“ถ้าว่าตามที่เจ้าว่า นี่ก็เป็นโอกาสครั้งหนึ่งจริงๆ”
นักพรตเอ้อครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า “แต่ข้ากังกล ว่าถ้าชักนำหมาป่าเข้าบ้านจะทำอย่างไร”
มังกรข้ามแม่น้ำที่สามารถเอาชนะนักเชือดเมิ่งได้ ทันทีที่ควบคุมได้ไม่ดี เกรงว่าจะเป็นการเล่นกับไฟ!
จี้เหลิ่งเอ่ยว่า “ท่านเจ้าเมืองวางใจได้ ข้าเห็นว่าเจ้าหมอนั่นในใจมีเป้าหมายยิ่งใหญ่ ปณิธานสูงส่ง แตกต่างกับคนพวกนี้ ไม่สนใจการยึดครองเมือง แผ่ขยายขุมอำนาจสักนิด ต่อให้พวกเราอยากรั้งเขาไว้ตลอด ก็เกรงว่าเป็นไปไม่ได้”
นักพรตเอ้อนิ่วหน้าเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วเจ้ามีวิธีไหนทำให้เขาช่วยได้บ้าง”
จี้เหลิ่งแววตาลุ่มลึก เอ่ยว่า “ล่อเขาด้วยผลประโยชน์ ให้สิ่งที่เขาต้องการ คนอย่างเขามาที่โลกมืด จะต้องมีจุดมุ่งหมายแน่ เพียงแต่ด้วยความสามารถของพวกเรา เกรงว่าจะไม่อาจช่วยอะไรเขาได้ ดังนั้นก็ทำได้เพียงล่อเขาด้วยผลประโยชน์แล้ว”
นักพรตเอ้อถามอย่างอดไม่ได้ว่า “จะทำอย่างไร”
จี้เหลิ่งกัดฟันแล้วสื่อจิตเอ่ยคำหนึ่ง
นักพรตเอ้อสีหน้าเคร่งเครียดทันที “ไม่ได้! เกิดเขาเห็นเงินแล้วคิดชั่วๆ ขึ้นมาจะทำอย่างไร”
จี้เหลิ่งถอนหายใจเอ่ยว่า “ท่านเจ้าเมือง ถ้าไม่จ่ายค่าตอบแทนมากพอ จะได้ผลตอบแทนที่ใหญ่ขึ้นได้อย่างไร โอกาสมีแค่ครั้งนี้ จะทำหรือไม่ทำขึ้นอยู่กับท่านตัดสินใจทั้งสิ้น”
นักพรตเอ้อสีหน้าแปรเปลี่ยนไม่ว่างเว้น ครู่ใหญ่เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “จี้เหลิ่ง ข้ารับปากเจ้าเรื่องนี้ได้ แต่ถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้นมา ข้าจะให้เจ้ารับผิดชอบ!”
จี้เหลิ่งพยักหน้า
เช้าวันรุ่งขึ้น
“เจ้าอยากเชิญข้าไปจวนเจ้าเมืองหรือ”
หลินสวินมองจี้เหลิ่งที่ยืนอย่างนอบน้อมอยู่ข้างกายตน เผยสีหน้าประหลาดใจ
เขาคิดไม่ถึงว่าเจ้าหมอนี่จะยังกล้ามาหาเขาเอง
จี้เหลิ่งเอ่ยนอบน้อม “สหายยุทธ์ ขอบอกท่านตามจริง เมื่อคืนหลังจากข้ากลับไปก็บอกท่านเจ้าเมืองนักพรตเอ้อ ว่าถ้าได้คนเก่งอย่างท่านมาเป็นพวก จะต้องช่วยให้เขาขยายอำนาจได้อย่างรวดเร็วแน่ ดังนั้นเจ้าเมืองจึงรับปากว่าไม่ว่าสหายยุทธ์จะมีคำขออะไร ขอเพียงเขาทำได้ก็จะรับทั้งหมด”
เขาดูจริงใจหาใดเทียบ
หลินสวินร้องอ้อแล้วเอ่ยถามว่า “พูดแบบนี้ เจ้าจึงมาเป็นผู้โน้มน้าวหรือ”
