจริงๆ

อู้เชวียพลันกล่าว “นายน้อย หลังจากนี้ข้าอาจไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีกนาน นอกเสียจากว่า…”

“นอกเสียจากอะไร” หลินสวินถาม

อู้เชวียเหมือนยากจะเอ่ยปากอยู่บ้าง กระแอมเล็กน้อยพลางกล่าว “อืม นายน้อยท่านก็รู้ หลายปีนี้ข้าหลอมแก่นพลังสมบัติไปไม่น้อย จึงฟื้นฟูพลังชีวิตมาได้บางส่วน…”

ไม่รอให้พูดจบหลินสวินก็เข้าใจพลางกล่าว “สมบัติจักรพรรดิหรือ”

อู้เชวียพยักหน้ากล่าวเสริม “ยิ่งมากยิ่งดี”

มุมปากหลินสวินกระตุกเล็กน้อยอย่างยากสังเกตเห็นพลางกล่าว “เจ้าวางใจเถอะ ภายหน้าข้าต้องรวบรวมสมบัติจักรพรรดิมาได้มากขึ้นแน่”

ดูเหมือนว่าอู้เชวียจะเกรงใจอยู่บ้าง “นายน้อย เมื่อครู่ท่านก็เห็นแล้ว ก่อนหน้านี้แม้ว่าข้าจะกลืนสมบัติจักรพรรดิไปบางส่วน แต่ก็ฟื้นฟูพลังต่อสู้มาได้บ้าง เหมือนการฆ่าเจ้าเฒ่านั่นเมื่อครู่ ล้วนไม่เปลืองแรงอย่างสิ้นเชิง”

เย่จื่อที่อยู่ด้านข้างกล่าวขึ้นมาโดยพลัน “การโจมตีเมื่อครู่ดูเหมือนว่าจะสูบพลังบนตัวเจ้าไปหมดแล้ว คงไม่อาจพูดได้ว่าไม่เปลืองแรง”

รอยยิ้มของอู้เชวียพลันแข็งทื่อ จ้องมองเย่จื่อด้วยแววตาล้ำลึก “นายน้อย หากท่านให้ข้ากลืนวิญญาณกระบี่น้อยนี่ ไม่เกินหนึ่งวันพลังชีวิตที่เสียหายสาหัสนั้นของข้าต้องฟื้นคืนกลับมาอย่างสมบูรณ์แน่”

เย่จื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ “ข้าไม่เหมือนเจ้า ไม่ต้องหลอมแก่นพลังของสมบัติจักรพรรดิมาฟื้นฟูตนเอง ทั้งข้ายังกล้ายืนยันว่าแม้เจ้าจะเป็นวิญญาณอาวุธเหมือนข้า แต่มรรควิถีที่เจ้ามีตอนอยู่ในสภาพยอดเยี่ยม ไม่มีทางสูงกว่าข้าแน่”

เขาเว้นช่วงไปก่อนกล่าวอย่างใจเย็น “หากเปรียบเทียบเช่นนี้ ความคิดที่เจ้าอยากจะกลืนกินข้า ก็ไม่ต่างอะไรกับคางคกอยากกินเนื้อหงส์ เพ้อพกเลื่อนลอย ไม่ประมาณตนเอง”

คำพูดพวกนี้ดุดันและตรงไปตรงมาเหมือนมรรคกระบี่ของเขา ทำเอาอู้เชวียตกตะลึงไปพักหนึ่ง

เขากล่าวอย่างประหลาดใจ “นายน้อย วิญญาณกระบี่น้อยนี่เฉียบคมนัก”

เย่จื่อเอ่ยแก้ “ข้าชื่อเย่จื่อ ไม่ได้ชื่อว่าวิญญาณกระบี่น้อย”

เห็นว่าทั้งสองมีท่าทีเหมือนเข็มแหลมปะทะหนามคม หลินสวินจึงรีบห้ามปรามแยกทั้งสองออกจากกัน ไม่อย่างนั้นต้องได้ต่อยตีกันแน่

