ชายหนุ่มชุดดำนามว่ามู่ชวน ราชันระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ด
หากอยู่ในดินแดนรกร้างโบราณ ราชันที่ก้าวสู่มรรคาอมตะย่อมจัดอยู่ในหมู่บุคคลผู้มีอิทธิพล เรียกได้ว่าเป็นราชันของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแล้ว
แต่ในเมืองผีครอบงำนี้ เห็นได้ชัดว่ามู่ชวนเป็นแค่ ‘เจ้าตัวเล็ก’ คนหนึ่ง ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางวิ่งออกมานอกเมืองเพื่อเชิญชวนเรียกแขก
นอกประตูเมืองที่ทรุดโทรมมีผู้คุ้มกันสองคนยืนอยู่ สีหน้าและแววตาไม่อำพรางความอำมหิตแม้แต่น้อย
“เอ๋ หาลูกค้าได้อีกแล้วหรือ”
ผู้คุ้มกันคนหนึ่งในนั้นเหมือนรู้จักมู่ชวนเป็นอย่างดี ยิ้มพลางหยอกล้อ
สายตาของผู้คุ้มกันอีกคนมองไปยังหลินสวิน กล่าวด้วยเสียงแข็งกร้าว “สามพันผลึกมรรค”
มู่ชวนอธิบายเสียงเบาอยู่ข้างๆ “สหายยุทธ์ นี่คือค่าใช้จ่ายที่คนมาใหม่ต้องชำระในการเข้าเมืองครั้งแรก เช่นนี้แล้วจะได้ป้ายประจำตัวมาป้ายหนึ่ง ภายหน้าก็จะเข้าออกเมืองผีครอบงำได้ตามใจ”
หลินสวินร้องอ้อคราหนึ่ง โยนถุงเก็บของใบหนึ่งออกมาลวกๆ
ครานี้มู่ชวนและผู้คุ้มกันสองคนนั่นต่างอึ้งไป คล้ายคิดไม่ถึงว่าหลินสวินจะยอมจ่ายเงินมหาศาลอย่างรวดเร็วเช่นนี้
“มีปัญหาหรือ” หลินสวินกล่าว
มู่ชวนยิ้มกล่าว “ไม่มีปัญหา”
“เอาไป” ผู้คุ้มกันคนหนึ่งส่งมอบป้ายชื่อที่หล่อจากสำริดให้หลินสวิน
บนป้ายชื่อสลักสัญลักษณ์จระเข้สวรรค์ไว้ตัวหนึ่ง แยกแยะได้โดยง่าย
แต่ในสายตาของหลินสวิน ป้ายชื่อนี้กลับดูหยาบเกินทน ให้เขาหลอมออกมาลวกๆ ยังได้
แต่หลินสวินก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เขาเพิ่งมาใหม่จึงยังไม่อยากให้ถึงขั้นเปิดศึกเพราะเงินสามพันผลึกมรรค
“สหายยุทธ์ เชิญ”
มู่ชวนพาหลินสวินเดินเข้าไปในเมือง
ผู้คุ้มกันคนหนึ่งลูบคางกล่าว “ดูเหมือนว่าเจ้ามู่ชวนนี่จะจับแกะอ้วนตัวใหญ่ได้สินะ…”
อีกคนกลับกล่าวเสียงขรึม “คนที่มาถึงโลกมืดได้ไม่มีพวกธรรมดาสักคน พวกเราเป็นคนเฝ้าประตูเมือง ทางที่ดีอย่าไปคิดเรื่องอื่นจะดีกว่า การมีชีวิตอยู่… ไม่ง่ายนัก”