จี้เหลิ่งส่ายหัว “ตัวข้ารู้ขีดความสามารถของตัวเอง อาศัยแค่ถ้อยคำพวกนี้จะไปเชื้อเชิญผู้ยิ่งใหญ่อย่างสหายยุทธ์สำเร็จได้อย่างไร มาคราวนี้ก็เพียงอยากเชิญท่านไปดู ‘คลังสมบัติ’ ของท่านเจ้าเมืองเท่านั้น”
“คลังสมบัติหรือ”
ขนาดหลินสวินยังต้องยอมรับว่าจี้เหลิ่งที่เหมือนเป็นเพียงอริยะคนหนึ่ง แต่วาทศิลป์กลับล้ำเลิศหาใดเทียบ พอพูดมาก็ทำให้เขาใคร่รู้ขึ้นมาบ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้แล้ว
“ใช่ขอรับ”
จี้เหลิ่งเอ่ยตอบอย่างรวดเร็ว “พูดตามตรง เท่าที่ข้ารู้มา อย่ามองว่าท่านเจ้าเมืองเป็นเพียงมกุฎมหาอริยะคนหนึ่งเท่านั้น หลายปีมานี้ในคลังสมบัติของเขารวบรวมสมบัติดีๆ ไว้ไม่น้อย บางชิ้นยิ่งเป็นสมบัติโบราณที่เป็นมรดกตกทอดมานาน ลมปากเชื่อถืออะไรไม่ได้ หากสหายยุทธ์สนใจ ไปดูเสียหน่อยก็รู้แล้ว”
หลินสวินรู้ดีว่านี่เป็นเงื่อนไขที่จี้เหลิ่งวางไว้เพื่อดึงตัวเองไปเป็นพวก
เขาเอ่ยถาม “ในคลังสมบัตินั่นมีศาสตราจักรพรรดิไหม”
จี้เหลิ่งอึ้งไป ยิ้มเจื่อนๆ สายหัวต่อเนื่อง “สหายยุทธ์ ถ้าเป็นสมบัติอริยะยังหาได้ง่าย ส่วนศาสตราจักรพรรดิ… เจ้าเมืองเมืองหนึ่งจะไปแตะได้อย่างไร”
ทันใดนั้นเขาก็เอ่ยว่า “แต่ว่า แม้คลังสมบัติเจ้าเมืองจะไม่มีศาสตราจักรพรรดิ แต่ยังมีสมบัติที่มีที่มาที่ไปลึกลับบางอย่าง เนื่องจากไม่รู้วิธีใช้มัน จึงถูกเก็บรักษาอยู่ในนั้นมาโดยตลอด ในนั้นก็อาจจะมีสมบัติที่สหายยุทธ์ใช้ได้ด้วย”
หลินสวินนิ่งคิดแล้วก็รับปากไป
แม้สมบัติที่อยู่กับตัวเขาจะมาก เพียงแค่ทรัพย์หลังศึกที่ได้มาช่วงหลายปีนี้ยังสามารถเกื้อหนุนเขาไปถึงตอนที่แจ้งมรรคบรรลุจักรพรรดิ
แต่เขาก็ขาดสมบัติบางอย่างไปเช่นกัน
เช่นไม้เทพอย่างชางอู๋และคุนอู๋ สองในสี่ไม้เทพบรรพกาล หรืออย่างทรายวิญญาณดาราขุ่นใส วารีแรกปฐมเป็นอาทิ
เห็นหลินสวินตอบรับมา จี้เหลิ่งก็เผยสีหน้ายินดีปรีดาราวกับยกภูเขาออกจากอกทันที
……
จวนเจ้าเมือง
สำหรับผู้ฝึกปราณในเมืองผีครอบงำแล้ว จวนเจ้าเมืองย่อมเป็นสถานที่ที่หรูหราและปลอดภัยที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ที่นี่มียามอารักขานับไม่ถ้วน คุ้มกันแน่นหนา
จี้เหลิ่งพาหลินสวินเดินไปตามทางคดเคี้ยว ผ่านหออาคารต่างๆ มายัง ‘เขตหวงห้าม’ ในจวนเจ้าเมือง
ที่นี่ไม่เพียงมีผู้แข็งแกร่งอารักขามากมาย ทั้งยังปกคลุมด้วยกระบวนค่ายกลใหญ่ชั้นแล้วชั้นเล่า
หลังจากมาถึงที่นี่ จี้เหลิ่งอธิบายอย่างแข็งขันว่า “สหายยุทธ์ คลังสมบัติเจ้าเมืองนักพรตเอ้อก็ซ่อนอยู่ใต้ดินแห่งนี้”
ขณะพูด เขาก็เอาป้ายคำสั่งป้ายหนึ่งออกมาโบกเบาๆ
ครืน!