“วิญญาณกระบี่น้อย เมื่อเจอกันครั้งหน้า ไม่แน่ว่าข้าอาจได้ลิ้มลองรสชาติของเจ้า”

สุดท้ายอู้เชวียก็ยิ้มกล่าวทิ้งท้ายประโยคหนึ่งก่อนกลับเข้าไปในธนูวิญญาณไร้แก่นสาร จมสู่ความเงียบอีกครั้ง

“เจ้าหมอนี่…”

เย่จื่อคิดไปคิดมาก่อนกล่าววิจารณ์ “กวนบาทานัก”

ดุเดือดเลือดพล่านเหลือเกิน

หลินสวินอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ “ไปเถอะ”

เขานึกถึงซีแล้วพลันหนักใจขึ้นมา รอยยิ้มบนหน้าจางหายไปจนสิ้น

เขาสูดหายใจลึกแล้วเริ่มเคลื่อนไหว รวบรวมทรัพย์หลังศึกที่เหลืออยู่ในสนามรบก่อนเคลื่อนที่ไปยังฟ้าดาราที่ห่างออกไป

“ไปไหน” เย่จื่อถาม

“โลกมืด” หลินสวินพูดโดยไม่ต้องคิด

“เจ้าไม่ห่วงซีหรือ” เย่จื่ออดกล่าวไม่ได้

“นางต้องมาหาพวกเราแน่” เสียงของหลินสวินต่ำลึก

“แต่ถ้า…”

“ไม่มีถ้า”

“ข้าเข้าใจแล้ว”

ขณะพูดคุยเงาร่างของหลินสวินและเย่จื่อล้วนหายไปจากฟ้าดาราที่กว้างใหญ่ผืนนี้แล้ว

แต่เมื่อพวกเขาจากไปไม่นาน

ส่วนลึกของฟ้าดาราแถบนั้นมีเงาร่างหนึ่งปรากฏ ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ในดวงตาเผยลักษณ์ประหลาดอย่างทั่วหล้าผันแปร สรรพสิ่งเปลี่ยนแปลง

เขายืนสบายๆ อยู่อย่างนั้น แต่กลับเหมือนราชันแห่งฟ้าดาราที่สูงส่ง รูปร่างสูงตระหง่าน สันโดษอิสระ

“นายท่าน”

เสียงที่ถ่อมตนหาใดเปรียบพลันดังขึ้น ชายร่างกำยำที่ทั่วร่างอบอวลไปด้วยสายฟ้าสีดำ เงาร่างสูงประมาณหนึ่งจั้งคนหนึ่งปรากฏตัว

กลิ่นอายของเขาชวนประหวั่นหาใดเปรียบ แค่ระหว่างที่หายใจเข้าออกก็ทำให้ฟ้าดาราแถบนี้สั่นสะเทือนขึ้นมาได้!

แต่ตอนนี้เขากลับยืนนอบน้อมอยู่ข้างเงาร่างตระหง่านนั่น ค้อมศีรษะลงมา

“ว่ามา”

เงาร่างนั้นคำพูดมีค่าดั่งทอง คำเดียวเหมือนสัทครรลองมหามรรค เสียดลึกถึงก้นบึ้งหัวใจ

“จักรพรรดิสวรรค์ดำรงปรากฏตัวที่โลกมืดแล้ว เจ้าสำนักของสำนักโบราณจรัสเทพและแดนกษิติครรภ์ล้วนยอมสวามิภักดิ์ต่อเขา”

น้ำเสียงของชายร่างกำยำลุ่มลึก ดังก้องเหมือนอสนีครวญ

“คิดอยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้”

น้ำเสียงของเงาร่างนั้นเจือแววถากถาง

ชายร่างกำยำลังเลเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อ “นายท่าน จักรพรรดิสวรรค์ดำรงแจ้งข่าวผ่านแดนกษิติครรภ์มาว่าให้ท่านไปเข้าพบ”

“เข้าพบ?”