ในเมืองก็ทรุดโทรมเกินทนเช่นกัน บนซากของสิ่งปลูกสร้างที่พังทลายบางส่วนมีวัชพืชขึ้นเต็มไปหมด บนท้องถนนมีคนสัญจรมากมาย มีป้ายหน้าร้านของหอสุราและโรงน้ำชาอยู่ทุกแห่งหน ไม่ต่างอะไรกับโลกภายนอก
ตลอดทางมู่ชวนสื่อจิตกล่าวรวดเร็ว ‘เจ้าเมืองของเมืองผีครอบงำตอนนี้คือ ‘นักพรตเอ้อ’ นี่เป็นถึงตัวอันตรายคนหนึ่ง มีพลังปราณระดับมกุฎมหาอริยะ ในแดนหนาวเหน็บก็นับได้ว่าเป็นบุคคลชั้นหนึ่ง’
หลินสวินฟังเงียบๆ ไม่สนใจมากนัก
อย่าว่าแต่มกุฎมหาอริยะ ต่อให้เป็นมกุฎราชันอริยะ มกุฎกึ่งจักรพรรดิ ก็ล้วนไม่อยู่ในสายตาหลินสวิน
มู่ชวนเห็นหลินสวินไม่สนใจเรื่องนี้ดวงตาก็ก็กลอกวนรอบหนึ่ง กล่าวว่า “สหายยุทธ์ ขอเสียมารยาทถามสักประโยค ท่านมาที่เมืองผีครอบงำนี้ด้วยเรื่องใด”
หลินสวินกล่าวง่ายๆ “รอคน”
มู่ชวนอึ้งไป เขาไม่ถามเพิ่มอีกด้วยรู้จักกาลเทศะ หากแต่กล่าวว่า “ถ้าจะอาศัยอยู่ในเมือง ทุกวันต้องจ่ายหนึ่งพันผลึกมรรคไปให้จวนเจ้าเมือง”
“แน่นอนว่าสหายยุทธ์สามารถเลือกไปทำงานที่จวนเจ้าเมืองได้ เช่นเป็นผู้คุ้มกันที่อยู่ภายใต้การดูแลของจวนเจ้าเมือง หรือขุดสายแร่ รวบรวมวัตถุดิบวิญญาณ… สรุปคือขอแค่ท่านช่วยทำงานให้กับจวนเจ้าเมือง ก็อยู่ในเมืองได้ตลอดไป”
หลินสวินประหลาดใจ “แค่อยู่ในเมืองต้องทำเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ”
มู่ชวนถอนใจกล่าว “ต้องอยู่ในเมืองจึงจะได้รับการคุ้มครองจากจวนเจ้าเมือง ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรขึ้น หากอยู่นอกเมืองแล้วถูกคนฆ่าก็ไม่มีใครเก็บศพให้”
หลินสวินเข้าใจในทันที ว่ากันตามจริงแล้วก็เพื่อความอยู่รอด
“ไม่ใช่แค่เมืองผีครอบงำ เมืองอื่นในแดนหนาวเหน็บก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ถ้าอยากอยู่รอดก็จำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนที่เหมาะสม”
มู่ชวนกล่าว “นี่ก็คือกฎเกณฑ์ในการอยู่รอดของโลกมืด”
ยามสนทนาบนถนนเบื้องหน้าพลันมีเสียงหวีดร้องดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงหัวเราะ
หัวคิ้วหลินสวินขมวดขึ้น
