เมื่อเทียบกับความคับข้องใจและระส่ำระสายในตอนแรกเริ่ม จี้เหลิ่งในยามนี้ เรียกได้ว่ารู้สึกชินตาจนไม่รู้สึกประหลาดกับฝีมืออันน่าเหลือชื่อของหลินสวินแล้ว
หนำซ้ำพร้อมๆ กับที่หลินสวินพุ่งโจมตีจนถึงตอนนี้ ทุกครั้งที่ยึดเมืองหนึ่งได้ ในใจจี้เหลิ่งก็มีความอิ่มเอมและปิติอย่างบอกไม่ถูกทะลักออกมา
เขากระจ่างแจ้ง นี่ก็คือสิ่งที่เรียกความรู้สึกของชัยชนะ!
ยามนี้เขาถึงขั้นลุ่มหลงมัวเมาในความรู้สึกเช่นนี้อยู่บ้างแล้ว…
“ไปเถอะ หาสถานที่พักผ่อนหย่อนใจสักหน่อย พรุ่งนี้ค่อยทำต่อ”
หลินสวินเดินหน้ารุดไปเบื้องหน้า
“ผู้อาวุโส ยังจะทำต่อหรือ”
จี้เหลิ่งอึ้งเล็กน้อย
ในความคิดของเขา ตอนนี้พวกเขาช่วยเจ้าแคว้นคีรีดำล่วงเกินผู้อื่น ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าเจ้าแคว้นคลั่งโลหิตที่โทสะเดือดดาลจะต้องคิดบัญชีครั้งนี้กับเจ้าแคว้นคีรีดำแน่
หลินสวินกล่าวสบายๆ “ในฐานะบริวาร พวกเราย่อมต้องพยายามทุ่มเทถึงที่สุดเพื่อช่วยเจ้าแคว้นคีรีดำ นี่จึงจะเรียกว่าจงรักภักดี”
มุมปากของจี้เหลิ่งกระตุกพักหนึ่ง ผลักเจ้าแคว้นคีรีดำเข้าไปในกองเพลิงอย่างจงรักภักดีหรือ
เพียงแต่เมื่อคิดว่ายังจะได้ไปร่วมกรำศึกกับหลินสวินต่อ ในใจจี้เหลิ่งก็ร้อนรุ่มอีกระลอก ชายชาตรีตัวอยู่โลกมืดอันวุ่นวาย ยามถือกระบี่สามฉื่อ สร้างความยิ่งใหญ่!
แน่นอน จี้เหลิ่งเองก็รู้ว่าเขาเป็นแค่ตัวเสริมคนหนึ่งเท่านั้น แต่นี่ไม่เป็นอุปสรรคขัดขวางการดื่มด่ำกับความรู้สึกที่กรำศึกทั่วหล้าเช่นนี้ของเขาได้
หืม?
จู่ๆ หัวคิ้วหลินสวินพลันขมวดขึ้น จิตใจปรากฏไอหนาวยะเยือกบอกไม่ถูกวูบหนึ่ง ทอดมองไปทางเวิ้งฟ้าไกลโพ้นโดยพลัน
แทบจะในชั่วขณะเดียว ต้นอ่อนต้นโพธิ์ปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือเขาเงียบๆ ประกายเขียวมรกตไหลเวียน สว่างเรืองรอง
พลังระเบียบต้องห้ามที่คนทั่วไปไม่สามารถสัมผัสได้สายหนึ่ง พัดม้วนเข้ามาจากส่วนลึกของเวิ้งฟ้าเหนือห้วงอากาศแคว้นหนาวเหน็บ ดุจดั่งมรสุมก็ไม่ปาน
‘เขามาแล้ว…’
นัยน์ตาดำของหลินสวินลุ่มลึก ตระหนักได้ว่าจอมจักรพรรดิไร้นามที่มาใหม่คนนั้น เป็นไปได้สูงว่าอาจปรากฏตัวในโลกมืดแห่งนี้แล้ว!
หลินสวินครุ่นคิดเงียบๆ ครู่หนึ่งแล้วมุ่งหน้าต่อไป
มีต้นอ่อนต้นโพธิ์อยู่ หลินสวินไม่ค่อยกังวลใจว่าจะถูกพลังระเบียบต้องห้ามตรวจพบร่องรอย
แต่เขารู้ดียิ่ง จอมจักรพรรดิไร้นามคนใหม่ปรากฏตัวในโลกมืด เป็นไปได้สูงว่ามาเพราะตน!
ตั้งแต่ต้นจนจบจี้เหลิ่งที่คอยติดตามอยู่ข้างกายหลินสวินไม่รู้สึกสักนิด
อันที่จริงในโลกมืดแห่งนี้ อย่าว่าแต่มกุฎมหาอริยะอย่างจี้เหลิ่งเลย แม้แต่บุคคลระดับจักรพรรดิพวกนั้น ก็มีน้อยคนที่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของพลังระเบียบต้องห้าม
เบื้องหน้าปรากฏเทือกเขาแถบหนึ่ง เรียงรายทับซ้อน ปิดครอบด้วยไอขุ่นมัวคุกรุ่น
หลินสวินเลือกยอดเขามาลูกหนึ่งลวกๆ แล้วนั่งขัดสมาธิ ตั้งใจจะพักผ่อนสักหน่อย พรุ่งนี้ค่อยเคลื่อนไหวต่อ
แต่ไม่ทันไรเขาก็ลืมตาขึ้นมาจากการนั่งสมาธิ
เขาหยัดกายขึ้น ถือน้ำเต้าสุราเปลือกเขียวจิบเบาๆ หนึ่งคำ
ฮูม!
ห้วงอากาศห่างออกไปม้วนตลบระลอกหนึ่ง และปรากฏรุ้งวิเศษที่พร่างพราวหาใดเปรียบเป็นสายๆ ตามมาติดๆ กลายเป็นเงาร่างคนมากมาย
ผู้นำคือชายชุดขาวที่ท่าเหมือนคุณชายชั้นสูงก็ไม่ปาน ยามกะพริบตาประกายเทพไหลผ่าน น่าหวาดหวั่นหาใดเทียบ
“หลี่ว์เสียน!”
จี้เหลิ่งหน้าเปลี่ยนสีทันควัน มีหรือเขาจะจำไม่ได้ ชายชุดขาวคนนี้ก็คือหนึ่งในมือซ้ายมือขวาที่มากความสามารถที่สุดใต้อาณัติเจ้าแคว้นคลั่งโลหิต เป็นคนน่าสะพรึงที่มีปราณระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่ง!
และยามมองเห็นกลุ่มคนที่ติดตามหลี่ว์เสียนมาชัดถนัดตา หัวใจของจี้เหลิ่งก็จมดิ่ง นั่นเป็นถึงระดับกึ่งจักรพรรดิทั้งกลุ่มทีเดียว!
มียี่สิบเก้าคนเต็มๆ!
“ในที่สุดก็หาพวกเจ้าพบเสียที…”
สีหน้าของหลี่ว์เสียนเย็นชาจนน่ากลัว นัยน์ตาจับจ้องที่หลินสวินทันที
ตั้งแต่ได้รับคำสั่งของเจ้าแคว้นคลั่งโลหิต เขาก็นำคนตามหาร่องรอยของหลินสวิน
ระหว่างทางนี้ร่องรอยของหลินสวินไม่แน่นอน แต่ละครั้งล้วนทำเอาหลี่ว์เสียนคว้าน้ำเหลว ในใจสั่งสมไอสังหารและความเดือดดาลที่เดือดพล่านไว้นานแล้ว
ถึงแม้จะไม่เคยเจอมาก่อน แต่หลี่ว์เสียนมองปราดเดียวก็ระบุได้ทันทีว่าชายหนุ่มที่สะพายกล่องกระบี่เก่าใบหนึ่ง หิ้วน้ำเต้าเปลือกเขียวดื่มสุราคนนั้นก็คือมารกระบี่เต้ายวน!
“พวกเจ้ามากันช้าซะจริง”
หลินสวินเหลือบมองพวกเขาปราดหนึ่ง สีหน้าผ่อนคลาย
ปฏิกิริยาตอบสนองเช่นนี้ของเขาทำให้หลี่ว์เสียนอดขมวดคิ้วไม่ได้ ฝืนข่มไอสังหารในใจที่จวนจะระงับไว้ไม่อยู่กล่าวว่า
“เต้ายวน ข้าอยากรู้นักว่าใครให้ความกล้ากลับเจ้า ทำให้เจ้าไม่ต้องการแม้กระทั่งชีวิตเชียวหรือ”
หลินสวินให้เหตุผลข้อหนึ่งง่ายๆ “ข้าในฐานะบริวารของใต้เท้าคีรีดำ ย่อมต้องถวายชีวิตทำงานเพื่อใต้เท้าคีรีดำ”
หลี่ว์เสียนอดหัวเราะเยาะหยันไม่ได้ “ทำงานถวายชีวิต? เจ้าแคว้นคีรีดำให้เจ้าไปตาย เจ้าก็จะพลีชีพให้หรือ”
หลินสวินหัวเราะทันควัน กล่าวว่า “ช่วยไม่ได้ ภายหน้าคนทั่วโลกก็จะเข้าใจเอง ว่าข้าเต้ายวนจงรักภักดีต่อใต้เท้าคีรีดำปานใด”
มุมปากของจี้เหลิ่งที่อยู่ข้างๆ กระตุกอีกครั้ง
หลี่ว์เสียนเองก็อึ้งไป จากนั้นสีหน้าพลันขรึมลง “ใกล้ตายรอมร่อ ข้าล่ะอยากดูนักว่าเจ้าเต้ายวนจะจงรักภักดีปานใด!”
เสียงยังไม่ทันสิ้นสุดเขาก็ลงมือแล้ว
ตูม!
ทวนสำริดเล่มหนึ่งที่มีประกายเทพเจิดจ้าไหลเวียนปรากฏขึ้นในมือหลี่ว์เสียน และอานุภาพของเขาก็พลอยเปลี่ยนไปด้วย ทำให้ฟ้าดินแถบนี้ล้วนสั่นสะเทือน ภูผาธาราละแวกใกล้เคียงต่างพังครืน ส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไม่หยุด
“ฆ่า!”
เขาส่งเสียงตวาดดังลั่น อานุภาพดุจเทพ โบกสะบัดทวนศึกเข้าโจมตี อานุภาพของมกุฎกึ่งจักรพรรดิสำแดงเดชออกมาในยามนี้เต็มที่
“ฆ่า!”
บรรดากึ่งจักรพรรดิเหล่านั้นที่มาพร้อมกับหลี่ว์เสียนก็ลงมืออย่างไม่ลังเลเช่นกัน
คนพวกนี้ล้วนเป็นพวกร้ายกาจที่ระหกระเหินอยู่ในโลกมืดนานปี แต่ละคนผ่านประสบการณ์นองเลือดนับไม่ถ้วน ฝีมือกร้าวแกร่งและน่ากลัวอย่างไม่เป็นที่กังขา
ยามพวกเขาโจมตีร่วมกัน ฟ้าดินแถบนี้ล้วนโกลาหล สุริยันจันทราหม่นแสง ห้วงอากาศปั่นป่วน จมสู่การสั่นสะเทือนครั้งใหญ่
จี้เหลิ่งสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ตกใจจนสีหนาซีดขาว เกือบทรุดนั่งกับพื้น
เขาเป็นเพียงมกุฎมหาอริยะคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อเทียบกับกึ่งจักรพรรดิล้วนไม่มีพลังต้านทานใดๆ อย่างสิ้นเชิง หากไม่ใช่เพราะมีหลินสวินอยู่ด้วย ป่านนี้เขาคงถูกซัดร่วงไปนานแล้ว…
และตอนนี้เขาก็ได้แต่ฝากความหวังว่าจะรอดชีวิตไว้กับหลินสวิน เพียงแต่ภายในใจเขากลับไม่มั่นใจอย่างยิ่ง…
มกุฎกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่ง รวมกับกึ่งจักรพรรดิทั้งกลุ่ม ในแคว้นหนาวเหน็บพลังระดับนี้สามารถทำให้ใครก็ตามสิ้นหวังได้แล้ว!
“ขี้ขลาดขนาดนี้ ภายหน้าจะเป็นเจ้าแคว้นได้อย่างไร”
เสียงของหลินสวินดังขึ้น ทำให้จี้เหลิ่งอึ้งค้างไประลอกหนึ่ง เกือบลมจับ เวลาไหนแล้ว ผู้อาวุโสอย่างท่านยังคุยเรื่องพวกนี้ไปทำอะไรกัน
และยามที่เสียงนี้ดังขึ้น หลินสวินก็ลงมือแล้ว
เขาสีหน้าผ่อนคลาย ย่างเท้ากลางอากาศ เหยียบย่างแผ่วเบา
ครืน!
ฟ้าดินปั่นป่วน ห้วงอากาศของพื้นที่แถบนี้ราวกับพบเจอการกำราบของเทพสวรรค์ พังครืนลงมาทันควัน
กึ่งจักรพรรดิทั้งกลุ่มที่พุ่งเข้ามา เงาร่างล้วนสั่นสะท้านรุนแรงราวกับถูกกดทับ อานุภาพการบุกโจมตีก็ปรากฏเค้าลางปั่นป่วนขึ้นมาบางส่วนด้วย
มีเพียงการโจมตีของหลี่ว์เสียนที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ทวนสำริดฉีกทึ้งห้วงอากาศ บุกเข้ามาด้วยอานุภาพดุจผ่าลำไผ่ อานุภาพดุดันไร้ทัดเทียม
หลินสวินไม่หลบไม่หลีก ยามทวนศึกบุกโจมตีเข้ามา เขายื่นมือหนึ่งออกไปคว้า ทวนสำริดมีอานุภาพน่าสะพรึงไหลหลั่งก็ถูกคว้าจับอย่างแน่นหนา ประหนึ่งงูที่ถูกบีบจุดตายเอาไว้
หลี่ว์เสียนนัยน์ตาหดรัด ส่งเสียงตะโกนลั่น กระตุ้นพลังแห่งตนสุดความสามารถ บนทวนสำริดปรากฏประกายศักดิ์สิทธิ์ลายมรรคนองเลือดอันน่าสะพรึง พร่าตาหาใดเปรียบ
เพียงแต่ไม่ว่าเขาจะทุ่มกำลังสุดชีวิต ทวนสำริดเล่มนี้ก็ยังคงไม่สามารถหลุดออกจากมือหลินสวินได้!
“มรรควิถีเท่านี้หรือ มิน่าจนป่านนี้ก็ยังได้แต่อุทิศชีวิตอยู่ข้างกายเจ้าแคว้นแห่งหนึ่ง”
หลินสวินทอดถอนใจอย่างผิดหวังอยู่บ้าง
สีหน้าหลี่ว์เสียนเปลี่ยนไปทันควัน รู้สึกเพียงพลังน่าสะพรึงประหนึ่งภูผาถล่มคลื่นยักษ์โหมซัดสายหนึ่งแผ่เข้ามาตามทวนศึก แล่นไปตามแขนขวาของเขาแล้วพุ่งเข้าสู่ภายในร่าง
ตูม!
ครู่ต่อมาเขาเลือดออกเจ็ดทวาร ร่างกายถูกซัดกระเด็นออกไปอย่างจัง
ยังไม่รอให้ยืนทรงตัว อานุภาพกดข่มอันน่าสะพรึงสายหนึ่งก็หอบม้วนเข้ามา กดดันจนเขาคุกเข่าลงกลางห้วงอากาศเสียงดังปึงตรงๆ!
อึดใจนี้ในหัวของเขาว่างเปล่า ดวงตาเต็มไปด้วยแววตกใจกลัวเต็มเปี่ยม นี่… นี่เป็นไปได้อย่างไร
เขาในฐานะมกุฎกึ่งจักรพรรดิทระนงตนเรื่อยมา คนทั่วไปเขาไม่เห็นในสายตาสักนิด ทว่ายามนี้กลับถูกคนกำราบในคราเดียว!
ไกลออกไปในใจพวกกึ่งจักรพรรดิเหล่านั้นขนลุกซู่ หนังหัวชาหนึบ พวกเขาก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าคนระดับหลี่ว์เสียนจะถึงกับด้อยน้ำยาปานนี้
“หนี!”
พวกเขาเลือกหนีตามจิตใต้สำนึกอย่างไม่ลังเล
หลินสวินโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง
ปราณกระบี่เจิดจ้าไร้ขอบเขตพุ่งทะยานออกไป กลายเป็นฝนกระบี่โปรยปรายกลบฟ้าบังตะวัน ลุกโชนเจิดจรัส ทำให้ภูผาธาราแถบนี้พลอยหม่นแสงไปด้วย
จี้เหลิ่งเคยเห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้
ตอนนั้นที่นอกเมืองผีครอบงำ นักเชือดเมิ่งนำคนใต้อาณัติทั้งกลุ่มบุกเข้ามาอย่างทรงพลัง ทว่าเพียงพริบตาก็ถูกฝนกระบี่ที่แผ่ครอบฟ้าดินปกคลุมเอาไว้
ตอนที่ปราณกระบี่เลือนหาย ขบวนของพวกนักเชือดเมิ่งล้วนกลายเป็นหยาดเลือดเต็มผืนดินกว้าง
ครั้งนี้ก็มีฝนกระบี่ไร้สิ้นสุดปรากฏขึ้นเช่นเดียวกัน เพียงแต่เป้าหมายที่ต้องการสังหาร แต่ละคนล้วนแข็งแกร่งยิ่งกว่านักเชือดเมิ่งไม่รู้ตั้งเท่าไหร่
ทว่าผลลัพธ์…
กลับเหมือนกัน
เมื่อฝนกระบี่เต็มฟ้านั่นเลือนหาย ผู้แข็งแกร่งระดับกึ่งจักรพรรดิยี่สิบเก้าคนใต้อาณัติเจ้าแคว้นคลั่งโลหิตเหล่านั้นต่างกลายเป็นละอองเลือดระฟ้า ร่วงโปรยปรายในห้วงอากาศ เปียกชุ่มผืนดิน
ไม่ได้แตกต่างจากจุดจบของพวกนักเชือดเมิ่งเลยจริงๆ
แต่จี้เหลิ่งก็ยังอึ้งงัน สีหน้าแข็งทื่อ ภายในใจหวาดผวา
อริยะไม่ไหว กึ่งจักรพรรดิ… ก็ไม่ไหวด้วย!
หลี่ว์เสียนที่เดือดดาลแทบคลั่งคุกเข่าอยู่กลางห้วงอากาศ เวลานี้ก็เหมือนถูกสายฟ้าฟาด ม่านตาเบิกกว้าง ขวัญกระเจิงยิ่ง
กึ่งจักรพรรดิยี่สิบเก้าคน ถูกสังหารเกลี้ยงในพริบตา!
บนโลกนี้นอกจากระดับจักรพรรดิแล้ว ยังมีใครทำได้อีกบ้าง
แต่หลี่ว์เสียนกล้าฟันธง มารกระบี่เต้ายวนนี่ไม่ใช่ระดับจักรพรรดิเด็ดขาด กลิ่นอายของเขาถึงแม้จะลึกล้ำสุดหยั่ง แต่กลับไร้ซึ่งอานุภาพที่เป็นของระดับจักรพรรดิ!
นี่พิสูจน์ได้เพียงว่า อีกฝ่ายก็เป็นมกุฎกึ่งจักรพรรดิเช่นเดียวกับตน แต่พลังต่อสู้ที่มีอยู่แข็งแกร่งยิ่งกว่า น่ากลัวยิ่งกว่า
“จี้เหลิ่ง เจ้าคิดว่าหากจู่ๆ หลี่ว์เสียนนี่กลายเป็นคนทรยศขึ้นมา เจ้าแคว้นคลั่งโลหิตจะโกรธปานใด”
เสียงของหลินสวินดังขึ้น ปลุกจี้เหลิ่งที่จมสู่ความหวาดผวาสะดุ้งตื่นขึ้นมา
เขาหลุดปากเอ่ยว่า “หากเป็นเช่นนี้ เจ้าแคว้นคลั่งโลหิตต้องบ้าคลั่งเป็นแน่”
กล่าวจบจี้เหลิ่งถึงเพิ่งตระหนักได้ว่าหลินสวินคิดจะทำอะไร สายตาที่มองไปยังหลี่ว์เสียนที่อยู่ไกลๆ เจือแววเวทนาขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง
เจ้าหมอนี่… ต่อไปเกรงว่าคงจะใช้ชีวิตอยู่ภายใต้เงาทะมึนแห่งความหวาดกลัวต่อผู้อาวุโสเต้ายวนเท่านั้นแล้ว…
“อยากให้ข้ายอมจำนนหรือ? ฝันไปเถอะ!”
เสียงของหลี่ว์เสียนเด็ดเดี่ยว สีหน้าหนักแน่น เผยแววเหี้ยมโหด
เพียงแต่ครู่ต่อมา
เขาก็คุกเข่าอยู่ตรงนั้นอย่างเคารพนบนอบ เชื่อฟังเหมือนสัตว์ที่ถูกฝึกให้เชื่อง สีหน้าแต้มแววยำเกรงและหวาดกลัวต่อหลินสวิน
ก่อนหน้ากับตอนนี้แตกต่างกันเกินไปแล้ว ทำเอาจี้เหลิ่งมองจนปากอ้าตาค้าง
นี่เป็นถึงมกุฎกึ่งจักรพรรดิ แต่ก็ยังหนีไม่พ้นอำนาจควบคุมของ ‘มายามแห่งความหวาดกลัว’ หรือ
หลินสวินยืนกลางอากาศ อาภรณ์โบกสะบัด ยิ้มพลางเอ่ยถามว่า
“จี้เหลิ่งเจ้าดูสิ พวกเราทำเพื่อใต้เท้าคีรีดำมากมายขนาดนี้แล้ว หากเจ้าเป็นใต้เท้าคีรีดำ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ยังจะข่มใจไม่ถือโอกาสเคลื่อนไหวได้หรือ”