เมื่อสองคำนี้หลุดออกมาจากปากของเงาร่างนั้น ฟ้าดาราแถบนี้พลันมืดสลัว ดวงดาวนับไม่ถ้วนส่ายสั่นครั่นครืน

ชายร่างกำยำตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น เห็นได้ชัดว่าหน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ

กลับเห็นเงาร่างนั้นเงียบไปสักพัก ทอดถอนใจออกมาเฮือกหนึ่ง “แค่สุนัขของฟากฝั่งฟ้าดาราตัวหนึ่งเท่านั้น มองว่าตนเป็นนายเหนือหัวแห่งทั่วหล้าฟ้าดาราจริงหรือ”

ชายร่างกำยำยิ้มขื่นในใจ ในโลกมืดนี้เกรงว่าคงมีแค่นายท่านที่กล้าเรียกจักรพรรดิสวรรค์ดำรงเช่นนี้…

แต่เขารู้นิสัยของนายท่านดี

หยิ่งทะนง!

เย่อหยิ่งจนเข้ากระดูก จองหองถึงขั้นไม่เห็นใครในสายตา!

อันที่จริงไม่ใช่แค่ในโลกมืดนี้เท่านั้น แม้แต่บนทางเดินโบราณฟ้าดาราก็มีไม่กี่คนที่เข้าตานายท่าน

ความหยิ่งทะนงเช่นนี้ อาจพูดได้ว่าเป็นความหยิ่งในศักดิ์ศรี มีความมาดมั่นอย่างที่สุด ครองรากฐานพลังอันเด็ดขาด!

ถึงตอนนี้ชายร่างกำยำยังจำได้ดี ประโยคที่นายท่านเคยกล่าว

ความหนักของมหามรรค กดทับความหยิ่งทะนงข้าไม่ได้

ต่อให้มีศัตรูทั่วหล้า ก็ไม่อาจทำลายความหยิ่งทะนงได้เพียงเสี้ยว!

ในสายตาของชายร่างกำยำ ทั่วหล้าตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน หากกล่าวถึงคนที่หยิ่งทะนงที่สุด ย่อมไม่มีใครเทียบเคียงนายท่านได้!

เขาจำได้ว่าเคยมีบรรพจารย์จักรพรรดิมาเยือน ต้องการถกมรรคกับนายท่าน แต่นายท่านกลับกล่าวแค่ว่า ‘มหามรรคไม่ต้องพูด โอ้อวดไม่จำแนก เจ้าเป็นมรรคเล็ก ไม่พอให้มาแบ่งสูงต่ำกับข้า’

ประโยคเดียวทำให้บรรพจารย์จักรพรรดิคนนั้นทั้งอับอายและขุ่นเคือง สะบัดแขนเสื้อจากไป

“บอกเจ้าสุนัขนั่นว่าข้ามุ่งหน้าไปฟากฝั่งฟ้าดาราแล้ว”

เงาร่างนั้นพลันพูดขึ้น

ชายร่างกำยำอึ้งไป อดกล่าวเตือนไม่ได้ “นายท่าน ยามนี้คนทั่วไปต่างรู้ว่าเมื่อจักรพรรดิสวรรค์ดำรงมาถึง เส้นทางไปยังฟากฝั่งฟ้าดาราก็ถูกตัดขาดอีกครั้งแล้ว”

เงาร่างนั้นกล่าว “แล้วอย่างไร”

ชายร่างกำยำยิ้มขื่น จักรพรรดิสวรรค์ดำรงเป็นบุคคลระดับใด มีหรือจะมองคำปฏิเสธที่ไม่ได้เรื่องนี้ไม่ออก

“ไปเถอะ รอวันหน้าเมื่อโอกาสมาถึง ข้าจะไปคุยกับเจ้าสุนัขนี่เอง”