จิตรับรู้ของเขามองเห็นได้อย่างชัดเจนในพริบตา บนท้องถนนเบื้องหน้านั้น ชายชุดหรูคนหนึ่งกำลังหวดแส้อ่อนสีเงินยวงใส่หญิงสาวคนหนึ่ง
ร่างหญิงสาวอาภรณ์หลุดลุ่ย ผมเผ้ายุ่งเหยิง กรีดร้องโหยหวนขดตัวอยู่กับพื้น ร่างกายที่เดิมทีขาวกระจ่างเพรียวบาง เต็มไปด้วยรอยแส้ชุ่มเลือด
แววตาของชายชุดหรูเจือความเหี้ยมโหดป่าเถื่อน ยามแส้โบกสะบัด แสงศักดิ์สิทธิ์พลุ่งพล่านไปทั่ว ดูแข็งแกร่งดุดัน เฆี่ยนผู้หญิงคนนั้นพลางกล่าวอย่างเยียบเย็น “นางชั้นต่ำ เจ้าจะยอมหรือไม่”
“รีบยอมเถอะ ได้เป็นอนุภรรยาของนายน้อยท่านเจ้าเมือง ถือเป็นโชคที่ยิ่งใหญ่แล้ว”
“ใช่แล้วๆ”
บริเวณใกล้เคียงยังมีคนมากมายมุงดู พากันกล่าวเสริม สีหน้ามีแต่ความตื่นเต้น หยอกล้อ เหี้ยมโหดและเฉยชา ไม่มีความเวทนาสักนิด
ผู้หญิงคนนั้นเหลือเพียงลมหายใจรวยริน เลือดไหลอาบไปทั้งตัว
มู่ชวนท่าทางเหมือนเห็นเรื่องแปลกจนชาชิน กล่าวว่า “สหายยุทธ์ดูสิ นั่นคือบุตรท่านเจ้าเมือง ลูกบุญธรรมที่นักพรตเอ้อรับมาเลี้ยงดู ชื่อว่าตงจินหรง อุปนิสัยเจ้าชู้เจ้าสำราญ เป็นคนนิสัยไม่ดีมาก”
นัยน์ตาดำหลินสวินล้ำลึกไม่พูดจา
มู่ชวนกล่าวเตือน “สหายยุทธ์ ท่านเพิ่งมาใหม่ แต่ต้องจำไว้ว่าอย่ายุ่งไม่เข้าเรื่อง ผู้หญิงคนนั้นดูน่าสงสารก็จริง แต่ท่านต้องจำไว้ว่านี่คือโลกมืด”
“เด็กๆ จับนางชั้นต่ำนี่กลับไปขัง เช้าเย็นข้าจะฝึกนางให้อยู่ในโอวาท ยอมจำนนอยู่กลางหว่างขาข้า!”
ตงจินหรงบุตรเจ้าเมืองออกคำสั่ง
ทันใดนั้นก็มีผู้คุ้มกันสองสามคนพุ่งออกมา จับตัวหญิงสาวที่บาดเจ็บทั่วตัวคนนั้นจากไป
เวลานี้เองหลินสวินที่เงียบมาตลอดพลันเอ่ยถาม “เจ้าบอกว่าคนที่เข้ามาในเมืองล้วนได้รับการคุ้มครองจากจวนเจ้าเมืองไม่ใช่หรือ สถานการณ์เช่นนี้… ไม่มีคนสนใจรึ”
มู่ชวนสีหน้าพิกล “สหายยุทธ์ ท่านผู้นั้นเป็นถึงบุตรท่านเจ้าเมือง กฎเกณฑ์ในเมืองล้วนมีเขาเป็นใหญ่ไม่ใช่หรือ”
หลินสวินพลันนึกถึงคำพูดของชายวัยกลางคนแห่งเรือนเร้นหมอกผู้นั้นขึ้นมา
‘กฎเกณฑ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกมืด ก็คือไม่มีกฎเกณฑ์!’
‘พลังของใครแข็งแกร่งพอ คำพูดของคนผู้นั้นก็คือกฎเกณฑ์!’
ไม่นานมู่ชวนก็พาหลินสวินมาถึงหน้าเรือนเก่าซอมซ่อเกินทนหลังหนึ่งในเมือง “สหายยุทธ์ ท่านเพิ่งมาใหม่ วันนี้ฟ้ามืดแล้ว เชิญพักผ่อนอยู่ที่นี่ชั่วคราว พรุ่งนี้ข้าค่อยพาท่านไปลงทะเบียนที่จวนเจ้าเมือง”
“ลงทะเบียน?” หลินสวินกล่าว
“ใช่ ถ้าจะอยู่ในเมืองไม่เพียงแต่ต้องจ่ายหนึ่งพันผลึกมรรคให้จวนเจ้าเมืองทุกวัน เช่าบ้านช่องห้องก็ต้องจ่ายเงิน แน่นอนว่าข้าแนะนำให้ท่านช่วยงานที่จวนเจ้าเมืองจะดีที่สุด เช่นนี้ก็จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก”
มู่ชวนพูดพลางพาหลินสวินเดินเข้าไปในเรือน
ในเรือนเก่าซอมซ่อ ฝุ่นผงกระจายอยู่ทั่ว มีกองไฟลุกโชนขับไล่ความมืดมน
เงาร่างกลุ่มหนึ่งบ้างนั่งบ้างยืน มีทั้งชายและหญิง ทั้งชราและเยาว์วัย บนตัวแต่ละคนล้วนอวลไปด้วยกลิ่นอายอำมหิตนองเลือดที่คล้ายมีคล้ายไม่มี
เมื่อมู่ชวนพาหลินสวินเดินเข้ามา ก็ถูกสายตามากมายจับจ้องทันใด
ชายชราร่างผอมคนหนึ่งกล่าวด้วยเสียงแหบพร่า “มู่ชวน ทั้งวันนี้เจ้าพากลับมาได้แค่คนเดียวรึ”
น้ำเสียงเจือความไม่พอใจเสี้ยวหนึ่ง
สีหน้ามู่ชวนเปลี่ยนเป็นซีดเผือดทันที กล่าวอย่างหวาดหวั่น “ลุงไหว ท่านก็รู้ดีว่าช่วงนี้คนหน้าใหม่ที่มาเมืองผีครอบงำน้อยลงเรื่อยๆ ทำการค้าได้ไม่ดีนัก”
ชายชราร่างผอมที่ถูกเรียกว่าลุงไหวแค่นเสียงเย็นชา เหลือบสายตามองไปยังหลินสวิน เผยสีหน้าพิกลพลางกล่าว “มู่ชวน เจ้าวางยาเสน่ห์อะไรใส่สหายคนนี้กันแน่ ถึงได้ติดเบ็ดของเจ้าอย่างว่าง่ายเช่นนี้”
คนอื่นในเรือนต่างหัวเราะขึ้นมา สายตาที่มองมาทางหลินสวินเต็มไปด้วยความเพลิดเพลิน
หลินสวินสีหน้าเรียบเฉย คล้ายไม่รับรู้อะไร เขามองมู่ชวนที่เดินห่างตนไปหลังจากเข้ามาในเรือนพลางกล่าว “นี่มันเรื่องอะไรกัน”
มีคนอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ฮ่าๆ ถึงตอนนี้เจ้าหมอนี่ยังไม่รู้ตัวอีก คงไม่ใช่ว่า… เป็นไก่อ่อนที่มาโลกมืดครั้งแรกกระมัง”
คนอื่นก็พากันหัวเราะขึ้นมา
หลินสวินยังคงไม่ใส่ใจ เพียงแต่มองไปยังมู่ชวน ฝ่ายหลังพลันอึดอัดไปทั้งตัว อดกล่าวอย่างอับอายเดือดดาลไม่ได้ “เจ้าโง่! เจ้ายังจะถามอีกว่าเรื่องอะไร นี่คือโลกมืด! พวกหน้าโง่ที่ไหนจะเชื่อคนอื่นอย่างง่ายดายเหมือนเจ้า”
หลินสวินกล่าว “เจ้าไม่ฉลาดนัก”
มู่ชวนยิ้มหยัน ไม่ไยดี
ชายชราร่างผอมกล่าว “เจ้าหนุ่ม เห็นว่าเพิ่งมาใหม่ ข้าจะสอนเจ้าให้ว่าควรอยู่ในโลกมืดนี้อย่างไร”
เขาเว้นช่วงไปก่อนกล่าวต่อ “อย่างแรกคือนำสมบัติติดตัวออกมาให้หมด นี่เรียกว่าการคารวะ อย่างที่สองพิสูจน์คุณค่าของตนเอง พวกไร้ประโยชน์มีแค่จุดจบเดียวคือตาย นี่ก็คือกฎเกณฑ์”
หญิงงามคนหนึ่งยิ้มหวานกล่าว “น้องชาย ตอนนี้ต้องดูความสามารถของเจ้าแล้ว”