ห้วงอากาศปั่นป่วนแปรผัน สัญลักษณ์กระบวนผนึกลายมรรคแน่นขนัดไหลเวียน รวมตัวขึ้นเป็นประตูมายาบานหนึ่งช้าๆ
จี้เหลิ่งสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ผายมือเป็นเชิงเชื้อเชิญ “สหายยุทธ์ เชิญ”
หลินสวินยืนนิ่ง เอ่ยว่า “ในนี้มีการซุ่มโจมตี”
ประโยคเดียวทำเอาจี้เหลิ่งนัยน์ตาหดรัด เท้าที่เพิ่งก้าวหยุดชะงัก เอ่ยอย่างฉงนว่า “ที่นี่เป็นถึงจวนเจ้าเมือง ใครจะกล้าซุ่มโจมตีที่นี่”
หลินสวินไม่ได้สนใจ แต่สายตาชำเลืองมองไปด้านข้างไม่ไกล เอ่ยเนิบนาบว่า “ออกมาเถอะ อย่าบีบให้ข้าลงมือ”
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมองค่ายกลมายาของที่นี่ออก”
เสียงเย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้น ต่อมาทิวทัศน์ในบริเวณใกล้เคียงก็เปลี่ยนไปทันที กลายเป็นพื้นที่อันกว้างขวางแถบหนึ่ง และสี่ทิศรอบด้านหลินสวินและเหลิ่ง มีเงาร่างมากมายแน่นขนัดปรากฏตัวออกมา
อานุภาพแต่ละคนดุร้ายคับฟ้า!
คนที่นำหน้าย่อมเป็นนักพรตเอ้อที่แต่งกายสีเงินทั้งชุด ใบหน้าหล่อเหลา ดวงตาสีน้ำตาลเข้มมีไอสังหารที่ไม่ปกปิดสักนิด
จี้เหลิ่งหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ ร้องตระหนกว่า “ท่านเจ้าเมือง นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร”
หลินสวินสีหน้าเรียบเฉย มองดูด้วยแววตาเย็นชา
ก็เห็นว่านักพรตเอ้อยิ้มดุร้าย “จี้เหลิ่ง เจ้าอยู่กับข้ามาหลายปี เปี่ยมปัญญามากแผนการ ซื่อสัตย์ภักดี เดิมข้ามองเจ้าเป็นแขนซ้ายแขนขวา แต่ช่วงนี้เจ้าไม่จริงใจเลยนะ”
จี้เหลิ่งสีหน้าเหยเก เอ่ยว่า “ข้าไม่เข้าใจ”
“ไม่เข้าใจหรือ ไม่เป็นไร ตอนนี้ข้าก็จะทำให้เขาเข้าใจเอง”
นักพรตเอ้อพูดพลางตบมือเบาๆ
ทันใดนั้นชายหนุ่มชุดหรูคนหนึ่งเดินยิ้มเย็นชาออกมาจากไกลๆ ในมือเขาลากแส้อ่อนสีเงินยวงเส้นหนึ่ง ปลายด้านหนึ่งของแส้อ่อนผูกร่างงดงามที่เลือดสดๆ ไหลริน บาดแผลเต็มตัวร่างหนึ่ง
พอชายหนุ่มชุดงามหรูเยื้องย่าง ร่างงามนี้ก็ถูกลากมาข้างหน้า ปาดรอยเลือดน่าตกตะลึงไปบนพื้น
หลินสวินจำชายหนุ่มคนนี้ได้
เมื่อวานตอนเข้าเมือง คนผู้นี้ก็เฆี่ยนหญิงสาวคนนั้นบนถนน ดูโหดร้ายป่าเถื่อนหาใดเทียบ
ตามคำพูดของมู่ชวน ชายหนุ่มคนนี้ก็คือลูกบุญธรรมของนักพรตเอ้อ มีนามว่าตงจินหรง!