เงาร่างนั้นโบกมือกล่าว

ชายร่างกำยำพยักหน้า รับคำสั่งจากไป

แต่เงาร่างนั้นกลับมองไปยังทิศทางที่หลินสวินจากไปอีกครั้ง เขาพึมพำในใจ

‘อาจารย์มอบศุภโชคชั้นยอดที่เก็บไว้ในแหล่งสถานคุนหลุนนั้นแก่เจ้า ข้าอยากดูนักว่าในโลกมืดนี้ เจ้าจะเรียกคลื่นลมได้ยิ่งใหญ่เพียงใด…’

ครู่ใหญ่เงาร่างของเขาก็ค่อยๆ หายไปโดยไร้สุ้มเสียง

โลกมืด

มีสมญาว่า ‘แดนชั่วร้าย’ ‘แดนโกลาหล’ มาแต่โบราณ ที่ผ่านมาไม่รู้มีมารนอกรีตที่ก่อกรรมทำชั่วเท่าไรหนีมาอยู่ที่นี่

ที่นี่ไม่มีกฎเกณฑ์ ถ้าอยากอยู่รอดต่อไป หากไม่ดวงแข็งพอก็ต้องมีพลังที่แข็งแกร่งพอ!

ตำนานที่เกี่ยวข้องกับโลกมืดยังมีอีกมากมาย แต่เกือบทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับความชั่วร้าย เข่นฆ่า นองเลือด โกลาหล

อาณาเขตของโลกมืดกว้างใหญ่หาใดเปรียบ แบ่งเป็นสามสิบสามแดน ความกว้างของแดนไม่ด้อยไปกว่าสี่สิบเก้าแคว้นของโลกใหญ่หงเหมิงเท่าไร

เมืองผีครอบงำ

ตั้งอยู่ใน ‘แดนหนาวเหน็บ’ หนึ่งในสามสิบสามแดนของโลกมืด ในแดนหนาวเหน็บ เมืองเช่นนี้ล้วนมีนับไม่ถ้วน

เมืองผีครอบงำทรุดโทรมมาก กำแพงเมืองบางส่วนล้วนพังทลาย สิ่งปลูกสร้างในเมืองยิ่งน้อยจนน่าสงสาร

นี่เป็นเรื่องปกติ

ในโลกมืดกฎระเบียบเสื่อมโทรม แต่ละวันล้วนมีการเข่นฆ่านองเลือดเกิดขึ้นไม่รู้เท่าไร ผลกระทบที่เกิดจากการต่อสู้ทำให้เมืองต่างๆ ไม่อาจคงอยู่ได้นาน

เมืองผีครอบงำดูเหมือนทรุดโทรม แต่สามารถยืนหยัดมาได้ถึงตอนนี้ก็ไม่ง่ายแล้ว

ต่างจากโลกภายนอก เมืองธรรมดาอย่างเมืองผีครอบงำไม่มีขุมอำนาจไหนยึดครองได้ยาวนาน เมื่อปีก่อนเมืองผีครอบงำเพิ่งเปลี่ยนเจ้าเมืองใหม่

ด้วยเจ้าเมืองคนก่อนถูก ‘นักพรตเอ้อ’ เจ้าเมืองคนปัจจุบันสังหาร

หากไล่ย้อนกลับไปหนึ่งพันปี เมืองผีครอบงำทยอยเปลี่ยนเจ้าเมืองไปหนึ่งร้อยสี่สิบเก้าคนแล้ว เจ้าเมืองแต่ละคนล้วนตายโดยผิดธรรมชาติ

แต่ในโลกมืดสถานการณ์เช่นนี้ก็เห็นบ่อยจนชินตา

การยึดครองเมืองหนึ่งในโลกมืดสามารถดึงดูดผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนมาติดตาม ก่อตัวเป็นขุมอำนาจ จึงจะอยู่รอดได้ดีขึ้นในโลกมืดที่โกลาหลนองเลือดนี้

ใช่ ทั้งหมดล้วนเพื่อความอยู่รอด!