สายตาคนอื่นต่างจ้องมองหลินสวิน แววอำมหิตส่องประกาย
บรรยากาศก็เปลี่ยนเป็นตึงเครียดขึ้นมา
“ที่แท้นี่ก็คือกฎเกณฑ์สินะ…”
หลินสวินถอนใจเบาๆ
น้ำเสียงราบเรียบ แต่ทุกคำนั้นกลับฟาดใจพวกชายชราร่างผอมอย่างหนักหน่วงราวกับสายฟ้ามหามรรค ภาพเบื้องหน้าเป็นสีดำทันที จมูกปากกบเลือด แต่ละคนนอนกลิ้งไปกลิ้งมา
พริบตานี้พวกเขาสีหน้าตื่นตะลึงโดยพร้อมเพรียง รู้สึกยากจะเชื่อ
ยังไม่ทันลงมือ อาศัยแค่ประโยคเดียวก็กำราบพวกเขาได้ทั้งหมด นี่ต้องมีพลังปราณที่น่าหวาดกลัวระดับใดจึงจะทำได้
มู่ชวนคือคนเดียวที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่เมื่อเห็นภาพนี้ทั้งตัวเขาก็นิ่งงันอยู่ตรงนั้น
เขามีหรือจะคาดคิดว่าผู้มาใหม่คนหนึ่งที่สุ่มหลอกมาจากนอกเมือง ถึงกับเป็นคนน่ากลัวที่เก็บซ่อนตัวตนแนบเนียน!
“ผู้อาวุโสไว้ชีวิตด้วย!”
มู่ชวนคุกเข่าดังตึง ตบหน้าตัวเองอย่างหนักพลางวิงวอน “ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่ ลุ่มหลงกับสิ่งภายนอกจนเลอะเลือน หวังว่าท่านจะใจกว้างเมตตา ไว้ชีวิตสุนัขอย่างข้าน้อย!”
หลินสวินมองเขาอย่างเฉยชา กล่าวอย่างไม่โศกเศร้ายินดี “ข้าบอกแล้วว่าเจ้าไม่ฉลาดนัก”
ปึง!
มู่ชวนสั่นไปทั้งตัว จากนั้นก็นอนหมอบกับพื้นโดยไร้สุ้มเสียง จิตวิญญาณของเขาถูกซัดแตกแล้ว
พอมองพวกลุงไหวอีกครั้ง ก่อนหน้านี้พวกเขายังคิดว่าจับแกะอ้วนได้ตัวหนึ่ง ไม่เกรงกลัวสิ่งใด แต่ตอนนี้แต่ละคนกลับตกใจจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
หลินสวินมาถึงข้างกองไฟ นั่งลงลวกๆ แล้วยกน้ำเต้าสุราเปลือกเขียวใบหนึ่งออกมาดื่มพลางกล่าว
“ข้าอยากรู้เรื่องบางอย่าง หากพวกเจ้าให้ความร่วมมือโดยดี ข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้าครั้งหนึ่ง”
พวกลุงไหวพยักหน้าไม่ว่างเว้น แต่ละคนล้วนว่าง่ายและเชื่องเชื่อ ในแววตาเต็มไปด้วยความมุ่งหวังอยากอยู่รอด
หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่ทำให้หลินสวินผิดหวังจริงๆ ไม่ว่าหลินสวินจะถามอะไร ล้วนถูกพวกเขาแย่งกันตอบ
แน่นอนว่าเรื่องที่หลินสวินถามทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับโลกมืด ไม่อาจพูดได้ว่าเป็นความลับหรือโจทย์ยากอะไร
“เอาล่ะ พวกเจ้าแสดงออกได้ไม่เลว”
เมื่อถามปัญหาสุดท้ายจบ หลินสวินอดพยักหน้าไม่ได้
พวกลุงไหวต่างคึกคักขึ้นมา มีคนอดเอ่ยถามไม่ได้ “ผู้อาวุโส เช่นนั้น… พวกเราก็จากไปได้แล้วใช่ไหม”
“ได้สิ ข้าจะส่งพวกเจ้าไปลงนรกเอง”
เมื่อหลินสวินเอ่ยปากออกมา พวกลุงไหวก็พากันหนาวเยือกไปทั้งใจ สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
…………………….