เพียงแต่ หลินสวินกลับคิดไม่ถึงว่าจะได้พบอีกฝ่ายในสถานการณ์เช่นนี้
ทันใดนั้นเขาก็สังเกตได้ว่าเมื่อเห็นร่างงามที่ถูกตงจินหรงลากมานั้น สีหน้าของจี้เหลิ่งก็เปลี่ยนไป ดวงตามีแววโกรธเคืองฉายวาบ
“จี้เหลิ่ง ผู้หญิงคนนี้เจ้าจำได้ไหม”
นักพรตเอ้อเอ่ยปากอย่างเย็นชา
จี้เหลิ่งสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง สีหน้าปรากฏแววอึมครึม กัดฟันเอ่ยว่า “ข้าต้องจำได้อยู่แล้ว นางชื่อจินเตี๋ย มาถึงเมืองผีครอบงำเมื่อปีก่อน…”
“นางงามมาก แล้วก็ฉลาดมากด้วย ที่หายากคือนางยังใจดีมากอีกต่างหาก ในโลกมืดแห่งนี้ คนอย่างนางหายากเกินไปแล้ว…”
เสียงแผ่วต่ำคล้ายหวนนึกถึงอดีต
“ข้าทนให้นางถูกสารเลวในเมืองพวกนั้นทำร้ายไม่ได้ จึงเก็บนางไว้ข้างกาย มองนางเป็นลูกสาว บ่มเพาะนางอย่างทุ่มเท เพียงหวังว่าวันหนึ่งหากข้าไม่อยู่แล้ว อย่างน้อยนางก็จะพึ่งตัวเอง เอาตัวรอดในโลกมืดอันนองเลือดปั่นป่วนแห่งนี้ได้”
จี้เหลิ่งสูดหายใจลึกอีกเฮือกหนึ่งเหมือนกดข่มความว้าวุ่นในใจเอาไว้
“แต่ข้ายังคิดไม่ถึง ว่าภัยพิบัติจะมาเร็วปานนี้!”
สายตาเขาพลันมองไปที่ตงจินหรง ไม่ปิดบังความชิงชังของตัวเองเลยสักนิด “ท่านเจ้าเมือง ก็เพราะท่านรับเจ้าหมาสวะตัวนี้มาเลี้ยง ฉวยโอกาสตอนที่ข้าไม่อยู่บังคับลักตัวจินเตี๋ยไป หมายจะเอานางไปเป็นเครื่องระบายความใคร่ข้างกาย หลู่เกียรตินางต่างๆ นานา ทรมานนางสารพัด!”
“พอข้าได้ยินข่าวนี้ยังเห็นแก่มิตรภาพระหว่างท่านกับข้า ไม่ได้ลงมือฆ่าเจ้าเดรัจฉานนี่ เพียงแค่ขอร้องท่าน อยากให้ท่านออกหน้าให้คืนจินเตี๋ยมาให้ข้า…”
เขาสีหน้าดุร้ายขึ้นมาแล้ว “แต่ท่านกลับปฏิเสธข้าเพื่อเจ้าเดรัจฉานนี่!!”
พอพูดจบเขาก็คุมความโกรธเกรี้ยวในใจไม่อยู่แล้ว คำรามออกมา
นักพรตเอ้อสีหน้าเย็นชา เอ่ยว่า “หญิงชั้นต่ำคนหนึ่ง กลับทำให้เจ้าเลือกหักหลังข้า ถึงกับจะดึงหมาป่าเข้าบ้าน หมายตาคลังสมบัติข้า จี้เหลิ่ง เจ้าทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ”
จี้เหลิ่งสีหน้าคล้ำเขียว กัดฟันเอ่ยว่า “เพราะท่านบีบข้าทั้งนั้น!”
นักพรตเอ้อพลันยิ้มขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “จี้เหลิ่ง เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เช่นนั้นข้าก็จะบอกเจ้าให้ ว่าสาเหตุที่ลูกบุญธรรมของข้าคนนี้กล้าลักเอาหญิงชั้นต่ำอย่างจินเตี๋ยไป เดิมก็เพราะข้ายุยง”
ประโยคเดียวทำให้จี้เหลิ่งเหมือนถูกสายฟ้าฟาด เอ่ยเดือดดาล “ท่านพูดว่าอะไรนะ”
นักพรตเอ้อหัวเราะอย่างเหิมเกริม “ข้าบอกว่า ทั้งหมดนี้เป็นเพราะข้ายุยง เกินคาดมากไหม”
“ทำไม”
จี้เหลิ่งโกรธจนสั่นไปทั้งตัว สีหน้าถมึงทึงไปหมด
นักพรตเอ้อเสียงเหี้ยมเกรียม “จี้เหลิ่ง เจ้าฉลาดเกินไปแล้ว เก่งกล้าสามารถ มากแผนการเจ้าอุบาย ให้ข้าไม่กลัวได้อย่างไร”
เขาหยุดไปแล้วเอ่ยต่อว่า “ข้าต้องรู้แน่ว่าจินเตี๋ยสำคัญกับเจ้ามาก ข้าทำแบบนี้ก็เพื่อทดสอบความจงรักภักดีของเจ้า”
จี้เหลิ่งโกรธจนตาแทบถลน “ใช้วิธีต่ำช้าเลวทรามเช่นนี้มาทดสอบความจงรักภักดีของข้าหรือ”
นักพรตเอ้อหัวเราะหยัน “แต่เจ้าปฏิเสธไม่ได้ว่าวิธีนี้ได้ผลจริงๆ ตอนนี้ทุกคนเห็นแล้วว่าสมุนฝีมือดีที่ติดตามข้ามานานปีอย่างเจ้า ดันเลือกทรยศเพื่อหญิงชั้นต่ำคนเดียว จะยังพูดถึงความจงรักภักดีอะไรได้”
ตงจินหรงเอ่ยอย่างชวนสะพรึงว่า “พ่อบุญธรรม จะต้องไปพูดพร่ำทำเพลงกับคนทรยศทำไม คนเนรคุณเลี้ยงไม่เชื่องแบบนี้ ฆ่าไปก็พอ!”
แส้อ่อนสีเงินในมือเขาสะบัดขึ้นทันที
เผียะ!
เสียงระเบิดดังลั่น ร่างงามที่มีเลือดไหลรินของจินเตี๋ยถูกเขวี้ยงไปกลางอากาศ จากนั้นก็ระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ เลือดสดๆ เหมือนน้ำพุกระเซ็นกระสาย
ภาพอันนองเลือดนี้กระตุ้นให้จี้เหลิ่งที่โกรธเกรี้ยวเป็นที่สุดอยู่นานแล้วเหมือนจะพังทลายลง ร้องเสียงดังอย่างคุมอารมณ์ไม่อยู่ว่า
“จินเตี๋ย…!”
เสียงดังสะเทือนฟ้าดิน มีแต่ความแค้นปนโศกเศร้า
หลินสวินไม่ได้พูดเลย เงียบเชียบเป็นก้อนหิน
ยามเขาได้เห็นภาพนี้ก็นิ่วหน้าเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ แต่ก็ทำเพียงเท่านั้น
เขารู้ชัดแล้วว่าคราวนี้ถูกจี้เหลิ่งหลอกใช้ แต่ไม่ถึงกับเหนือความคาดหมายมากมาย ตั้งแต่ตอนที่ตอบรับเขาก็ไตร่ตรองเรื่องนี้ไว้แล้ว
แน่นอนว่าถูกคนอื่นหลอกใช้ แม้ไม่ถึงกับทำให้หลินสวินเดือดดาล แต่ก็ไม่อาจเวทนาจี้เหลิ่งที่ขณะนี้เจ็บปวดใจแทบอยากตายแต่อย่างใด
เขาเพียงแค่รังเกียจอยู่บ้าง
หญิงสาวนามจินเตี๋ยผู้นั้นถูกฆ่าตายนานแล้ว แต่ศพยังถูกผู้อื่นระเบิด วิธีการเช่นนี้ไม่ใช่แค่โหดเหี้ยม แต่เป็นไร้มโนธรรม