พลังของคนผู้หนึ่ง สุดท้ายก็บอบบางโดดเดี่ยวเกินไป มีเพียงสร้างขุมอำนาจของตนขึ้นมา จึงจะทำให้ตนมีชีวิตรอดอยู่ในโลกมืดได้นานอีกหน่อย

ยามพลบค่ำ

เงาร่างของหลินสวินปรากฏตัวอยู่นอกเมืองผีครอบงำ

รัตติกาลใกล้มาเยือนแล้ว นอกเมืองผีครอบงำมีแค่เงาร่างบางส่วนกระจายตัวกันเข้าออก

“สหายยุทธ์ เจ้าดูไม่คุ้นหน้านัก ไม่ทราบว่ามีอะไรที่ต้องการความช่วยเหลือหรือไม่”

ชายหนุ่มชุดดำผิวสีน้ำตาลแดง ร่างผอมบางปราดเปรียวคนหนึ่งก้าวเข้ามา ทักทายหลินสวินด้วยตนเอง

“เจ้าช่วยอะไรข้าได้บ้าง” หลินสวินเหลือบมองอีกฝ่ายเล็กน้อย

ชายหนุ่มชุดดำยิ้มกล่าว “ขอแค่จ่ายเงินมากพอ ให้ขายชีวิตก็ย่อมได้”

หลินสวินกล่าว “ข้าเพิ่งมาใหม่ เจ้าคิดว่าถ้าข้าอยากมีชีวิตอยู่ที่นี่ได้นานอีกหน่อย ข้าควรเตรียมตัวอะไรบ้าง ข้าอยากฟังสิ่งที่มีประโยชน์”

เขาพูดพลางโยนถุงเก็บของหนึ่งออกไป

เมื่อเปิดถุงเก็บของออกดู รอยยิ้มของชายหนุ่มชุดดำก็กระตือรือร้นยิ่งกว่าเดิม “สหายยุทธ์ ข้าได้แต่พูดว่าเจ้ามาหาถูกคนแล้ว! เพิ่งมาใหม่ไม่น่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวคือไม่ทันได้เข้าใจอะไรก็จบชีวิตแล้ว ดูออกเลยว่าสหายยุทธ์เป็นคนฉลาด”

หลินสวินเหลือบมองเขาเล็กน้อยพลางกล่าว “ข้าหวังว่าทางที่ดีเจ้าก็ควรฉลาดหน่อย”

ชายหนุ่มชุดดำผงะในใจ ปากกลับยิ้มกล่าว “สหายยุทธ์วางใจ ยามอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขแล้วนำพาความร่ำรวยมาได้ ข้าย่อมไม่มีทางทำเรื่องโง่ๆ”

ชายหนุ่มชุดดำสำรวจมองรอบทิศครู่หนึ่งแล้วกล่าว “นอกเมืองนี้เป็นสถานที่ซึ่งเกิดเรื่องอันตรายได้ง่ายที่สุด ไม่สะดวกจะพูดคุย สหายยุทธ์โปรดตามข้ามาทางนี้”

เขาพูดพลางเดินไปทางเมืองผีครอบงำที่อยู่ห่างออกไป

หลินสวินสองมือไพล่หลัง ก้าวตามไป

เขาต้องการงูเจ้าถิ่นคนหนึ่งมาแนะนำเรื่องบางอย่างก็จริง แต่เงื่อนไขแรกคือทางที่ดีงูเจ้าถิ่นคนนี้ต้องไม่ทำตัวโง่จนเกินไป

…………………

Battling Records of the Chosen One

Battling Records of the Chosen One

BRCO, Tian Jiao Zhan Ji, 天骄战纪
Score 8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2016 Native Language: Chinese
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์ ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้ แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน… In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history. In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing. Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned. Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset